Review พาเด็กน้อยเที่ยวจากเพจ
http://www.facebook.com/namjaipainaiรีวิวนี้อาจเป็นแนวทางเล็กๆให้กับครอบครัวไหนที่อยากจะไปเที่ยวโตเกียวโดยมีลูกๆวัยกำลังซนติดสอยห้อยตามไปด้วยได้นะคะลองอ่านดูค่ะ
ครอบครัวเราก็มีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งหมด 5 ชีวิต พ่อ แม่ ยายวัยห้าสิบเอ็ด พี่สาววัยห้าขวบ และลูกชายคนเล็กสามขวบ
ทริปเดินทางขาไปไฟล์ท 11:15 น. วันที่ 30 เมษายน 2560 และขากลับวันที่12 พฤษภาคม 2560 ไฟล์ท 20:55 น.
รอบนี้เราตัดสินใจเอารถเข็นไปแค่คันเดียว เพราะทริปไปฟุกุโอกะคราวที่แล้วเราเอาไปทั้งสองคันมันมีทั้งข้อดีและเสียต่างกันค่ะ
ที่รอบนี้ตัดสินใจเอาไปคันเดียวเนื่องจากพี่สาวโตแล้วสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง คนเล็กก็มีความอึดอยู่พอสมควรถ้าเหนื่อยเราก็จะสลับกันอุ้มเอา
การที่มีรถเข็นสองคันก็สบายตรงที่เวลาที่เด็กๆง่วงจับใส่รถเข็นไปมาสบาย แต่ถ้าต้องขึ้นลงสถานีที่ไม่มีลิฟท์หรือที่ไหนที่ไม่มีลิฟท์ก็จะลำบากเลยละคะ
ยิ่งถ้าต้องขึ้นรถไฟช่วงที่คนเยอะสถานีที่คนเยอะนี่จะยิ่งลำบาก เกรงใจคนร่วมโดยสารด้วย ไหนจะมีเป้ที่ต้องแบกเกิดลูกไม่ยอมนั่งก็ต้องแบกรถเข็นกันไปอีก เลยตัดสินใจที่จะเอาไปคันเดียวพอ และทริปของเราก็ยืดหยุ่นโดยการวางแผนว่าอยากไปที่ไหนบ้างไม่ฟิคว่าต้องเป็นวันไหน เอาวันที่เราสะดวก
และดูสภาพอากาศประกอบด้วย ทริปครั้งนี้เลยไม่เหนื่อยมาก
เริ่มจากการตัดสินใจจองตั๋วพ่อจะเน้นเรื่องที่นั่งใกล้ห้องน้ำ และลูกชายคนเล็กชอบนั่งเตะเก้าอี้ เพราะขาเขาลอยอยู่ระดับนั้นพอดีเวลาขยับเวลาเล่นอะไรก็จะเผลอเตะทุกครั้งจึงจองที่นั่งหน้าสาม หลังสองโดยข้างหลังต้องมีเจ้าลูกชายนั่งประกบกับพ่อไป คนที่จะโดนเตะเก้าอี้ก็จะเป็นไม่แม่ พี่สาว ก็ยายนี่ละคะ นั่งตรงแถวกลาง ขากลับเปลี่ยนเป็นแถวติดริมหน้าต่างก็ดีคือเด็กๆนั่งเห็นวิวข้างๆ แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าแถวกลางดีกว่าค่ะ เพราะว่าคนที่เขามานั่งด้วยจะได้ไม่ต้องเดินผ่านเวลาออกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องคอยหลบ อ่อสำหรับพื้นที่ด้านหน้าสุดแถวกลางตรงที่ติดกับห้องน้ำ ส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวไม่สมควรเดินผ่าน ถ้าจะผ่านก็ต้องเดินอ้อมข้างหลังแถวเอานะคะ ขาไปที่เจอคนเดินผ่านไปมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำด้วย จะเดินไปขาเพื่อนด้วย