เลบานอนเป็นประเทศเล็กๆ ในตะวันออกกลางซึ่งมีประชากร 6 ล้านคน ทว่า 6 ปีก่อนหน้านี้ ก่อนเกิดสงครามกลางเมืองซีเรีย เลบานอนมีประชากรเพียง 4.5 ล้านคนเท่านั้น และเวลานี้ต้องรองรับผู้ลี้ภัยซึ่งขึ้นทะเบียนกับ UNHCR มากกว่า 1 ล้านคน
“จากจำนวนผู้ลี้ภัยทั้งหมด มีเด็กที่อยู่ในวัยเข้าเรียนมากถึง 500,000 คน แต่มีเด็กเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับการศึกษาในโรงเรียน” Bassam Khawaja เจ้าหน้าที่วิจัยของฮิวแมนไรท์วอทช์ในเลบานอนกล่าว
“ดังนั้นเด็กๆ 250,000 คน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ล้านกำลังไม่ได้รับการศึกษาที่เป็นทางการในเลบานอน” นอกจากนี้จำนวนเด็กที่ไม่ได้รับการศึกษายังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น
“นอกจากผู้ลี้ภัยชาวซีเรียที่ขึ้นทะเบียนกับ UNHCR แล้ว ยังมีชาวซีเรียอีกกลุ่มใหญ่ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน รัฐบาลประเมินจำนวนพวกเขาไว้ราว 500,000 ราย” เจ้าหน้าที่ฮิวแมนไรท์วอทช์เสริม “ดังนั้นเราไม่รู้เลยว่าในจำนวนดังกล่าวมีกี่คนที่อยู่ในวัยเข้าโรงเรียน”
ทั้งนี้ เลบานอนไม่ได้เป็นประเทศภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ ปี 1951อีกทั้งไม่มีกฎหมายว่าด้วยการรับมือกับผู้ลี้ภัย และเมื่อปี 2015 รัฐบาลเลบานอนเคยแนะนำให้ UNHCR หยุดการขึ้นทะเบียนผู้ลี้ภัยจากซีเรีย
โดยปัจจุบันทางรัฐบาลเลบานอนให้ความคุ้มครองชั่วคราวแก่ชาวซีเรีย และนิยามว่าพวกเขาเป็น “ผู้พลัดถิ่น”
เด็กๆ ผู้ลี้ภัยสามารถเข้าโรงเรียนได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานยืนยันทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับว่าด้วยถิ่นที่อยู่ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ของครอบครัวชาวซีเรีย
อย่างไรก็ดี มาตรการหนึ่งที่รัฐบาลเลบานอนใช้กับโรงเรียนรัฐเพื่อรับมือกับผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามา คือการเปิดชั้นเรียนภาคบ่ายในโรงเรียนรัฐเพื่อชาวซีเรียโดยเฉพาะ
ทว่านอกเหนือไปจากปัญหาข้างต้น การกลั่นแกล้งและการเหยียดเชื้อชาติชาวซีเรียในโรงเรียนภาคบ่ายยังลดทอนกำลังใจเด็กๆ จำนวนมากจนทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน
ฮิวแมนไรท์วอทช์ประเมินว่า ในประเทศตุรกี เลบานอน และจอร์แดน มีเด็กชาวซีเรียอย่างน้อยรวม 750,000 คนที่ไม่ได้รับการศึกษาในโรงเรียน อีกทั้งยังเตือนว่าเด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงจะกลายเป็น “รุ่นที่สูญหาย”