จดหมายถึงโลก (หาอ่านยากเเปลให้พิเศษ)
ต้นปี 1965 ชาวเมืองมาดริด ประเทศสเปน จำนวนมากได้รับการติดต่อทางจดหมายและโทรศัพท์จากผู้ที่อ้างว่าเป็นมนุษย์จากโลกอื่นที่ต้องการแบ่งปันเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับมนุษย์โลก หนึ่งปีหลังจากนั้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1966 ผู้คนจำนวนมากเห็นจานบินบนท้องฟ้าในเมืองอโลเช (Alauche) ประเทศสเปน โฮเซ ลุยส์ จอร์แดน พีนา (Jose Luis Jordan Pena) หนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ได้สเกตช์ภาพจานบินเอาไว้และส่งให้กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
วันต่อมาข่าวจานบินที่มีเครื่องหมายประหลาดบนลำตัวก็แพร่กระจายออกไปทั่วประเทศสเปนและฝรั่งเศส อีกหนึ่งปีถัดมาในวันที่ 1 มิถุนายน 1967 อันโตนิโอ พาร์โด (Antonio Pardo) ช่างภาพสมัครเล่นสามารถถ่ายภาพจานบินประหลาดไว้ได้ สิ่งที่น่าตกใจคือจานบินลำนั้นมีรูปร่างและสัญลักษณ์บนลำตัวเหมือนกับภาพสเกตช์ของโฮเซอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เรื่องราวของผู้มาเยือนจากนอกโลกมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ข้อความในจดหมายที่มนุษย์ต่างดาวส่งให้กับชาวโลกจับใจความได้ว่า พวกเขามาจากดาว ")+(" อ่านออกเสียงว่าอุมโม (Ummo) อยู่ห่างจากโลกไป 14 ปีแสง เมื่อปี 1948 พวกเขาได้รับคลื่นวิทยุประหลาดที่ความถี่ 413.44 เมกาไซเคิล แต่ไม่สามารถเข้าใจความหมายหรือถอดรหัสได้ ชาวอุมโมค้นหาแหล่งที่มาของคลื่นวิทยุประหลาด พบว่ามันมาจากดาว "โอยากา" (Ooyagaa)
ซึ่งเป็นชื่อที่พวกเขาเรียกโลกมนุษย์ คลื่นวิทยุดังกล่าวถูกส่งโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์เมื่อระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 1934 มันใช้เวลา 14 ปีจึงเดินทางไปถึงดาวอุมโม ซึ่งจากการสืบสวนในภายหลังพบว่า มีนักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ได้ส่งคลื่นวิทยุความถี่ย่านดังกล่าวในช่วงเวลานั้นจริง ชาวอุมโมรู้สึกประหลาดใจที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการชั้นสูงอาศัยอยู่ในดาวดวงอื่น พวกเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางมาสำรวจโลก
ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น โดยใช้วิธีเดินทางผ่านอุโมงค์อวกาศหรือที่ชาวโลกเรียกว่า "รูหนอน" (Wormhole) จานบินแบนกลมนูนด้านบนและด้านล่างเดินทางมาถึงโลกเมื่อเดือนมีนาคม 1950 และร่อนลงจอดในที่ลับตาคนใกล้กับเมืองลาจาวี (La Javie) ริมเทือกเขาแอลป์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อส่งนักสำรวจเป็นชายสี่หญิงสอง
นักสำรวจชาวอุมโมซื้อโรงนาแห่งหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัย (ไม่ได้ระบุว่าใช้อะไรซื้อ) เพื่ออำพรางห้องลับใต้ดินที่ใช้ปฏิบัติการ พวกเขาใช้เวลานานพอควรในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แปลกออกไปเนื่องจากชาวอุมโมสื่อสารด้วยโทรจิต และแทบจะไม่เคยสื่อสารด้วยการออกเสียงเลย อีกทั้งพวกเขายังมีประสาทปลายนิ้วที่ไวต่อการสัมผัส ทำให้ยากต่อการหยิบจับสิ่งของบนโลก ปี 1967 นักสำรวจชาวอุมโมคัดเลือกรายชื่อชาวโลกที่พวกเขาต้องการติดต่อด้วย
โดยแจ้งว่าชาวอุมโมจะมาเยือนโลกอีกครั้งในเวลา 20.20 น. ของวันที่ 1 มิถุนายน 1967 โดยครั้งนี้เขาจะนำชาวโลกบางคนกลับไปยังดาวอุมโมในวันที่ 5 มิถุนายน แน่นอนว่าคนจำนวนไม่น้อยต้องการข้อพิสูจน์ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริง แต่นักสำรวจชาวอุมโมไม่สนใจว่าจะมีใครเชื่อหรือไม่