จนแอร์ต้องเอาที่นอนเด็กเล็กมาติดขวางไว้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีป้ายเขียนห้ามไว้เลยจะได้เข้าใจกันว่าไม่สมควรเดินผ่าน (อันนี้ไม่แน่ใจและไม่ทราบจริงๆค่ะถ้าใครมีข้อมูลอะไรแนะนำ หรือแชร์กันมาได้นะคะ) การเดินทางหกชั่วโมงกว่านี้พี่สาวสบายมากเริ่มเข้าใจอะไรได้มากว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร ส่วนคนน้องยังงอแงอยู่ ต้องหาอะไรให้เล่น ของเล่นพวกรถที่เขาชอบก็พอจะช่วยได้ ใกล้ลงเริ่มงอแงหงุดหงิดเบื่อแล้วอยากจะแกะเข็มขัดออกอย่างเดียว ต้องคอยพูดอธิบาย จนเครื่องลงทำเอาเหนื่อยพูดเหนื่อยปรามกันเลยทีเดียว
เรื่องเสื้อผ้าเราเตรียมกันไปคนละประมาณห้าชุด เพราะที่พักเรามีเครื่องซัก ปั่นแห้งด้วยเลยกะว่าซักเอาจะได้ไม่ต้องแบกไปเยอะ เพราะต้องแบกกันพ่อแม่สองคน กระเป๋าสองใบใหญ่ๆ ยายก็ช่วยรับผิดชอบรถเข็น
ที่พักเราพักที่เดียวตลอดทั้งทริปเลยค่ะเพราะจากประสบการณ์ทริปคราวที่แล้วพบว่าการเปลี่ยนที่พักบ่อยนั้นเหนื่อยจริงๆค่ะ ที่พักเราจองจากแอร์บีแอนบี ซึ่งแน่นอนว่าถูกและกว้างเครื่องใช้ครบครัน ที่พักเรามีเตียงทั้งหมดหกเตียง เตียงเดี่ยวสี่ และเตียงสองชั้นหนึ่งเรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก ติดที่ไกลจากสถานีรถไฟไปหน่อย กับที่กินก็ต้องเดินข้ามไปอีกฝั่งคนละช่วงตึก แต่เป็นแหล่งโฮสเทลชาวต่างชาติเยอะมาก ข้อดีแถวนี้คือติดร้านLawson100เยนนี่ละคะ ฝากชีวิตไว้ที่นี่ได้เลยประหยัดสุดๆ ใกล้ๆกันก็มีตู้กดน้ำที่ราคาเพียง98เยนเท่านั้นใกล้สุดก็สถานีอาซากุสะ (ขนาดใกล้เดินไปสิบถึงสิบห้านาทีได้)
คืนแรกมาถึงสนามบินนาริตะช่วงทุ่มครึ่งได้ มื้อแรกที่จัดคือขนมปัง ข้าวปั้นเซเว่นในสนามบินเช่นเคย (หน้าเซเว่นนี้มีแถวกาชาปองเรียงรายเยอะมากมาถึงคืนแรกก็จ่ายค่ากาชาปองไปคนละสองร้อยเยน) เซเว่นในสนามบินนาริตะจะอยู่ที่ชั้น 1BF ค่ะ แล้วก็ออกไปขึ้นรถไฟสาย KEISEI ไปลงสถานี AOTO และต่อรถไฟไปลงสถานี ASAKUSA ออกทาง A2b (สามีดันทำตั๋วหายขาออกต้องจ่ายค่าปรับไป 180เยน แจ้งคุณลุงประจำสถานีว่าเรามาจากนาริตะแอร์พอร์ต) เดินข้ามสะพานกินลมชมวิวแม่น้ำสุมิดะไปถึงที่พักประมาณ15นาที ส่งลูกๆกับแม่เข้าพักเราก็เดินออกมาหาอะไรกินกันเผื่อตอนเช้าก็เลือกเข้าร้าน AEON ซื้อข้าวกล่องอาหารมาเตรียมสำหรับตอนเช้าใกล้ดี (ตอนนั้นยังไม่เจอร้านLawson100yen)
ที่พักเราก็แถวนี้ละคะเดินผ่านแม่น้ำสุมิดะทุกวัน
