รีวิวหนัง War for the Planet of the Apes
ในที่สุดก็ได้ดูเสียที หลังจากที่รอมาเนิ่นนานกับภาคจบของไตรภาค “พิภพวานร” ฉบับตีความใหม่
โดยพูดถึงตัวละครเอกที่เป็นผู้นำอาณาจักรวานรอย่าง “ซีซ่าร์”
ตั้งแต่การเกิด การเติบโต ไปจนถึงการได้เรียนรู้ที่มาของเผ่าพันธุ์ และนำมาสู่การปกป้องเผ่าพันธุ์
ไปจนถึงการบานปลายออกมาเป็น “สงคราม” ระหว่าง มนุษย์ และวานร อย่างที่ชื่อของภาคนี้ได้จั่วหัวไว้
แต่หลังจากที่ได้ชม ก็พบว่า จริงๆหนังไม่ได้ปูทางออกมาให้แอ๊คชั่น สงครามขนาดนั้น
แต่หนังได้ลงลึกในประเด็นดราม่า เมื่อฐานที่มั่นที่เรียกว่า “บ้าน” และ “ครอบครัว” ถูกทำลาย
ทำให้ “ซีซ่าร์” ผู้เป็นผู้นำของวานร ต้องลุกขึ้นมา ออกตามหาบ้านหลังใหม่ ที่จะเป็น “พิภพวานร” สำหรับ Ape
อยู่ได้อย่างปลอดภัย และ สันติ อีกครั้ง
(สำหรับใครที่สนใจรับฟังรีวิวแบบคลิปก็กดฟังได้ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ)
หนังภาคนี้ได้มี แอนดี้ เซอร์คิส กลับมารับบทนำเป็นตัวละครซีซ่าร์ (ผ่านเทคนิคพิเศษโมชั่นแคปเจอร์) และมี แมท รีฟส์ มาทำหน้าที่กำกับอีกครั้งต่อจากภาคที่แล้ว สำหรับผมมองว่า ภาคนี้ ตัวละครต่างๆที่อยู่ในหนังมาตั้งแต่ภาคก่อนๆ ได้มีการเติบโตมากขึ้น และในภาคนี้ จะเป็นจุดเรียนรู้ในการ “สูญเสีย”
แต่ท่ามกลางความ “สูญเสีย” ระหว่างของทั้งสองเผ่าพันธุ์
มันมีจุดตรงกลางที่หนังทำให้เห็นว่า
ท้ายที่สุด มันไม่มีใครอยากให้จบลงแบบนี้
มิตรภาพที่ถูกก่อขึ้นท่ามกลางเส้นบางๆ และถูกทำลายลงในภาคที่แล้ว ได้เป็นตัวขับเคลื่อนให้กับหนังภาคนี้เป็นอย่างดี
ในความรู้สึกส่วนตัว ผมประทับใจกับหนังภาคที่แล้วมากกว่า ในแง่ของคอนเซป การดำเนินเรื่อง การตัดต่อ ดนตรีประกอบ และภาพรวมของหนัง ทำได้น่าประทับใจมากกว่า เรียกได้ว่าถึงขั้น “ขึ้นหิ้ง”
แต่ในหนังภาคนี้ จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โปรดักชั่นดูใหญ่ขึ้น การถ่ายภาพ เทคนิคของตัวละครดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
แต่การดำเนินเรื่อง ในช่วงแรกๆจนถึงช่วงกลางยังมีความเนิบและเชื่องช้าอยู่พอประมาณ แต่ก็ทำได้ดี จบลงตัวในช่วงท้าย
การตัดต่อ การเล่าเรื่อง ยังมีความขัดใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า หนังมีมาตรฐานงานสร้างและมีคุณภาพโดยรวมเข้าขั้นว่า “ดีงาม” แม้จะ “ไม่ดีงามขนาดนั้น” อย่างที่ตั้งใจมาดู จากความคาดหวังที่มีจากในภาคก่อนหน้า
แต่หนังภาคนี้ก็ถือว่าเป็นการปิดไตรภาคที่สมบูรณ์แบบอีกหนึ่งเรื่อง
ปล. ไม่แนะนำให้คนที่ยังไม่เคยดูสองภาคแรกไปดู เพราะอาจไม่เข้าใจในมุมมองการคิด การตัดสินใจของตัวละคร และจะไม่ได้อารมณ์ร่วมมากเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณดูมาทั้งสองภาคแล้ว ภาคนี้ก็น่าไปเก็บให้ครบ แต่อย่าคาดหวังกับหนังจนมากเกินไปก็พอ
ปล2. ผมยังเชื่อในมือผู้กำกับ แมท รีฟส์ เขาเป็นอีกคนที่มีความสามารถในการถ่ายทอดฉากดราม่าและถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ในแง่งานสร้างได้ดีมาก หลังจากนี้ แกได้รับมือไปกำกับ The Batman ภาคใหม่ น่าสนใจมากๆว่าแกจะตีความออกมาอย่างไร ก็ขอเป็นอีกกำลังใจให้เฮียด้วยแล้วกันนะครับ