พวกเขาจะส่งข้อความอย่างต่อเนื่องจนกว่าคนเหล่านั้นจะเชื่อเอง เพราะชาวอุมโมคิดว่าพวกเขาทำงานง่ายกว่าด้วยการไม่เปิดเผยตัวตนมากเกินไป หมายการมาเยือนของชาวอุมโมถูกนำลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สเปนฉบับวันที่ 20 พฤษภาคม 1967 ทำให้ชาวเมืองมาดริดจำนวนมากถือกล้องรอถ่ายภาพจานบินจากต่างดาวและก็มีคนจำนวนมากถ่ายภาพเอาไว้ได้
พยานจำนวนมากยืนยันว่าเห็นจานบินร่อนลงจอดบนทุ่งโล่งในเมืองมาดริด หลังจากจานบินจากไปมีผู้พบหลอดโลหะขนาดความยาว 13.5 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ซม. ตกอยู่บนพื้น เมื่อเปิดฝาหลอดโลหะออกพบว่า ภายในบรรจุของเหลวซึ่งระเหยกลายเป็นไอทันที และยังพบแถบพลาสติกสีเขียว 2 ชิ้นมีเครื่องหมาย ")+(" จากการวิเคราะห์โดยห้องแล็บพบว่า ตัวหลอดทำมาจากทองแดงบริสุทธิ์
ส่วนแถบพลาสติกทำมาจากสาร Polyvinyl Fluoride นักวิทยาศาสตร์สาขาการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยมาดริดผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยนามท่านหนึ่งเล่าว่า มีชายลึกลับโทรศัพท์มาหาเขาที่บ้านพร้อมกับแนะนำตัวว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ต่างแดนที่ต้องการพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ นายแพทย์ท่านนั้นจึงเชิญชายลึกลับมาที่บ้าน คำแรกที่ชายลึกลับแนะนำตัวคือจริงๆแล้วเขาไม่ใช่แค่นักวิทยาศาสตร์ต่างแดน หากแต่เป็นนักวิทยาศาสตร์จาก "ต่างดาว"
หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ก่อนจะลากลับชายลึกลับก็บอกว่าจะให้หลักฐานพิสูจน์คำพูดของเขาด้วยการให้ยืม "สินค้าตัวอย่าง" สองสามวันต่อมา นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมาดริดก็ได้รับพัสดุเป็นกล่องโลหะสี่เหลี่ยมสีดำใบเล็ก ฝาด้านหนึ่งมีแผ่นโปร่งแสงคล้ายจอภาพติดอยู่ และในห่อพัสดุมีคู่มือวิธีการใช้กล่องโลหะ
หลังจากทำตามคำแนะนำในคู่มือที่แนบมา สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นจอภาพก็สว่างเปลี่ยนเป็นจอโปร่งใสเผยให้เห็นชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตที่ยังเต้นตุบๆบรรจุอยู่ภายในกล่อง เขาจึงถ่ายภาพมันเอาไว้แต่ไม่เคยนำออกมาเผยแพร่ และไม่เคยบอกว่าสิ่งนั้นคืออะไร อีกสองสามวันต่อมาก็มีชายแปลกหน้ามาขอกล่องโลหะคืน ภาพถ่าย UFO ที่พบเห็นกันในเมืองมาดริด ช่วงทศวรรษที่ 60 เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับพวกอุมโม
เฟอร์นานโด เสสมา แมนซาโน (Fernando Sesma Manzano) อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยและผู้สื่อข่าว ทำการรวบรวมข้อมูลการพบเห็นและได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวอุมโม ระหว่างปี 1965-1967 นำมาเรียบเรียงแต่งหนังสือชื่อ "ชาวอุมโม ผู้อาศัยจากต่างดาว" (Ummo, Another Planet Inhabited) ปี 1967 เฟอร์นานโดได้รับโทรศัพท์จากชายแปลกหน้าใช้ชื่อว่า จูเลี่ยน เดลกาโด (Julian Delgado) อ้างว่าเขามีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องราวในหนังสือของเฟอร์นานโดมามอบให้
นับตั้งแต่นั้นมาเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวอุมโมก็หลั่งไหลพรั่งพรูลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง เท่านั้นยังไม่พอ เฟอร์นานโดได้ก่อตั้ง "สมาคมพันธมิตรของผู้มาเยือนจากอวกาศ" (Association of Friends of Space Visitors) ขณะเดียวกัน ฌอง ปิแอร์ เปติต (Jean Pierre Petit) นักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส ได้รวบรวมข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวอุมโม ซึ่งเขายอมรับว่าเนื้อหาต่างๆมีความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์สูงมาก
