10 หนังแห่งความซับซ้อน ชวนให้ครุ่นคิด
ขอเกริ่นก่อนว่า “ความซับซ้อน” ที่พูดถึงของหนังในลิสต์นี้ เกิดขึ้นจากหลายองค์ประกอบแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็น การเล่าเรื่องโดยไม่ลำดับเวลา ตัวบทที่เต็มไปด้วยรายละเอียดจำนวนมาก หรือต้องอาศัยการตีความ การวิเคราะห์ที่ดูยุ่งยากและซับซ้อน
อีกอย่างที่สำคัญคือ การมองว่าหนังเรื่องไหนซับซ้อนหรือไม่ซับซ้อนของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าหากคิดว่าหนังในลิสต์มีข้อผิดพลาดประการใด ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าหนังที่มีความซับซ้อนตามองค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้นมีจำนวนมากและไม่สามารถพูดถึงได้ทั้งหมด ซึ่งนอกเหนือจาก 10 เรื่องในลิสต์ก็มีบางเรื่องที่อยากเชียร์ อยากแนะนำอาทิเช่น 8½ (1963), Brazil (1985), Eraserhead (1977), The Fountain (2006), Synecdoche, New York (2008), Melancholia (2011), Mr. Nobody (2009), Being John Malkovich (1999) ฯลฯ
สำหรับใครที่มีหนังเรื่องไหนอยากแนะนำเพิ่มเติมหรือติชมอะไร ก็มาคอมเม้นต์แสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ…
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
10. Under the Skin (2013)
ปี 2013 นอกจากความซับซ้อนดั่งใยแมงมุมของ Enemy อีกหนึ่งผลงานที่เต็มไปด้วยบรรยกาศหลอนๆ ยั่วเย้า และสิ่งที่ไม่อาจคาดเดานั่นก็คือ Under the Skin ซึ่งว่าด้วยเอเลี่ยนที่เดินทางมายังโลกมนุษย์ แล้วเข้าสิงร่างหญิงสาวเพื่อออกตามล่าชายหนุ่มยามค่ำคืน จนกระวันหนึ่งเธอกลับถูกความเป็นมนุษย์กลืนกินเข้าซะเอง โดยหนังถูกเล่าเรื่องอย่างมีระเบียบ เนิบๆ เน้นการวิเคราะห์ด้วยภาษาภาพ เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ ภายใต้เปลือกนอกที่ดูสวยงาม
9. Memento (2000)
ความซับซ้อนของหนัง Nolan โดยส่วนมากไม่ได้มาจากตัวเนื้อหาที่เต็มไปด้วยข้อมูลจำนวนมาก หรือมีเนื้อหาเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งที่ชวนให้สับสน แต่ทว่ามันอยู่ที่รูปแบบการเล่าเรื่อง ที่ส่วนใหญ่จะใช้แบบ nonlinear อาทิเช่น Following, The Prestige, Inception และเรื่องที่ทำได้อย่างโดดเด่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ Memento เดินเรื่องในลักษณะ front to back, back to front สลับกันไปมาชนิดที่ว่าคุณไม่ควรละสายตาไปจากหนังได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของชายที่สูญเสียความทรงจำในอดีตและกลายเป็นโรคความจำระยะสั้น ที่พยายามสืบหาตัวฆาตกรที่ทำการฆ่าภรรยาของตนอย่างโหดเหี้ยม
8. The Tree of Life (2011)
เปิดเรื่องด้วยคำพูดอันน่าฉงนใจ เส้นทางการใช้ชีวิตมีอยู่สองทาง คือเส้นทางแห่งพระเจ้า และเส้นทางแห่งธรรมชาติ ก่อนจะตัดภาพไปยังครอบครัวหนึ่งทางชานเมือง ที่เพิ่งรับทราบข่าวการเสียชีวิตของลูกชาย จากนั้นคำถามแห่งสัจธรรมมากมายก็ค่อยพลั่งพรูออกมา นับว่าเป็นอีกผลงานของ Terrence Malick ที่สร้างความน่าพิศวงได้อย่างมาก ดึงคนดูเข้าสู่โลกของจิตวิญญาณ เพื่อสืบเสาะ และค้นหาความหมายของการมีชีวิต ซึ่งเปรียบเปรยได้กับบทกวีดีๆนี่เอง
7. Lost Highway (1997)
ความเป็นจิตกรของผู้สร้างที่เน้นการเล่าด้วยอารมณ์สุนทรีย์มากกว่าเนื้อหา ได้สร้างฆาตกรจิตเภทที่มีความซับซ้อน ว่าด้วยสองสามีภรรยา ที่ได้รับม้วนเทปปริศนาจากบุรุษนิรนาม จนต่อมาได้นำไปสู่การฆาตกรรมและเรื่องราวมากมายที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนซึ่งเป็นไปตามขนบหนังของ Lynch โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความสยดสยองและสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา เขาเล่าเรื่องด้วยตัวละครที่ถูกรบกวนความทรงจำ สติสัมปชัญญะ เกิดความสับสนระหว่างตัวตนดั้งเดิมและตัวตนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น ที่เรียกอีกอย่างว่าอาการของโรค “Psychogenic Fugue”
6. Persona (1966)
