ดราม่าพระปรางค์วัดอรุณ
ดราม่าพระปรางค์วัดอรุณ : เดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว
ซีรีส์นี้ยาว ต้องลำบากน้าๆมาตามอ่านกันหน่อยนะจ๊ะ
เท่าที่น้าตามอ่านๆดูดราม่าและความเห็นต่างๆเกี่ยวกับกรณีการบูรณะพระปรางค์วัดอรุณเวอร์ชั่นขาวผ่องแผ้วนพคุณ พบว่าแม้จะดูมีประเด็นแต่ก็ค่อนข้างสับสนอลหม่านเพราะเอานั่นมาโปะนี่ เอานี่มาเกี่ยวกะโน่น เพื่อจะเอามาด่าไอ้นั่น มันเลยอีรุงตุงนังยากแก่ความเข้าใจ เหลือไว้แต่ความรู้สึกขัดข้องใจแบบอึนๆบอกไม่ถูก
ดังนั้น เรามาใจร่มๆ ค่อยๆสางออกทีละเรื่อง ว่ากันทีละส่วนเนาะ
- อันดับแรก ว่าด้วยดราม่าต้นทางซึ่งปรากฎว่าเป็นการเอารูปจากพระปรางค์คนละองค์ ได้แก่ปรางค์ทิศกับปรางค์ประธาน มาเทียบรายละเอียดกัน โดยพยายามบอกว่ารายละเอียดการประดับกระเบื้องหายไป โดยเฉพาะตรงตัวยักษ์แบก ซึี่งข้อเท็จจริงก็คือ รูปปั้นยักษ์ของปรางค์ประธานจะมีรายละเอียดการตกแต่งกระเบื้องมากกว่ายักษ์ของปรางค์ทิศแต่แรกแล้ว แต่นี่ดันเอาข้อมูลแบบสุดทางแต่ละด้านมาปนกัน คือ เอารูปเก่าของปรางค์ประธาน มาเทียบกับรูปปรางค์ทิศหลังการบูรณะ เลยยิ่งทำให้เกิดดราม่าลุกลามไปอีก
พอบอกอย่างนี้เสร็จ ดราม่าก็เบนไปลงที่ความขาวโอโม่แบบขัดใจสาธารณะชน พระปรางค์วัดอรุณต้องขรึมๆขลังๆ สีเข้มกว่าเน้เซ่!!!
- งั้นเรามาดูกันซิว่า ไอ้สีขาวที่เห็น มันคืออะไร? และสีคล้ำๆที่เคยเป็น มันคืออะไร?
สีขาวที่เห็นตอนนี้ มันคือ สีของปูนตำจ้าาาาา
ปูนตำ หรือปูนหมัก เป็นวัสดุก่อสร้างพื้นฐานในงานสถาปัตยกรรมดั้งเดิมในบ้านเรา ได้มาจากการเผาหินปูนหรือเปลือกหอย ตำป่นแล้วผสมเข้ากับทรายและอินทรีย์วัตถุเพิ่มความเหนียว อาทิ กาวหนัง น้ำตาลอ้อย แล้วหมักทิ้งไว้จนเหนียวนุ่มใช้งานได้ งานปั้นงานฉาบก็ปูนตำทั้งนั้น สีจะขาวตุ่นๆตามธรรมชาติ ถ้าอยากขาวขึ้นอีกนิดก็ทาน้ำปูนเข้าไปอีก
นั่นก็คือ การบูรณะในครั้งนี้ เป็นการนำเอาวัสดุดั้งเดิมมาใช้นั่นแหละจ้า ซึ่งมีความเหมาะสมตามหลักวิทยาศาสตร์และปรัชญาการอนุรักษ์อีกด้วย
แล้วไอ้ดำคล้ำของเดิมล่ะ? นั่นเป็นมรดกจากการซ่อมในรุ่นไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา มันคือ ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ หรือปูนดำ ซึ่งแต่ก่อนเป็นปูนสมัยใหม่ของฝาหรั่งเขา มาถึงยุคนึงคนก็ดันเอามาใช้ในการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมกันเยอะแยะเลยจ้า ปูนดำมันดีนะ มันแข็งแรง แต่ต่อมากลายเป็นว่ามันกลายเป็นหายนะของโบราณสถาน เพราะคุณสมบัติความแข็งของมันนั้นตามมาด้วยจุดด้อยเรื่องการระบายความชื้น ซึ่งเป็นจุดเสียงของโบราณสถานประเภทอิฐในบ้านเรา ฉาบไปก็เหมือนเอาอิฐโครงสร้างข้างในแช่น้ำเปียกๆแห้งๆ จนเสื่อมสภาพเปื่อยยุ่ยอย่างรวดเร็ว