ตอนเช้าวันที่หนึ่งมาเริ่มต้นกันด้วยวัดอาซากุสะอันโด่งดัง ระหว่างทางที่เดินเข้าวัดจำนวนคนพลุกพล่านสุดๆเรียกว่าหนาแน่นไปเลยดีกว่าต้อนรับเข้าสู่ช่วงโกลเด้นวีคคคคคค วัดหยุดยาวที่ไปไหนมาไหนคนก็หนาแน่น แน่นขนาดไหนเดี๋ยวมาดูรูปกัน วันนี้เราเลยมาแค่ไหว้พระอย่างเดียว ช่วงนี้ใกล้ถึงวันเด็กชายของญี่ปุ่นกันแล้วด้วยไปไหนมาไหนก็จะเห็นธงปลาคาฟตัวใหญ่ๆแบบนี้ลอยละลิ่วปลิวสไวเต็มไปหมด สวยงามจริงๆ เด็กๆก็ตื่นเต้นปลายักษ์กันใหญ่
เดินไปเรื่อยๆแวะซื้อเมล่อนปังสักหน่อย
วันนี้กะว่าจะพาเด็กๆเข้าไปเล่นเครื่องเล่นที่ฮานะยะชิกิหรือสวนสนุกอาสากุสะแต่พอเช็คสภาพอากาศแล้วเจอว่าวันนี้ฝนตกทั้งวันเลยต้องยกเลิกแพลนนี้ไป เราเลยเดินกันไปที่โตเกียวสกายทรีแทนระหว่างทางที่เดินเลียบผ่านแม่น้ำสุมิดะก็มีสนามเด็กเล่นให้เด็กๆแวะเล่นกัน สรุปความสนุกของเด็กๆไม่ต้องพาไปเล่นของเล่นอะไรแพงๆหวือหวาหรือเร้าใจอะไรมากก็ได้ แค่ให้เขาได้เล่นเครื่องเล่นสาธารณะง่ายๆแค่นี้ดูจากสีหน้าท่าทางเขาก็มีความสุขมากแล้วจริงๆค่ะแถมไม่ยอมเดินต่ออีกต่างหาก
สุดท้ายก็พากันมาถึงโตเกียวสกายทรี (นึกว่าจะไม่ได้มาเพราะของเล่นที่สวนซะแล้ว) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้นนะคะเพราะอย่างที่บอกว่าสภาพอากาศไม่อำนวยไม่คุ้มเงินไม่เห็นฟูจิจากวิวสวยๆข้างบนแน่ๆ เราเลยเดินเล่นแถวนั้นกันข้าวเที่ยงกัน (เรียกว่ามื้อบ่ายไปเลยจะดีกว่า) มื้อนี้เลือกกินที่ฟู้ดคอร์ท ตามสไตล์ฟู้ดคอร์ทญี่ปุ่นค่ะ มีหลายร้านให้เลือกสั่งอาหารจ่ายเงินรับคิว รอสัญญาณคิวดังรับอาหารนั่งกินแล้วเอาถาดไปคืนที่ร้าน น้ำดื่มฟรีตามโซนต่างๆ อิ่มท้องละ จึงตัดสินใจเข้าสุมิดะอควาเรียมแทน อควาเรียมที่นี่ค่าเข้าก็2,050เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ600เยนสำหรับเด็ก งานนี้โดนค่าเข้าทุกคนค่ะ ผู้ใหญ่สาม เด็กสอง เวลาเดินเข้าไปก็เอาQRโค้ดที่บัตรสแกนเข้าไปเลยค่ะ อควาเรียมที่นี่ไม่ใหญ่มากแต่สะอาดสุดๆ ใหม่ๆสุด คือดูแลกันดีมากค่ะ สัตว์น้ำขนาดผิวหนังสมบูรณ์สวยงาม ไฮไลท์ที่นี่ก็คือเหล่าแมงกะพรุนขนาดต่างๆหลากหลายสายพันธุ์ มีโชว์ให้อาหารแมงกะพรุนด้วย เหล่านกเพนกวินที่ว่ายน้ำในสระกลางความเรียม และโชว์ดำน้ำให้อาหารสัตว์น้ำด้วย
