รู้ไหมว่าการลงโทษไทยสมัยก่อนนั้น โหดมาก!! โดยลงโทษผู้กระทำผิดด้วยหลัก "สังคมแก้แค้น" ?!!!
เฟซบุ๊ค จเด็จ สิบเอ็ดทิศ โพสท์เรื่องราวประวัติศาสตร์คร่าวๆเรื่องการประหารชีวิตของกฏหมายไทยในสมัยก่อน ที่โหดร้ายมากๆ มาเล่าสู่กันฟัง โดยโพสท์ว่า .....
#ดึงสติกันนิดนึงงงง .. !! 🙄
สังคมไทยมีพื้นฐานมาแต่โบราณตามจารีตเก่าๆเสมอ นั่นเพราะเราคือเรา เราเป็นเรา และเราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ซึ่งอนุรักษ์นิยมมักคิดเช่นนี้เสมอ ซึ่งก็ไม่ได้ว่าผิดอะไรนะ ถ้าประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นเกาะอยู่กลางมหาสมุทร ....
บ้านเมืองเราในสมัยโบราณ กฏหมายทุกแบบในยุคสมัยต่างๆ เช่น กฏหมายตราสามดวง หรือ กฏหมายบทพระอัยการ ซึ่งเทียบปัจจุบันก็เทียบเท่ารัฐธรรมนูญ หรือเก่าแก่สุดๆกว่าทุกประเภทคือ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ก็ตาม เหล่านี้นั้นล้วนแล้วแต่มีบทลงโทษผู้กระทำผิดด้วยหลัก #สังคมแก้แค้น ซึ่งเป็นการทรมานและทารุณนักโทษล้วนๆ ตามพฤติกรรมแห่งคดี เหมือนๆกันเสมอ..เช่น ประหารให้ตายตกตามกัน ใส่ตรวนจำตรุมิให้เห็นฟ้าเห็นตะวัน ฯลฯ
ยุคสุโขทัย มาจนถึงยุคก่อตั้งกรุงศรีฯ หรือยุคกรุงศรีฯตอนต้น กฏหมายที่เราใช้ตอนนั้นคือ #พระราชศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะเป็น #พระราชอาญา เป็นส่วนใหญ่และเป็นหลัก มีต้นกำเนิดในอินเดีย ซึ่งในอินเดียแปลไทยแล้วเรียก #คัมภีร์พระธรรมศาสตร์
ต่อมาเราก็พัฒนาเป็นกฏหมายตราสามดวง ในยุคถัดไป ซึ่งเริ่มมีบริบทในแบบ #กฏข้อบังคับ เพิ่มขึ้นมา สำหรับใช้เป็นกฏหลักในการปกครองและบริหารส่วนราชการ หรือปกครองเมืองแบบแยกส่วน เช่น เวียง วัง คลัง นา กลาโหม มหาดไท หัวเมือง ประเทศราช ฯลฯ แต่กฏหมายเราในส่วนของ #อาญา นั้น #ยังโคตรทารุณและอยู่บนหลักแก้แค้น เช่นเดิม ยกตัวอย่างเช่น
บทพระอัยการว่าด้วยการเป็น #ขบถศึก บทลงโทษมี 21 สถาน ซึ่งเราใช้มาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นๆกันเลยทีเดียว คือ..ผมจะเขียนเป็นภาษาของยุคเรานะครับ จะได้อ่านง่าย..
1.เอาไม้ตีที่หัว เปิดกะโหลกเอาถ่านติดไฟแดงๆยัดใส่สมอง
2.ถลกหนังตั้งแต่ท้ายทอยแล้วม้วนไปถึงหูแล้วเอาไม้สอด แล้วให้สองคนยกไม้ขึ้น ก็ถลกหนังหัวนั่นแหล่ะ
3.เอาตะขอเกี่ยวปากสองข้างให้อ้า แล้วเอาคบไฟยัดเข้าไปในปาก
4.เอาน้ำมันดินราด แล้วเผาทั้งเป็น
5.มัดมือด้วยผ้าชุบน้ำมันดิน แล้วจุดไฟ
เอาแค่5สถานก็พอนะ จริงๆมี 21สถาน โหดร้ายทารุณกว่านี้อีกเยอะ นึกถึงตรงนี้แล้วผมไม่โทษอังกฤษ-ฝรั่งเศษเลย ที่เค้าบีบบังคับเราเรื่อง #สิทธินอกอาณาเขตทางกฏหมาย หรือ #extraterritoriality หรือการไม่ยอมให้คนในอาณัติของตนขึ้นศาลไทยเม่ื่อทำผิดนั่นเอง ..ก็เพราะบ้านเมืองเราลงโทษคนแบบ #แก้แค้นทารุณผิดมนุษย์ขนาดนี้ ถ้าเลือกได้และมีอำนาจเหนือกว่า ใครล่ะจะยอม..
มายุครัตนโกสินทร์ เราเริ่มแยกกฏหมายชัดเจนขึ้น เป็นหมวดเป็นหมู่ขึ้น นั่นเพราะเรา #เห็นโลกมากขึ้น #เห็นโลกไกลขึ้น และที่สำคัญคือ #บ้านเมืองเราเริ่มเจริญขึ้นอารยะขึ้น เพราะเราเริ่มคบชาวต่างประเทศที่เจริญกว่าเราเยอะ เราจึงเริ่มเลียนแบบความเจริญ #ทางสังคม #ทางความคิด #ทางการบริหาร มากขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านมาจะ 4-5ร้อยปีแล้ว แต่คนไทยเราเยอะแยะในปัจจุบัน ยังคงได้รับอิทธิพลทางจารีตพวกนี้อยู่ ยังมีกลิ่นอยู่ ยังคงฝังอยู่ในดีเอ็นเอที่บรรพบุรุษถ่ายทอดทิ้งไว้ให้ในตัวอยู่
คนไทยเป็นชนชาติที่แปลกมาก ที่ไม่ค่อยอยากหมุนไปตามโลก ปฏิเสธความเป็นอารยะ ชอบที่จะยึดติดในความเป็นเราที่โลกมองแล้วส่ายหน้า โดยปฏิเสธทางสายกลางที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งไม่สูญเสียความเป็นเรา และไม่ได้กลายเป็นพวกเขา ซึ่งคือ #การประยุกต์ ทั้งๆที่ไม่มีใครบังคับเราในเรื่องนี้ซักหน่อย ว่าห้ามเลียนแบบความอารยะ ความเจริญทางสังคม แบบนี้นะ.... ทุกๆท่านลองเดาสิครับ ผมเขียนเรื่องนี้ทำไม ??.. 😒
วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้ ถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้
- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม
- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์
- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแห*ผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก
- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด
- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด
- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย
- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า
- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย
- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย
- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)
- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก
- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)
- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม
แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า
- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย
- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า
- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ
- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย
- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่
- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย
- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย
- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย
https://www.facebook.com/JDTendirections/posts/1733086590323134
https://www.youtube.com/watch?v=INknzKgYtjk