พอวิชาการด้านการอนุรักษ์ก้าวหน้าในกาลต่อมา ก็เลยต้องรณรงค์ให้เลิกใช้ปูนพวกนี้ หันมาใช้ปูนตำปูนหมักกันดีกว่า เพราะระบายความชื้นดีกว่า
นอกจากนี้ ในกรณีการซ่อมพระปรางค์วัดอรุณด้วยปูนดำนี้ ยิ่งสร้างความฉิบหายอีกสถาน นั่นคือ มันทำลายโอกาสในการซ่อมแซมภายหลัง เพราะสิ่งก่อสร้างโบราณนั้นจะช้าเร็วก็ต้องถึงอายุซ่อมแซมด้วยกันนั่นเอง โดยเฉพาะกับกระเบื้องดินเผาเคลือบที่ประดับผิวอันเป็นจุดเด่นด้านความงามของพระปรางค์!!! เพราะแม้ว่าปูนตำจะมีอายุไขเพียงสิบยี่สิบปีก็ยุ่ย แต่มันก็ไม่ทำร้ายกระเบื้องประดับเหล่านั้น ในขณะที่ปูนดำซึี่งแข็งชิบหาย พอจะซ่อม แค่สกัดออกแม่งก็ลากให้กระเบื้องเคลือบแตกหักบรรลัยไปด้วย
สรุปประเด็นนี้ง่ายๆว่า เดิมทีพระปรางค์วัดอรุณก็สร้างโดยใช้ไอ้ปูนตำนี่แหละ แปลว่าแต่แรกสร้างก็เคยขาวจั๊วะอย่างนี้ ต่อมาคนดันไปใช้ปูนดำ ทีนี้ก็เลยวายป่วงอยู่หลายปีจนต้องค่อยๆมาตามแก้กันภายหลังนี่แหละจ้ะ
ถึงจุดนี้ เรื่องปูนตำน่าจะเป็นการให้เหตุผลด้านการอนุรักษ์ที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง
แต่ก็เกิดคำถามตามมา เกี่ยวกับ กระเบื้อง เช่น ทำไมการประดับกระเบื้องมันดูโล้นๆ? ทำมันไม่สวยเหมือนของเดิม
? เค้าเอาของดั้งเดิมไปทิ้งหมดหรือเปล่า?? หรือเค้าแงะเอาไปทำมวลสารหาตังเข้ากระเป๋า??? ฯลฯ
งั้นเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นว่า กระเบื้องเคลือบที่เราเห็น หรือที่เราเคยเห็น มาจากไหน?
: ขนมชั้นของการก่อสร้างและอนุรักษ์
จุดเด่นของงานสถาปัตยกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 ประการหนึ่งก็คือ การใช้กระเบื้องดินเผาเคลือบสีมาประดับตกแต่งสถาปัตยกรรม โดยริเริ่มจากการนำเครื่องปั้นดินเผาทั้งชิ้น หรือเศษกระเบื้องเคลือบตัดชิ้นมาประดับเป็นลวดลาย ต่อมาพัฒนาเป็นการสั่งเผาเป็นลวดลายตั้งแต่ต้นจากจีน และต่อมาก็กลายเป็นการผลิตเองในสยามเนี่ยแหละ
พระปรางค์วัดอรุณก็เช่นกันจ้ะ ภาพจำของมหาชนก็คือพระปรางค์ทรงจอมแหประดับกระเบื้องยุบยิบทุกส่วนสัดนี่แหละ และแน่นอนกระเบื้องที่ใช้ก็เป็นดังว่านั่นแหละจ้ะ
แต่สร้างแล้วใช่ว่าแล้วกัน เพราะน้าเกริ่นไปแล้วว่า ถึงอายุมันก็ต้องมีการซ่อมแซม หลังจากนั้นพระปรางค์วัดอรุณก็ถูกซ่อมแซมอีกหลายครั้งในยุคต่อมา อย่างครั้งใหญ่ๆก็ตอนรัชกาลที่ 5 ครั้งนั้นได้มีการซ่อมใหญ่หลายส่วน โดยเฉพาะมีการซ่อมเปลี่ยนกระเบื้องเคลือบตกแต่งอีกด้วย !