ฉากเปิดด้วยภาพขาวดำเสมือนเป็นตัวอย่างสุ่ม เป็นกลไลที่บ่งบอกได้ถึงความคลุมเครืออันน่าพิศวง ว่าด้วยความสัมพันธ์ของสองหญิงสาวบนเกาะแห่งหนึ่ง คนหนึ่งเป็นพยาบาลสาวที่ต้องคอยดูแลอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นนักแสดงที่อยู่ๆก็ไม่สามารถพูดได้ โดยหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความท้าทายในการตีความ การวิเคราะห์ใจความสำคัญที่พยายามบ่งบอกถึงสิ่งสองสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่กลับกลายเป็นสิ่งเดียวกัน โดยเน้นการถ่ายทอดผ่านบทสนทนา และบรรยกาศทึมๆ หลอนๆ ที่ไม่น่าไว้วางใจ
5. Cloud Atlas (2012)
พี่น้อง Wachowski สร้างความอัศจรรย์ของการเล่าเรื่องราวหกยุคสมัย ผ่านตัวละครกลุ่มเดียวกัน ที่สอดแทรกนัยยะเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา กฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายในภูมิวิถีหกออกมาได้อย่างน่าประหลาดใจ แม้ว่าหนังเรื่องนี้อาจมีความยาวกว่าสามชั่วโมง มีการเล่าที่ตัดสลับไปมาระหว่างยุค ชวนให้เกิดความสับสนอยู่ไม่น้อย แต่หากคุณสามารถจับจุดเชื่อมโยงปฎิสัมพันธ์ ระบุตัวตนของตัวละครระหว่างยุคได้แล้ว มั่นใจเลยว่าคุณจะรู้สึกทึ่ง สนุกและเพลิดเพลินกับมันได้อย่างแน่นอน
4. Stalker (1979)
ตัวของ Andrei Tarkovsky เปรียบดั่งผู้นำแห่งจิตวิญญาณ ของเหล่าผู้สูญสิ้นศรัทธาที่ต้องการแสงสว่างนำทางแก่ชีวิต ซึ่งก็ไม่ต่างจาก Stalker ในเรื่องที่นำพาผู้ว่าจ้างสองคนทั้งนักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ สู่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะเสกสรรความปรารถนาต่างๆให้เป็นจริง แม้หนังจะมีรากฐานของเรื่องราวที่ใช้ความเป็นไซไฟมาเป็นตัวอ้างอิง แต่จุดมุ่งหมายหลักคือการถ่ายทอดบทกวี หลักปรัชญาแห่งชีวิต ผ่านสามตัวละครที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ ศิลปะที่ตกต่ำ และหลักของเหตุและผล
3. A Clockwork Orange (1971)
ยุคสมัยของสังคมที่เทคโนโลยีก้าวล้ำ แต่จิตใจมนุษย์กลับยิ่งตกต่ำ ถูกถ่ายทอดผ่านศิลปะและความรุนแรงออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งว่าด้วยกลุ่มวัยรุ่นอันธพาลที่คอยออกปล้น ฆ่า ข่มขืน เหล่าผู้คนตามบ้านเรือน แม้ว่าตัวหนังจะเต็มไปด้วยฉากเซ็กซ์ ความรุนแรงต่างๆนานา จนกลายเป็นหนังต้องห้ามของในหลายประเทศ แต่ด้วยงานสร้างที่ยอดเยี่ยมของ Stanley Kubrick และเมจเสจที่สะท้อนปัญหาของสังคมในหลายระดับ ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่านี่คือหนึ่งในผลงานทรงคุณค่าของโลกภาพยนตร์
2. Mulholland Dr. (2001)
ผู้คนจำนวนมากพยายามหาคำตอบถึงรายละเอียดของเรื่องราว สัญญะต่างๆที่ถูกซ่อนอยู่ในหนัง แน่นอนว่าคงยากที่จะมีใครสักคนวิเคราะห์ ถอดรหัสของหนังออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากคุณไม่ใช่คนเองเขียนบทซะเอง หนังว่าด้วยเรื่องราวของสองสาว โดยคนหนึ่งเป็นนักแสดง ที่พยายามช่วยฟื้นฟูความทรงจำอีกฝ่ายหนึ่งจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งหนังเน้นการเล่าเรื่องราวด้วยภาษาภาพ บอกเล่า 2 เหตุการณ์เสมือนเป็นความฝันและความจริงคู่ขนานกันไป มีการตัดสลับและบิดเบือนด้วยความเป็นเซอร์เรียล และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งคุณเองอาจตระหนักได้ว่า การลำดับเหตุการณ์ ระบุอัตลักษณ์ตัวละครกลับกลายเป็นสิ่งที่ดูยาก
1. 2001: A Space Odyssey (1968)
เพลงประกอบของ Alex North ที่ค่อยๆดังขึ้น การปรากฏของโลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ พร้อมกับฝูงลิงที่กำลังฟาดฟันกันด้วยแท่นกระดูก ก่อนจะตัดภาพไปยังสถานีอวกาศ นี่คือฉากเปิดอันว่าพิศวง งุนงง และเต็มไปด้วยคำถามมากมายของหนึ่งในหนังที่ถูกยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล และอาจเป็นหมายเลขหนึ่งสำหรับกลุ่มหนังไซไฟ โดย Stanley Kubrick บอกเล่าเรื่องราวการค้นหาความลับของจักรวาลด้วยจังหวะที่เนิบๆ ช้าๆ เน้นการวิเคราะห์ผ่านภาษาภาพ และแทบไม่มีบทสนทนาปรากฎขึ้น ซึ่งคงเป็นเรื่องยากกับการประชันในครั้งแรก เพราะคุณต้องใช้สมาธิและความอดทนอย่างสูงเพื่อรับรู้สารที่หนังส่งผ่านมาจำนวนมาก
In The Darkness