ใช้เวลาไปพอสมควรกับที่นี่จากนั้นเย็นพอดี เราก็กลับเข้าที่พักแล้วค่ะวันแรกฝนตกพร่ำๆทั้งวันแบบนี้พักเอาแรงก่อน ขนาดเบาๆวันนี้ขากลับยังต้องเรียกแท็กซี่กลับที่พักเพราะเด็กง่วงกันหมดบวกกับฝนพรำ คุณลุงคนขับก็ปริ้นตื้ดดดดใบเสร็จค่าแท็กซี่ออกมาให้หมดไป970เยนกว่าจะถึงที่อธิบายซะนาน ถึงแม้คุณลุงจะเป็นคนในพื้นที่ เรามีแผนที่ที่อยู่ แถมรถคุณลุงแท็กซี่ก็มีจีพีเอสแต่ก็ยังไม่วายคุณลุงก็ยังงงๆกับที่อยู่ อธิบาย มิงิ ฮิดาริ กันไปถึงที่จนได้ แนะนำว่าพกที่อยู่แบบภาษาญี่ปุ่นติดตัวไปด้วยนะคะไปไหนมาไหนก็โชว์เลย จีพีเอสเขาจะกดหากันว่าอยู่โครมไหน ที่อยู่ช่วงเท่าไหร่ประมาณนั้นอะคะ (อ่อปริ้นเอาติดตัวเด็กๆไปด้วยค่ะใส่เป๋าเป้หรือเป๋ากางเกงเขาไว้เลยค่ะเผื่อหลงทาง) ตอนหัวค่ำเดินพ่อแม่ออกมาห้างมัทซึยะแถววัดอาซากุสะชั้นล่างจะเป็นข้าวลดราคาสามอย่างพันเยน ปกติก็อย่างละ สามร้อยกว่าสี่ร้อยกว่าเยนต่อกล่องต้องเอาราคาที่คุ้มสามอย่างพันเยนนะคะไม่งั้นเขาจะคิดราคาปกติ จบวันแรกไปเรียบร้อยเที่ยวกับเด็กๆกลับดึกจะลำบากนะคะ เด็กๆจะเริ่มง่วงและเริ่มงอแง ต้องอุ้มต้องแบกกันเหนื่อยแน่ค่ะ เราเลยหมดวันที่หนึ่งด้วยเวลาประมาณสามทุ่มค่ะ ส่งท้ายวันที่หนึ่งด้วยรูปเราสองแม่ลูก แม่ว่างเมื่อไหร่จะรีบมาต่อวันที่สองสามทันทีนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวของน้ำใจและครอบครัวได้ที่เพจ Namjaipainai กันเยอะๆนะคะ
รีวิวนี้อาจเป็นแนวทางเล็กๆให้กับครอบครัวไหนที่อยากจะไปเที่ยวโตเกียวโดยมีลูกๆวัยกำลังซนติดสอยห้อยตามไปด้วยได้นะคะลองอ่านดูค่ะ
ครอบครัวเราก็มีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งหมด 5 ชีวิต พ่อ แม่ ยายวัยห้าสิบเอ็ด พี่สาววัยห้าขวบ และลูกชายคนเล็กสามขวบ
ทริปเดินทางขาไปไฟล์ท 11:15 น. วันที่ 30 เมษายน 2560 และขากลับวันที่12 พฤษภาคม 2560 ไฟล์ท 20:55 น.
รอบนี้เราตัดสินใจเอารถเข็นไปแค่คันเดียว เพราะทริปไปฟุกุโอกะคราวที่แล้วเราเอาไปทั้งสองคันมันมีทั้งข้อดีและเสียต่างกันค่ะ
ที่รอบนี้ตัดสินใจเอาไปคันเดียวเนื่องจากพี่สาวโตแล้วสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง คนเล็กก็มีความอึดอยู่พอสมควรถ้าเหนื่อยเราก็จะสลับกันอุ้มเอา
การที่มีรถเข็นสองคันก็สบายตรงที่เวลาที่เด็กๆง่วงจับใส่รถเข็นไปมาสบาย แต่ถ้าต้องขึ้นลงสถานีที่ไม่มีลิฟท์หรือที่ไหนที่ไม่มีลิฟท์ก็จะลำบากเลยละคะ
ยิ่งถ้าต้องขึ้นรถไฟช่วงที่คนเยอะสถานีที่คนเยอะนี่จะยิ่งลำบาก เกรงใจคนร่วมโดยสารด้วย ไหนจะมีเป้ที่ต้องแบกเกิดลูกไม่ยอมนั่งก็ต้องแบกรถเข็นกันไปอีก เลยตัดสินใจที่จะเอาไปคันเดียวพอ และทริปของเราก็ยืดหยุ่นโดยการวางแผนว่าอยากไปที่ไหนบ้างไม่ฟิคว่าต้องเป็นวันไหน เอาวันที่เราสะดวก