ปล3. ฝากคลิปจากผมด้วยนะคร้าบ
รีวิวหนัง War for the Planet of the Apes
ในที่สุดก็ได้ดูเสียที หลังจากที่รอมาเนิ่นนานกับภาคจบของไตรภาค “พิภพวานร” ฉบับตีความใหม่
โดยพูดถึงตัวละครเอกที่เป็นผู้นำอาณาจักรวานรอย่าง “ซีซ่าร์”
ตั้งแต่การเกิด การเติบโต ไปจนถึงการได้เรียนรู้ที่มาของเผ่าพันธุ์ และนำมาสู่การปกป้องเผ่าพันธุ์
ไปจนถึงการบานปลายออกมาเป็น “สงคราม” ระหว่าง มนุษย์ และวานร อย่างที่ชื่อของภาคนี้ได้จั่วหัวไว้
แต่หลังจากที่ได้ชม ก็พบว่า จริงๆหนังไม่ได้ปูทางออกมาให้แอ๊คชั่น สงครามขนาดนั้น
แต่หนังได้ลงลึกในประเด็นดราม่า เมื่อฐานที่มั่นที่เรียกว่า “บ้าน” และ “ครอบครัว” ถูกทำลาย
ทำให้ “ซีซ่าร์” ผู้เป็นผู้นำของวานร ต้องลุกขึ้นมา ออกตามหาบ้านหลังใหม่ ที่จะเป็น “พิภพวานร” สำหรับ Ape
อยู่ได้อย่างปลอดภัย และ สันติ อีกครั้ง
(สำหรับใครที่สนใจรับฟังรีวิวแบบคลิปก็กดฟังได้ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ)
หนังภาคนี้ได้มี แอนดี้ เซอร์คิส กลับมารับบทนำเป็นตัวละครซีซ่าร์ (ผ่านเทคนิคพิเศษโมชั่นแคปเจอร์) และมี แมท รีฟส์ มาทำหน้าที่กำกับอีกครั้งต่อจากภาคที่แล้ว สำหรับผมมองว่า ภาคนี้ ตัวละครต่างๆที่อยู่ในหนังมาตั้งแต่ภาคก่อนๆ ได้มีการเติบโตมากขึ้น และในภาคนี้ จะเป็นจุดเรียนรู้ในการ “สูญเสีย”
แต่ท่ามกลางความ “สูญเสีย” ระหว่างของทั้งสองเผ่าพันธุ์
มันมีจุดตรงกลางที่หนังทำให้เห็นว่า
ท้ายที่สุด มันไม่มีใครอยากให้จบลงแบบนี้
มิตรภาพที่ถูกก่อขึ้นท่ามกลางเส้นบางๆ และถูกทำลายลงในภาคที่แล้ว ได้เป็นตัวขับเคลื่อนให้กับหนังภาคนี้เป็นอย่างดี
ในความรู้สึกส่วนตัว ผมประทับใจกับหนังภาคที่แล้วมากกว่า ในแง่ของคอนเซป การดำเนินเรื่อง การตัดต่อ ดนตรีประกอบ และภาพรวมของหนัง ทำได้น่าประทับใจมากกว่า เรียกได้ว่าถึงขั้น “ขึ้นหิ้ง”
แต่ในหนังภาคนี้ จุดเด่นที่น่าสนใจคือ โปรดักชั่นดูใหญ่ขึ้น การถ่ายภาพ เทคนิคของตัวละครดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
แต่การดำเนินเรื่อง ในช่วงแรกๆจนถึงช่วงกลางยังมีความเนิบและเชื่องช้าอยู่พอประมาณ แต่ก็ทำได้ดี จบลงตัวในช่วงท้าย
การตัดต่อ การเล่าเรื่อง ยังมีความขัดใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่า หนังมีมาตรฐานงานสร้างและมีคุณภาพโดยรวมเข้าขั้นว่า “ดีงาม” แม้จะ “ไม่ดีงามขนาดนั้น” อย่างที่ตั้งใจมาดู จากความคาดหวังที่มีจากในภาคก่อนหน้า
แต่หนังภาคนี้ก็ถือว่าเป็นการปิดไตรภาคที่สมบูรณ์แบบอีกหนึ่งเรื่อง
ปล. ไม่แนะนำให้คนที่ยังไม่เคยดูสองภาคแรกไปดู เพราะอาจไม่เข้าใจในมุมมองการคิด การตัดสินใจของตัวละคร และจะไม่ได้อารมณ์ร่วมมากเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณดูมาทั้งสองภาคแล้ว ภาคนี้ก็น่าไปเก็บให้ครบ แต่อย่าคาดหวังกับหนังจนมากเกินไปก็พอ
ปล2. ผมยังเชื่อในมือผู้กำกับ แมท รีฟส์ เขาเป็นอีกคนที่มีความสามารถในการถ่ายทอดฉากดราม่าและถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ในแง่งานสร้างได้ดีมาก หลังจากนี้ แกได้รับมือไปกำกับ The Batman ภาคใหม่ น่าสนใจมากๆว่าแกจะตีความออกมาอย่างไร ก็ขอเป็นอีกกำลังใจให้เฮียด้วยแล้วกันนะครับ