และเชื่อว่าชาวอุมโมมีตัวตนจริงๆ ตั้งแต่มีการพบเห็นจานบินชาวอุมโมครั้งแรกจนถึงปี 1983 มีบันทึกแจ้งการเห็นจานบินและได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวทั้งสิ้นมากถึง 6,700 ครั้ง เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์เกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่มีพยานพบเห็นมากที่สุดในโลก หนังสือที่เฟอร์นานโดเขียนขึ้น
ดร.ฌอง ปิแอร์ เปติต ยอมรับว่า นี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรือเรื่องพิเรนทร์ของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่สร้างจดหมายปลอมว่าเป็นจดหมายจากมนุษย์ต่างดาวขึ้นมาได้ มิหนำซ้ำ วิทยาการหลายอย่างที่นำเสนอในจดหมายนั้น ได้มีการนำไปประยุกต์ทดลองในปัจจุบันด้วย จดหมายเหล่านี้และเนี้อหาที่เป็นวิทยาการชั้นสูงของมันคือหลักฐานที่ดีที่สุดในการยืนยันว่า มีการดำรงอยู่ของมนุษย์ต่างดาวอยู่แล้วภายในตัวนั่นเอง อันที่จริง จุดประสงค์ในตอนแรกที่มนุษย์ต่างดาวอุมโมมาเยือนโลกใบนี้คือมาสำรวจวิจัยเท่านั้นเอง
แต่เขาเกิดอยากรู้ปฏิกริยาของชาวโลกว่า ถ้าหากชาวโลกรู้ว่ามีมนุษย์ต่างดาวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ มาแอบอาศัยอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้สึกกันอย่างไร เขาจึงทดลองส่งจดหมายไปถึงเชสม่า และ็ส่งติดต่อกันมาเรื่อยๆ เนื้อหาของ
จดหมายส่วนใหญ่เกี่ยวกับวิทยาการเทคโนโลยี่ขั้นสูง ประวัติศาสตร์ของดาวอุมโม และสังคมของมนุษย์ต่างดาว ในปีค.ศ.1967 มนุษย์ต่างดาวอุมโมได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้เชสม่าและพวกว่ายานอวกาศของพวกเขาจะมาร่อนลงที่ชานเมืองมาดริดในวันรุ่งขึ้น เชสม่าเองก็ยังไม่แน่ใจในจดหมาย จึงร่างจดหมายพิสูจน์ยืนยันรับรองกับเพื่อนๆทุกคนให้ เซ็นชื่อเป็นพยายไว้ก่อน พอวันรุ่งขึ้นยานอวกาศก็มาจริงๆ เป็มที่ประจักษ์ของผู้คนจำนวนมาก และยังมีร่องรอยปรากฎให้เห็นบนพื้นดินด้วย ดร.ฌอง ปิแอร์ เปติต
ดร.ฌอง ปิแอร์ เปติต ได้รับมอบสำเนาจากเพื่อนนักดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นจดหมายสำเนาของมนุษย์ต่างดาว ที่แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสแล้ว(จากภาษาสเปน)ประมาณ 50 หน้า เกี่ยวกับกลไกของยานอวกาศ มาให้เขาลองอ่านดู เมื่อเขาได้อ่านจดหมายเหล่านั้นแล้วเขาถึงกับตื่นเต้น เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยานอวกาศคนหนึ่งเช่นกัน
จึงตระหนักถึงความน่าทึ่งของเนื้อหาในจดหมายเหล่านั้น และรีบเดินทางไปพบกับเชสม่า ที่สเปนทันที เพื่อรวบรวมจดหมาย จนได้มาเพิ่มอีกเืกือบหนึ่งพันหน้า จากนั้นเขาก็ทำการทดลองและคำนวณเพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ภายหลังจากการค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี ผลวิจัยที่เขาอ้างอิงมาจากจดหมายของมนุษย์ต่างดาวอุมโม ทำให้เขามีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมา 3 เรื่องใหญ่ๆด้วยกัน คือ
1.ทฎษฎีเกี่ยวกับเครื่องบินประเภทใหม่ที่ใช้พลังแม่เหล็กไฟฟ้ากวนอากาศ ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนแบบใหม่ สามารถทำให้เครื่องยกตัวลอยได้