และดูสภาพอากาศประกอบด้วย ทริปครั้งนี้เลยไม่เหนื่อยมาก
เริ่มจากการตัดสินใจจองตั๋วพ่อจะเน้นเรื่องที่นั่งใกล้ห้องน้ำ และลูกชายคนเล็กชอบนั่งเตะเก้าอี้ เพราะขาเขาลอยอยู่ระดับนั้นพอดีเวลาขยับเวลาเล่นอะไรก็จะเผลอเตะทุกครั้งจึงจองที่นั่งหน้าสาม หลังสองโดยข้างหลังต้องมีเจ้าลูกชายนั่งประกบกับพ่อไป คนที่จะโดนเตะเก้าอี้ก็จะเป็นไม่แม่ พี่สาว ก็ยายนี่ละคะ นั่งตรงแถวกลาง ขากลับเปลี่ยนเป็นแถวติดริมหน้าต่างก็ดีคือเด็กๆนั่งเห็นวิวข้างๆ แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าแถวกลางดีกว่าค่ะ เพราะว่าคนที่เขามานั่งด้วยจะได้ไม่ต้องเดินผ่านเวลาออกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องคอยหลบ อ่อสำหรับพื้นที่ด้านหน้าสุดแถวกลางตรงที่ติดกับห้องน้ำ ส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวไม่สมควรเดินผ่าน ถ้าจะผ่านก็ต้องเดินอ้อมข้างหลังแถวเอานะคะ ขาไปที่เจอคนเดินผ่านไปมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำด้วย จะเดินไปขาเพื่อนด้วย จนแอร์ต้องเอาที่นอนเด็กเล็กมาติดขวางไว้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีป้ายเขียนห้ามไว้เลยจะได้เข้าใจกันว่าไม่สมควรเดินผ่าน (อันนี้ไม่แน่ใจและไม่ทราบจริงๆค่ะถ้าใครมีข้อมูลอะไรแนะนำ หรือแชร์กันมาได้นะคะ) การเดินทางหกชั่วโมงกว่านี้พี่สาวสบายมากเริ่มเข้าใจอะไรได้มากว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร ส่วนคนน้องยังงอแงอยู่ ต้องหาอะไรให้เล่น ของเล่นพวกรถที่เขาชอบก็พอจะช่วยได้ ใกล้ลงเริ่มงอแงหงุดหงิดเบื่อแล้วอยากจะแกะเข็มขัดออกอย่างเดียว ต้องคอยพูดอธิบาย จนเครื่องลงทำเอาเหนื่อยพูดเหนื่อยปรามกันเลยทีเดียว
เรื่องเสื้อผ้าเราเตรียมกันไปคนละประมาณห้าชุด เพราะที่พักเรามีเครื่องซัก ปั่นแห้งด้วยเลยกะว่าซักเอาจะได้ไม่ต้องแบกไปเยอะ เพราะต้องแบกกันพ่อแม่สองคน กระเป๋าสองใบใหญ่ๆ ยายก็ช่วยรับผิดชอบรถเข็น
ที่พักเราพักที่เดียวตลอดทั้งทริปเลยค่ะเพราะจากประสบการณ์ทริปคราวที่แล้วพบว่าการเปลี่ยนที่พักบ่อยนั้นเหนื่อยจริงๆค่ะ ที่พักเราจองจากแอร์บีแอนบี ซึ่งแน่นอนว่าถูกและกว้างเครื่องใช้ครบครัน ที่พักเรามีเตียงทั้งหมดหกเตียง เตียงเดี่ยวสี่ และเตียงสองชั้นหนึ่งเรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก ติดที่ไกลจากสถานีรถไฟไปหน่อย กับที่กินก็ต้องเดินข้ามไปอีกฝั่งคนละช่วงตึก แต่เป็นแหล่งโฮสเทลชาวต่างชาติเยอะมาก ข้อดีแถวนี้คือติดร้านLawson100เยนนี่ละคะ ฝากชีวิตไว้ที่นี่ได้เลยประหยัดสุดๆ ใกล้ๆกันก็มีตู้กดน้ำที่ราคาเพียง98เยนเท่านั้นใกล้สุดก็สถานีอาซากุสะ (ขนาดใกล้เดินไปสิบถึงสิบห้านาทีได้)