อะแน่ะ มีกระเบื้องเพิ่มมาอีกรุ่นละนะ
ซึ่งเอารวมๆก็คือ มันมีการซ่อมเปลี่ยนกระเบื้องตกแต่งอยู่หลายคราวเลยล่ะจ้ะ เท่ากับว่า ไอ้กระเบื้องที่เป็นภาพจำของคนในรุ่นเราๆบวกลบ มันมีหลายยุคหลายรุ่นปนๆกัน เป็นประวัติศาสตร์การอนุรักษ์ที่ซ้อนทับกันอยู่
มีกระทั้งรุ่นการอนุรักษ์เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ด้วยซ้ำ
แปลว่า มันไม่ได้เก่า เก๊า เก่า ไปทั้งหมด จนกระทั่งถึงขั้นต้องมาปริวิตกกลัวใครจะแอบลักซ่อนไปทำมวลสารหรอกหนา
เกจิท่านหนึ่งเล่าให้น้าฟังด้วยว่า กระเบื้องดินเผารุ่นรัชกาลที่ 3 น่ะ เคยมีการตรวจสอบแล้วพบว่า จำนวนไม่น้อยเผาด้วยความร้อนต่ำ ทำให้ไม่แข็งแรงนัก จริงๆก็เริ่มเปื่อยยุ่ยจนต้องเปลี่ยนน่าจะตั้งแต่รัชกาลที่ 5 นั่นแหละ คงจะเหลือมาให้ปูนซีเมนต์ดำมหาประลัยมันย่ำยีไม่มากนักด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ในการอนุรักษ์ครั้งไม่นานมานี้นัก ก็ยังมีความพยายามใช้เทคนิคและวัสดุก่อสร้างอื่นๆเป็นทางเลือกเพื่อช่วยรักษาสภาพของอาคาร ตามแต่หลักวิชาการที่มีในยุคนั้นจะเอื้อ เช่นการเสริมโครงลวดตาข่ายฉาบปูนเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับประติมากรรมเทพบนชั้นเรือนธาตุ อะไรงี้ด้วยนะเออ
นั่นหมายความว่า สิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าพระปรางค์วัดอรุณนี้ไม่ใช่ของที่พระอินทร์เสกให้ตั้งอยู่อย่างนั้นแต่บรรพกาลไร้รอยขีดข่วน แต่ผ่านการสร้างการซ่อมครั้งแล้วครั้งเล่าจนปัจจุบัน จนยากที่จะบอกด้วยสายตาได้ว่าส่วนไหนชิ้นไหนมาจากยุคไหนฝีมือใคร ต้องให้หลักวิชาทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์ รวมไปถึงวิทยาศาสตร์จึงจะบอกได้อย่างแม่นยำ
เอาล่ะ พอมาถึงการบูรณะในครั้งนี้ เกิดอะไรกับไอ้กระเบื้องทั้งหลายนี้บ้าง? น้าทราบมาว่าทางบริษัทที่เป็นผู้ดำเนินการนั้น ได้อุตสาหะพยายามสร้างกระเบื้องดินเผาเลียนแบบของเดิม มีการวิเคราะห์จำแนกกระเบื้องของพระปรางค์ทั้งองค์ออกเป็นประเภทต่างๆ และพยายามเผาออกมาให้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด ทั้งสีและรูปร่าง เพื่อทดแทนกระเบื้องของเดิม แต่ก็ไม่ทิ้งความพยายามในการสงวนรักษากระเบื้อง"ของเก่า"ไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับหลักวิชาการอนุรักษ์โบราณสถานอีกด้วย
สรุปคร่าวๆก็คือ ไอ้ขาวๆด้วยปูนตำนั่นก็ดีงามแล้ว ไอ้กระเบื้องนั่นก็ดีงามแล้วอีก สาธุ สาธุ สาธุ