2. หากสามารถสร้างสูญญากาศบริเวณส่วนหน้าของเครื่องบิน โดยการดูดโมเลกุลอากาศ เครื่องบินเหล่านั้นจะบินได้เร็วกว่าเสียงในระดับเกิน 5มัค(Mach)ได้โดยไม่เกิดคลื่นช็อก
3.สามารถพิสูจน์ให้เห็นความเป็นไปได้ว่า จักรวาลไม่ใช่มีอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่มีโครงสร้างแฝดคู่ ที่มีทิศทางของเวลาสวนกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่จะเคลื่อนที่ระหว่าง อวกาศด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสงได้ ผลงานวิจัยของ ดร.ฌอง ปิแอร์ ถูกตีพิมพ์ ในวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำ หลังจากนั้นไม่นาน คือในเดือนตุลาคม ปีค.ศ 1991 ตัวปิแอร์ ก็เริ่มได้รับจดหมายจากมนุษย์ต่างดาวโดยตรง! เป็นภาษาฝรั่งเศส
ข้อความต่อไปนี้ คือบางส่วนของจดหมายจากมนุษย์ต่างดาวอุมโม ที่กล่าวถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนโลกของพวกตน "พวกชาวโลก เมื่อได้เห็นจดหมายจำนวนมากจากพวกเราแล้ว คงจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจหลายคำถามเป็นแน่ เราจะลองตั้งคำถามเหล่านั้นออกมาแล้วตอบให้ฟังทีละข้อ"
A.กลุ่มคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวนี้ทำไมส่งจดหมายมาให้ชาวโลก?
# เหตุที่เราใช้เครื่องมือข่าวสารเป็นจดหมายนั้นก็เพราะว่าในช่วงเวลาหลายปีที่พวกเราทุ่มเทศึกษาวัฒนธรรมของพวกคุณ โดยย้อนไปถึงต้นตอนั้น เราได้ใช้ประโยชน์จากเอกสารต่างๆ ของชาวโลกเป็นจำนวนมาก พวกเราจึงอยากแสดงความขอบคุณและตอบแทนในรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้คุณได้ประโยชน์จากการศึกษาเรื่องราวของพวกเราบ้างB.พวกเราชาวโลกควรจะยอมเชื่อ หรือไม่เชื่อ พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว?
# พวกเรามาเยือนโลกใบนี้เป็นครั้งแรก ในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ.1950 เวลา4 นาฬิกา 16 นาที 42 วินาที ตามเวลาสากลที่เทือกเขาแอลป์ ประเทศฝรั่งเศส จุดประสงค์ของพวกเราในตอนแรกคือมาสำรวจอารยธรรมของโลกนี้อย่างลับๆ แต่ต่อมาพวกเราได้เปลี่ยนแผนและเริ่มติดต่อชาวโลกโดย ผ่านจดหมาย แผนการของพวกเรามีแผนสำรองเตรียมไว้ด้วยถ้าเผื่อปฎิกริยาของชาวโลกที่มีต่อพวกเรา ออกมาในทางลบ เราจะปล่อยข่าวสารออกมาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือในจดหมายฉบับก่อนๆของพวกเรา แต่จนปัจจุบัน การดำเนินงานของพวกเรายังเป็นไปได้ด้วยดี
C.ข้อมูลที่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นข้อมูลจริงหรือปลอม พวกเราชาวโลกจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไรดี?
# จดหมายที่พวกเราเขียนถึงผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์บางคนนั้น เราได้ให้ข้อมูลที่สามารถตรวจสอบและทดลองได้ แต่แม้เราจะเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่โลกไม่รู้ ก็ตามที เราก็พยายามระวังที่จะไม่ให้ข้อมูลเหล่านี้ไปสร้างความวุ่นวายให้กับวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ของชาวโลกด้วยการไม่เปิดเผยทั้งหมด ข้อมูลที่พวกเรา ถ่ายทอดให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั้น เราถือเป็นสมบัติร่วมของมนุษย์ทุกคน ตราบใดที่มีคนไปเรียนรู้มันเราจึงไม่สนว่าใครจะใช้ข้อมูลของเราไปในทางใด
D.ถ้าเราเชื่อว่าพวกคุณมาจากต่างดาวจริง และเห็นด้วยกับคำเตือนของพวกคุณเกี่ยวกับวิกฤติของโลกใบนี้ พวกคุณจะให้พวกเราตัดสินใจอย่างไร? ระหว่างรับเอาอุดมการณ์ของพวกคุณ หรือการปฏิบัติตามเข็มมุ่งตามของผู้นำโลก?
# ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริง เราจึงไม่อยากอภิปรายในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่เราบอกพวกคุณได้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ก็ตามที พวกคุณควรจะปฏิบัติตามกฏระเบียบของชาวโลก หาใช่พวกของเราไม่ E.ถ้าหากว่าพวกคุณเป็นมนุษย์ต่างดาว ที่มีโครงสร้างร่างกายแตกต่างไปจากพวกเราชาวโลกจริง พวกเราควรแจ้งเรื่องนี้ให้พรรคพวกเพื่อนร่วมโลกของเรารับทราบหรือไม่?
# คนส่วนใหญ่ในสังคมของพวกคุณ ยังพยายามปฎิเสธไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของพวกเรา เพราะฉนั้นเราจึงขอเตือนคุณไม่ให้ทำอะไรที่เกินควร จนอาจมีผลกระทบต่อชื่อเสียงและฐานะทางสังคมของพวกคุณได้ F.ทีมสำรวจของอุมโม มีจุดประสงค์อะไรหลังจากนี้บ้าง?
พวกคุณคิดจะปรากฎตัวต่อหน้าพวกเราไหม? และจะเข้ามาแทรกแซงให้เกิดความโกลาหลแก่โลกเราหรือไม ่?
# คำตอบของพวกเราต่อคำถามนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ในทางตรรกะอยู่แล้ว พวกเรามีโปรแกรมของเราอยู่เองแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่จะปรับเปลี่ยนโปรแกรมของพวก เราอย่างขนานใหญ่หลังจากนี้ด้วย ส่วนนโยบายของพวกเรานั้นจะเป็นอย่างไรมันขึ้นอยู่กับ แนวโน้มของโลกหลังจากนี้จะคลี่คลายไปในทิศทางไหน และขึ้นอยู่กับคำสั่งฝ่ายนำของพวกเราด้วย ในปี 1970 จะมีพวกเราเหลือที่โลกนี้ 82 คน โดยกระจายไปอยู่ตามประเทศต่างๆทั่วโลก
ส่วนจดหมายอีกฉบับหนึ่งที่ลงวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ.1967 นั้น เนื้อหาเป็นศัพท์เทคนิคมาก เกี่ยวกับโครงสร้างจักรวาลและวิชาฟิสิกส์จักรวาล ซึ่งยากเกินกว่าจะอธิบายให้เข้าใจ จึงต้องขอข้ามไป โดยจะขอนำเสนอเนื้อหาในจดหมายฉบับที่ 3 ซึ่งลงวันที่ 20 มกราคม ค.ศ.1988 แทน ซึ่งเนื้อหาน่าสนใจมากเพราะมนุษย์ต่างดาวอุมโมได้พูด ถึงสภาพที่เป็นวิกฤติของมันสมองของชาวโลกส่วนใหญ่ ที่ใช้กันอย่างผิดพลาด และมีแต่ "มนุษย์ภาพใหม่" เท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหา วิกฤติการณ์แห่งการทำลายล้างตนเองของมนุษย์พวก โฮโม-เซเปียนส์ ได้
ข้อความต่อไปนี้คือบางตอนในจดหมายของชาวอุมโม ในปีค.ศ.1988 ที่เกี่ยวกับ"จักรวาลทัศน์" ของพวกเขา จักวาลทัศน์ของพวกเราตั้งอยู่บนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่น เท่าที่เรารู้นั้น เราทราบว่าเราอยู่ท่ามกลางจักรวาลเชิงซ้อนหรือมีโครงสร้างคู่แฝด ต้นตอของข่าวสารที่มากมายมหาศาลของจักรวาลที่สามารถให้ความเป็นไปได้แก่รูปการณ์ใดๆทั้งปวงนั้น อยู่ท่ามกลางของสิ่งที่มีสองขั้ว สรรพสิ่ง และ สิ่งมีชิวิต
ทั้งที่รับรู้โดยประสาทสัมผัสได้ และที่ไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้ ล้วนเกิดมาจากทั้งสองขั้วนี้ทั้งสิ้น ถ้าหากไม่มีการดำรงอยู่ของสองขั้วนี้ในการสร้างสรรค์ จักรวาลก็จะไร้รูปร่างที่แน่นอน เป็นสารรูปที่ไร้เรื่องราวไร้ข่าวสารเป็นเพียงดุจผลึกก้อนมหึมาเท่านั้นเอง พวกเราได้เรียกแกนกลางแห่งวิวัฒนาการของจักรวาลที่เป็นผู้ให้รหัส(code) แก่รูปลักษณ์ทั้งปวงของสรรพสิ่งนี้ว่า"อัว"(WOA) คือแผนการหรือโปรแกรม ประเภทหนึ่ง