คืนแรกมาถึงสนามบินนาริตะช่วงทุ่มครึ่งได้ มื้อแรกที่จัดคือขนมปัง ข้าวปั้นเซเว่นในสนามบินเช่นเคย (หน้าเซเว่นนี้มีแถวกาชาปองเรียงรายเยอะมากมาถึงคืนแรกก็จ่ายค่ากาชาปองไปคนละสองร้อยเยน) เซเว่นในสนามบินนาริตะจะอยู่ที่ชั้น 1BF ค่ะ แล้วก็ออกไปขึ้นรถไฟสาย KEISEI ไปลงสถานี AOTO และต่อรถไฟไปลงสถานี ASAKUSA ออกทาง A2b (สามีดันทำตั๋วหายขาออกต้องจ่ายค่าปรับไป 180เยน แจ้งคุณลุงประจำสถานีว่าเรามาจากนาริตะแอร์พอร์ต) เดินข้ามสะพานกินลมชมวิวแม่น้ำสุมิดะไปถึงที่พักประมาณ15นาที ส่งลูกๆกับแม่เข้าพักเราก็เดินออกมาหาอะไรกินกันเผื่อตอนเช้าก็เลือกเข้าร้าน AEON ซื้อข้าวกล่องอาหารมาเตรียมสำหรับตอนเช้าใกล้ดี (ตอนนั้นยังไม่เจอร้านLawson100yen)
ตอนเช้าวันที่หนึ่งมาเริ่มต้นกันด้วยวัดอาซากุสะอันโด่งดัง ระหว่างทางที่เดินเข้าวัดจำนวนคนพลุกพล่านสุดๆเรียกว่าหนาแน่นไปเลยดีกว่าต้อนรับเข้าสู่ช่วงโกลเด้นวีคคคคคค วัดหยุดยาวที่ไปไหนมาไหนคนก็หนาแน่น แน่นขนาดไหนเดี๋ยวมาดูรูปกัน วันนี้เราเลยมาแค่ไหว้พระอย่างเดียว ช่วงนี้ใกล้ถึงวันเด็กชายของญี่ปุ่นกันแล้วด้วยไปไหนมาไหนก็จะเห็นธงปลาคาฟตัวใหญ่ๆแบบนี้ลอยละลิ่วปลิวสไวเต็มไปหมด สวยงามจริงๆ เด็กๆก็ตื่นเต้นปลายักษ์กันใหญ่
เดินไปเรื่อยๆแวะซื้อเมล่อนปังสักหน่อย
วันนี้กะว่าจะพาเด็กๆเข้าไปเล่นเครื่องเล่นที่ฮานะยะชิกิหรือสวนสนุกอาสากุสะแต่พอเช็คสภาพอากาศแล้วเจอว่าวันนี้ฝนตกทั้งวันเลยต้องยกเลิกแพลนนี้ไป เราเลยเดินกันไปที่โตเกียวสกายทรีแทนระหว่างทางที่เดินเลียบผ่านแม่น้ำสุมิดะก็มีสนามเด็กเล่นให้เด็กๆแวะเล่นกัน สรุปความสนุกของเด็กๆไม่ต้องพาไปเล่นของเล่นอะไรแพงๆหวือหวาหรือเร้าใจอะไรมากก็ได้ แค่ให้เขาได้เล่นเครื่องเล่นสาธารณะง่ายๆแค่นี้ดูจากสีหน้าท่าทางเขาก็มีความสุขมากแล้วจริงๆค่ะแถมไม่ยอมเดินต่ออีกต่างหาก