แต่เอาเถอะ ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปอวยกันอย่างเดียว ว่ากันตามตรงมันก็มีจุดบกพร่องอยู่ไม่น้อย เช่นการฉาบปูนตำหลายๆจุดก็ล้นจะท่วมกระเบื้องเคลือบ ทำให้เสียมิติลึกตื้นของลวดลาย หรือรูปทรงสัดส่วนของประติมากรรมประดับฐานพระปรางค์ไปพอสมควร แถมจุดที่มีการประดับกระเบื้องชุดใหม่ ก็อ่อนเรื่องฝีมือช่างไปบ้าง จนเครื่องทรงองค์เอวลวดลายต่างๆก็งามไม่สู้ของเก่า น้าไม่อยากพูดว่า มันดีเท่าที่จะดีได้หรือเราควรยอมรับเพราะมันพอรับได้ แต่อันนี้น้าพอจะเข้าใจได้ในฐานะศิลปินด้วยกัน คือไอ้ลายประดับกระเบื้องนี่มันมีความยากน่าดู เพราะไม่มีมีเส้นสายกำกับชัดเจนเหมือนอย่างลายเขียนหรือแกะสลัก แต่เป็นการติดชิ้นกระเบื้องที่เป็นชิ้นๆลงบนปูนให้เป็นลวดลาย ยากสัดๆนะนายจ๋า
แต่ถ้าจะหักคะแนนตรงนี้จริงๆ ก็คงไม่มีใครค้าน
ตอนนี้ น้าๆน่าจะเริ่มเห็นประเด็นต่างๆแยกตัวกันออกมาแล้ว ถ้าไม่ถูกใจอันไหน ด่าอันนั้นตามสบาย ถ้าไม่เห็นด้วยกับปูนตำ ด่าปูนตำ ไม่เห็นด้วยกับกระเบื้อง ด่ากระเบื้อง ไม่เห็นด้วยกับฝีมือช่าง ด่าฝีมือช่าง
และเวลาจะเปรียบเทียบติชม ก็ต้องเอาให้ชัดว่าตรงไหน ยังไง
ไม่ใช่ด่าเอาขลุมๆรวมๆไปเรื่อย จนอำพรางข้อดีบางข้อของงานไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ก็เอาเถอะ มาถึงจุดนี้น้าคิดว่าก็น่าจะยังมีคนที่รู้สึกยังไม่แฮปปี้ยังไงไม่รู้ อึนๆเหมือนขี้ไม่สุด บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ๆก็คือก็ยังคิดว่าการอนุรักษ์หนนี้มันน่าขัดใจอยู่ดี
น้าว่าน้ารู้ ไอ้อึนๆในหัวใจนั่นคืออะไร เดี๋ยวมาไขปริศนากันต่อ
: จากพระอจนะ ถึงโลหะปราสาท กระทั่งพระปรางค์วัดอรุณ
มีน้าท่านนึงในเพจแสดงความเ
แต่เราลองทำหัวว่างๆ วางเรื่องฝีมือช่างกับกระเบ
น้าเล่าตกไปนิดนึงว่า จริงๆสภาพผิวปูนก่อนหน้านี้
ประเด็นก็คือ ในช่วงเวลาที่พระปรางค์เก่า
ปรากฎการณ์ปฏิกิริยาของสังค
อีกเคสนึงก็เป็นที่วิพากษ์ว
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ยอดโลหะเคลือบน้ำยารมดำนี้ มันก็ไม่ใช่งานเก่าแก่อะไร เป็นงานปฏิสังขรณ์เมื่อราวๆ
แล้วก่อนยอดสีขาว 37 ยอดนั้น มันก็เคยเป็นอย่างอื่นมาแล้
ที่ยกมานี้น้าไม่อยากให้มอง
ดังนั้นในความเห็นของน้า ที่ผู้คนเค้าบ่นกันเรื่องโบ
และที่สำคัญ
เดี๋ยวมันก็จะดำคล้ำด้วยเขม
ส่วนที่มีประเด็นเรื่องความ
ขอรวบยอดตามใจตัวเองว่า งานอนุรักษ์ที่ดีมันก็จำเป็
แบบนี้ถึงจะแฮปปรี้แบบพอดีพ
คนติน้าก็เข้าใจ คนทำน้าก็เอาใจช่วย อยากเห็นทุกคนเกื้อหนุนส่งเ
จริงๆน้าก็เพิ่งไปสอบถามขอค
ก็คงเอาแค่นี้ดีกว่าเนาะ น้าอยากกลับไปหาเรื่องเฮฮาป
ใครมาบ๊งเบ๊งหยาบคายอะไรอีก