เป็นแหล่งข่าวสารของจักรวาลผู้คอยดูแลสิ่งมีชีวิต และอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวีตทั้งปวง กล่าวในอีกความหมายหนึ่ง "อัว"จึงเป็นองค์ประธานที่คอยควบคุมกฎอันเป็นสากล เป็นปฐมเหตุของพวกเรา หากจะเทียบกับ"พระผู้สร้าง"ที่พวกเทววิทยาของชาวโลกนั้น หากดูเผินๆจะมีส่วนร่วมกันมากทีเดียว แต่อย่างที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าจินตภาพ(Image) ของ "พระเจ้า" สำหรับชาวโลกนั้น มีความแตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละศาสนาบนพื้นโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือเทพเจ้าองค์ไหนต่างก็มีรูปลักษณ์คล้ายคน เป็นผู้มีจิตใจดีงามอย่างสมบูรณ์อย่างไร้ขอบเขต ในขณะที่ "อัว"
ซึ่งเป็นปฐมเหตุของพวกเรานั้น เป็นสิ่งที่ถูกรับรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทววิทยาเลยแม้แต่น้อย โลกที่เราอยู่จึงไม่มีขบวนการทางศาสนา เพราะเรายึดถือเหตุผลและบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เป็นสรณะเท่านั้น "อัว"ของดาวเคราะห์ของเราจึงไม่เคยบอกว่าต้องสร้างโบสถ์ ต้องสร้างศาสนา
เนื่องจากเราเกิดในสังคมที่วิวัฒนาการแล้ว จึงเน้นความถูกต้องแม่นยำโดนไม่ยอมให้มีที่ว่าเหลือไว้แก่"เทพนิยาย"เลนแม้แต่เพียงน้อยนิด ในขณะที่ศาสนาคริสต์เกิดในยุคที่ยังไม่มีวิทยาศาสตร์ จึงต้องใช้วิธีเปรียบเปรยแทน
การจัดตั้งจักรวาลของ"อัว" มิใช่จิตภาพแบบ"พระผู้สร้าง"ของมนุษย์ แต่เป็นดุจ "มันสมอง"ของช่างปั้นหม้อมากกว่า สายตาของช่างจะพุ่งไปที่ก้อนดินเหนียว (วัตถุและพลังงาน) ขณะที่ใช้มือปั้นหม้อขึ้นมา
ซึ่งกระบวนการปั้นหม้อนี้จำเป็นต้องมีกระบวนการทางสติปัญญาอย่าน้อยสองกระบวนการด้วยกัน คือ การดีไซน์แบบของภาชนะ (Model Design) หรือโมเดลข่าวสาร และการตระหนักถึงเจตนารมณ์ที่จัดตั้งของจักรวาล พร้อมคอยควบคุมให้การปั้นหม้อเป็นไปได้ดังเป็นไปดังใจ สิ่งที่จัดตั้งจักรวาลนี้ ต่างดำรงอยู่ร่วมกับปรากฎการณ์จิตแบบรวมหมู่ ของดาวเคราะห์ต่างๆ ที่รักษาความเป็นอิสระซึ่งกันและกันเอาไว้" อัว"จึงเป็นมันสมอง ของจักรวาล
โดยที่จักรวาลที่เป็นองค์รวมจะมีพฤติกรรมดุจตัวตนองคชีวภาพในเชิงไซเบอเนติคส์ (Cybernetics) ขนาดใหญ่ และมีความสามารถในการปรับปรุงบูรณะตนเองอยู่ภายในตัว ดาวเคราะห์ที่แข็งตัวแล้ว ครั้นเมื่อมีความเย็นเพียงพอ พื้นผิวของมันจะเกิดองค์โมเลกุลที่ซับซ้อนขึ้นมา โดยองค์โมเลกุลนี้จะทวีความซับซ้อนให้แก่ตัวเองเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อซับซ้อนมากขึ้นถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดการก้าวกระโดดทางคุณภาพ ทีละช่วงจนกลายมาเป็นดังเช่นที่เห็นกันในปัจจุบัน มนุษย์สามารถสัมผัสติดต่อกับ จิตสำนึกรวมหมู่ ของดาวเคราะห์ได้ก็โดยผ่านการก้าวกระโดดทางคุณภาพ เช่นนี้เอง