สุดท้ายก็พากันมาถึงโตเกียวสกายทรี (นึกว่าจะไม่ได้มาเพราะของเล่นที่สวนซะแล้ว) แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้นนะคะเพราะอย่างที่บอกว่าสภาพอากาศไม่อำนวยไม่คุ้มเงินไม่เห็นฟูจิจากวิวสวยๆข้างบนแน่ๆ เราเลยเดินเล่นแถวนั้นกันข้าวเที่ยงกัน (เรียกว่ามื้อบ่ายไปเลยจะดีกว่า) มื้อนี้เลือกกินที่ฟู้ดคอร์ท ตามสไตล์ฟู้ดคอร์ทญี่ปุ่นค่ะ มีหลายร้านให้เลือกสั่งอาหารจ่ายเงินรับคิว รอสัญญาณคิวดังรับอาหารนั่งกินแล้วเอาถาดไปคืนที่ร้าน น้ำดื่มฟรีตามโซนต่างๆ อิ่มท้องละ จึงตัดสินใจเข้าสุมิดะอควาเรียมแทน อควาเรียมที่นี่ค่าเข้าก็2,050เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ600เยนสำหรับเด็ก งานนี้โดนค่าเข้าทุกคนค่ะ ผู้ใหญ่สาม เด็กสอง เวลาเดินเข้าไปก็เอาQRโค้ดที่บัตรสแกนเข้าไปเลยค่ะ อควาเรียมที่นี่ไม่ใหญ่มากแต่สะอาดสุดๆ ใหม่ๆสุด คือดูแลกันดีมากค่ะ สัตว์น้ำขนาดผิวหนังสมบูรณ์สวยงาม ไฮไลท์ที่นี่ก็คือเหล่าแมงกะพรุนขนาดต่างๆหลากหลายสายพันธุ์ มีโชว์ให้อาหารแมงกะพรุนด้วย เหล่านกเพนกวินที่ว่ายน้ำในสระกลางความเรียม และโชว์ดำน้ำให้อาหารสัตว์น้ำด้วย
ใช้เวลาไปพอสมควรกับที่นี่จากนั้นเย็นพอดี เราก็กลับเข้าที่พักแล้วค่ะวันแรกฝนตกพร่ำๆทั้งวันแบบนี้พักเอาแรงก่อน ขนาดเบาๆวันนี้ขากลับยังต้องเรียกแท็กซี่กลับที่พักเพราะเด็กง่วงกันหมดบวกกับฝนพรำ คุณลุงคนขับก็ปริ้นตื้ดดดดใบเสร็จค่าแท็กซี่ออกมาให้หมดไป970เยนกว่าจะถึงที่อธิบายซะนาน ถึงแม้คุณลุงจะเป็นคนในพื้นที่ เรามีแผนที่ที่อยู่ แถมรถคุณลุงแท็กซี่ก็มีจีพีเอสแต่ก็ยังไม่วายคุณลุงก็ยังงงๆกับที่อยู่ อธิบาย มิงิ ฮิดาริ กันไปถึงที่จนได้ แนะนำว่าพกที่อยู่แบบภาษาญี่ปุ่นติดตัวไปด้วยนะคะไปไหนมาไหนก็โชว์เลย จีพีเอสเขาจะกดหากันว่าอยู่โครมไหน ที่อยู่ช่วงเท่าไหร่ประมาณนั้นอะคะ (อ่อปริ้นเอาติดตัวเด็กๆไปด้วยค่ะใส่เป๋าเป้หรือเป๋ากางเกงเขาไว้เลยค่ะเผื่อหลงทาง) ตอนหัวค่ำเดินพ่อแม่ออกมาห้างมัทซึยะแถววัดอาซากุสะชั้นล่างจะเป็นข้าวลดราคาสามอย่างพันเยน ปกติก็อย่างละ สามร้อยกว่าสี่ร้อยกว่าเยนต่อกล่องต้องเอาราคาที่คุ้มสามอย่างพันเยนนะคะไม่งั้นเขาจะคิดราคาปกติ จบวันแรกไปเรียบร้อยเที่ยวกับเด็กๆกลับดึกจะลำบากนะคะ เด็กๆจะเริ่มง่วงและเริ่มงอแง ต้องอุ้มต้องแบกกันเหนื่อยแน่ค่ะ เราเลยหมดวันที่หนึ่งด้วยเวลาประมาณสามทุ่มค่ะ ส่งท้ายวันที่หนึ่งด้วยรูปเราสองแม่ลูก แม่ว่างเมื่อไหร่จะรีบมาต่อวันที่สองสามทันทีนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันค่ะ ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวของน้ำใจและครอบครัวได้ที่เพจ Namjaipainai กันเยอะๆนะคะ