เมื่อมนุษย์ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของจักรวาลรอบๆตัวข ึ้นมาโดยฉับพลัน เขาจะมีดุลยพินิจในเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเอง ในวิวัฒนาการของมนุษย์นั้น ระบบเครือข่ายทางประสาทนับว่าซับซ้อนจริงๆ เส้นใยประสาทอันซับซ้อนที่มีเป็นส้านๆเหล่านี้ พัวพันกันอย่างนัวเนียและมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่ง กันและกัน และมันสมองของมนุษย์ ก็คือจะรับข่าวสารจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่อยู่รอบ ๆตัว ซึมซับเข้าไปในตัวเอง และปล่อยข่าวสารบางส่วนไปสู่ มันสมองของดาวเคราะห์โลก(จิตสำนึกแห่งโลก) หรือไม่ตัวเองก็ใช้ข่าวสารนี้เพื่อปรับเป็นฝ่ายกระทำ ต่อสภาพแวดล้อมทางกายภาพของโลกได้เช่นกัน
มนุษย์ต่างดาวยังกล่าวว่า มันสมองของมนุษย์นั้นถือเป็นเครือข่ายที่สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาเครือข่ายที่มีมาจนถึงปัจจุบัน และสิ่งหนึ่งที่ที่พวกเขายอมรับว่าสู้ไม่ได้เรื่องหนึ่งก็คือ "ศิลปะและจินตนาการ" ส่วนสมองของพวกมนุษย์ต่างดาวอุมโมเองนั้น มีรูปร่าง และโครงสร้างที่แตกต่างไปจากสมองของชาวโลกบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเป็นความแตกต่างในเชิงก้าวกระโดดทางคุณภาพ ความจริงความสามารถทางจิตของมนุษย์ก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆและเริ่มจะมีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์ทางจิตสำนึกรวมหมู่ของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆมากขึ้นเรื่อยๆ
และชาวโลกเริ่มมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ชีวภาพ ที่จะเข้าไปแทรกแซงโครงสร้างของเซลประสาทสมองได้แล้ว อันเป็นการกระทำที่ฝืนกฎธรรมชาติโดยที่ชาวโลกหารู้ตัวไม่ว่า ตัวเองกำลังทำเรื่องที่เสี่ยงภัยขนาดไหน ลักษณะพิเศษที่สุดของ"เครือข่าย"คือความสามารถในการพัฒนาสร้างสรรค์
และบรรลุการก้าวกระโดดทางคุณภาพนั้นไม่ได้หมายถึง การเพิ่มความซับซ้อนเฉยๆ เท่านั้น เพราะการก้าวกระโดดทางคุณภาพสมองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความหนาแน่นของข่าวสารภายในสมองที่มีปริมาณมากถึง 10 ยกกำลัง 19 ต่อหนึ่งลูกบาศก์เซ็นติเมตร ขึ้นไปแล้วเท่านั้น และกว่าที่จิตสำนึกแบบใหม่ที่เหนือธรรมดาจะเกิดขึ้นได้ มันจะต้องมีการเชื่อมกันใหม่ระหว่างแผ่นกั้นตรงกลางส มอง Septum กับ Amygdlae ของผิวสมองส่วนหน้า และกับ Thalamus ภายในสมองเกิดขึ้นเสียก่อน
มนุษย์ต่างดาวอุมโมอ้างว่า"อะตอมคริปตัน" ที่ประกอบขึ้นเป็น "แก๊สเจือจาง"ภายในช่องที่สามของสมองมนุษย์นี้แหละคือโซ่ทางวัตถุที่เชื่อมวิญญาณกับร่างกายของมนุษย์เข้า ด้วยกัน เขาอ้างว่าวิทยาศาสตร์ของชาวโลกในปัจจุบันยังไม่สามารถค้นพบ อะตอมคริปตันและแก๊สเจือจางนี้ได้ เพราะแม้แต่พวกเขาเองก็ยังถือว่าการค้นพบสิ่งนี้เป็น เรื่องใหญ่ ในวงการชีววิทยาของเขาเลยทีเดียว เขาอ้างว่าพวกเขาได้พบว่ากลุ่มอิเลคตรอนของอะตอมคริปตันในต่อมใต้สมองไฮโปทาลามัสของผิวสมองใหญ่ มีการทำงานร่วมกันและประสานกันอย่างชัดเจน
และเชื่อมเข้ากับการทำงานของเส้นประสาทที่เกิดจากคลื่นสมองคนด้วย พูดง่ายๆก็คือพวกเขาเห็นว่าอิเล็คตรอนในคริปตันนี้แหละ เป็นตัวสั่งการร่างกายอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้ พวกเขายังได้ค้นพบอีกว่าในอะตอมคริปตันนี้ ยังมีกลไกที่ทำหน้าที่สื่อสาร ( ส่งข่าวสาร ) อีกด้วย แต่สิ่งที่ชาวโลกเพิ่งค้นพบได้ไม่นานมานี้คือ แกสเสรี NO ( ไนตริคออคไซด์ ) ภายในสมองที่มีบทบาทต่อกระบวนการความจำเท่านั้น เอกสารจากชาวอุมโม
แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่มีพยานพบเห็นมากที่สุด แต่กลับไม่ปรากฏหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันที่จับต้องได้นอกจากภาพถ่ายและจดหมายซึ่งง่ายต่อการปลอมแปลง ส่วนผู้ที่อ้างว่าครอบครองวัตถุจากต่างดาวก็ไม่เคยนำออกมาเปิดเผย ถึงกระนั้นเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวอุมโมได้แพร่สะพัดออกไปทั่วประเทศสเปนและฝรั่งเศสติดต่อกันเป็นเวลานานหลายสิบปี
แต่ในที่สุด โฮเซ ลุยส์ จอร์แดน พีนา บุคคลแรกที่สเกตช์ภาพจานบินอุมโมก็ยอมเปิดปากเฉลยความลับของเพื่อนจากต่างดาว โฮเซเล่าว่าเมื่อประมาณกลางทศวรรษที่ 1950 เขาตั้งทฤษฎีว่าความตื่นตระหนกสามารถแพร่กระจายออกไปในหมู่ประชากรได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงมากกว่าที่นักจิตศาสตร์ในยุคนั้นคาดคิด เขาคิดว่าคนอย่างน้อย 79 เปอร์เซ็นต์ได้รับผลกระทบจากความตื่นตระหนก
เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้ โฮเซจึงแต่งเรื่องมนุษย์ต่างดาวอุมโมขึ้น โดยมีการใส่รายละเอียดต่างๆลงไปจนดูน่าเชื่อถือ นอกจากนี้เขายังเป็นคนทำหลักฐานเท็จต่างๆด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยการลงจอดของจานบินและการสร้างวัตถุจาก TEDLAR ซึ่งเป็นพลาสติกพิเศษที่ใช้ในโครงการอวกาศขององค์การนาซ่าหรืออีกชื่อหนึ่งคือ Polyvinyl Fluoride นั่นเอง
โฮเซส่งข่าวสารไปยังบุคคลต่างๆที่เขาเลือกเฟ้น โดยผู้รับสารแต่ละคนจะได้รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับอาชีพการงานของพวกเขา ดังนั้น ผู้ที่เข้าใจเนื้อหาของข่าวสารจะมีเฉพาะผู้ที่ทำงานในสาขานั้นๆเท่านั้น
ทำให้ข่าวสารมีความน่าเชื่อถือ ลัทธิอุมโมเริ่มเลยเถิดออกไปก็ตอนที่เฟอร์นานโด เสสมา แมนซาโน เข้ามาร่วมวงแหกตาประชาชนช่วยแพร่กระจายออกสารออกไปตามหน้าหนังสือพิมพ์และพ็อกเก็ตบุ๊ค จนกระทั่งยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ และบุคคลที่เสียผู้เสียคนไปกับการแหกตาระดับโลกครั้งนี้คือ ดร.ฌอง ปิแอร์ เปติต
แต่ปริศนากลับไม่จบลงอย่างง่ายๆ เมื่อมีคนตั้งคำถามว่า โฮเซ ลุยส์ จอร์แดน พีนา เอาสาร TEDLAR ซึ่งเป็นสารควบคุม ไม่มีขายในท้องตลาด จะมีใช้ก็เฉพาะในกองทัพสหรัฐเท่านั้นมาได้อย่างไร หรือว่ามีใครในกองทัพสหรัฐอยู่เบื้องหลังการแหกตาครั้งนี้ เพื่อทำการทดลองสิ่งที่จะนำไปใช้ในสงครามจิตวิทยา
ที่มา หนังสือ สมาธิหมุน มังกรจักรวาล ดร.สุวินัย ภรณวลัย อุมโม เพื่อนต่างดาว ศิลป์ อิศเรศ http://www.ummo-sciences.org
ที่มา http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/02/X7556844/X7556844.html