หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เลิก ม.44 เมื่อจับธัมมชโยแล้ว ย้ำเป็นมาตรการเดินหน้าประเทศ

โพสท์โดย dominiqa

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะยกเลิก ม.44 ทันที เมื่อพระธัมมชโยมอบตัวและได้เข้าตรวจสอบ ภายในวัดธรรมกายแล้ว พร้อมขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันรักษาบรรยากาศที่ดีของบ้านเมือง ควรยึดกติกาและกระบวนการยุติธรรมเพื่อเดินหน้าไปสู่การสร้างความปรองดองประสบผลสำเร็จ

เมื่อวันที่ 25 กุมพาพันธ์ 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ตั้งแต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพ ข้าราชการพลเรือน หรือแม้แต่พระภิกษุสงฆ์ ที่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่เข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย และกล่าวย้ำถึงความจำเป็นในการบังคับใช้มาตรา 44 แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน ทั้งดีและไม่ดี

พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธเจตนารังแกพระภิกษุสงฆ์หรือทำลายพระพุทธศาสนา ชี้แจงว่าการปฏิบัติการที่เกิดขึ้นกับวัดพระธรรมกาย สืบเนื่องจากเหตุเข้าจับกุมพระธัมมชโย เพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม แต่มีบุคคลบางกลุ่มบางพวก ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย กระทำความผิด ไม่ยอมรับอำนาจรัฐ รวมถึงกระทำผิดวินัยสงฆ์ จึงต้องใช้มาตรา 44 เปิดทางอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตามกฎหมาย

และแม้จะกล่าวย้ำหลายครั้งแล้วถึงความจำเป็น แต่ระหว่างชี้แจงผลการปฏิบัติงาน ผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุชัดเจนที่สุดว่าจะยกเลิกการบังคับใช้มาตรา 44 ทันที เมื่อมีการมอบตัว และเปิดให้ตรวจสอบการบริหารจัดการวัดพระธรรมกายอย่างโปร่งใส

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุด้วยว่า อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่า มาตรา 44 เป็นเพียงกฎหมายชนิดหนึ่ง เหมือนกับกฎหมายอื่นๆ ที่ออกมาใช้เพียงเพื่อจะปลดล็อกอุปสรรคด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่ไม่ทันสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือให้การดำเนินการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งระงับข้อขัดแย้งในกฎหมายหลายฉบับที่อาจจะมีผลต่อการทำงาน ที่เป็นการแก้ไขเป็นมาตรการเฉพาะหน้า เพื่อให้การขับเคลื่อนเดินหน้าประเทศด้วยความต่อเนื่อง และต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตของเจ้าหน้าที่ด้วย

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 20.15 น.

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

วันนี้ ผมมี “ศาสตร์พระราชา” ที่มีความสำคัญ ในการสร้างความมั่นคงของชีวิต เพื่อจะลดปัญหาปากท้อง หนี้สิน ที่เราเรียกว่า “ชักหน้าไม่ถึงหลัง”  และป้องกันปัญหาสังคมได้ ตั้งแต่ในระดับครัวเรือน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง อันได้แก่ แนวคิดและวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับการบริหารการเงิน ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามที่ “สมเด็จย่า” ได้ทรงอบรม สั่งสอน ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ อาทิเช่น การจ่ายค่าขนมเป็นรายสัปดาห์ เพื่อให้รู้จักการบริหารเงิน โดยทรงหยอดกระปุกไว้ซื้อของที่สนพระทัย เช่น เครื่องดนตรี กล้องถ่ายรูปรถจักรยาน รู้จักการอดออม โดยทรงฝากเงินในธนาคาร และเรียนรู้การคำนวณดอกเบี้ย  รู้จักการลงทุนและการสร้างรายได้ โดยทรงซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูก แล้วเก็บไปขาย รู้จักการให้ ได้ตั้ง “กระป๋องคนจน”  ซึ่งทรงสละเงิน 10% จากกิจกรรมที่มีกำไร สำหรับนำไปมอบให้โรงเรียนตาบอด  เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน เหล่านี้เป็นต้น ผมไม่ทราบว่า เด็ก ๆ เดี๋ยวนี้ยังคงเก็บเงินค่าขนมไว้ฝากธนาคารบ้างหรือไม่

โครงการตัวอย่าง ที่ผมเห็นว่าสมควรสนับสนุนและน่าชื่นชม อันได้แก่ โครงการ “ออมวันละน้อยตามรอยสมเด็จพ่อ สานต่อเศรษฐกิจพอเพียง” ของโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นการดำเนินตามนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของรัฐบาล ได้มีการสอนให้เด็กนักเรียนเป็น “นักธุรกิจตัวน้อย” โดยนำสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์  ของเล่น  อาหาร จากกิจกรรมนอกเวลาเรียน มาซื้อ-ขายใน “ตลาดนัดร้อยร้าน” ที่ทางโรงเรียนจัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อจะส่งเสริมให้เด็ก ๆ นั้น ได้รู้จักการเป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ได้รับประสบการณ์จริงจากการประกอบอาชีพค้าขาย ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพสุจริต รู้เทคนิคการขาย การเรียกลูกค้าและเห็นคุณค่าของเงิน รู้จักการออม การบริหารการเงิน จัดทำบัญชี มีการเก็บเงินบางส่วนไว้เป็นทุนการศึกษาและซื้ออุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ อีกด้วย

สิ่งที่สำคัญคือ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ไม่ว่าจะตอนเด็ก หรือโตแล้ว ก็ขอให้ช่วยกันคิดและสร้างสรรค์กิจกรรมดี ๆ เหล่านี้ ที่จะเป็นการสานต่อ “ศาสตร์พระราชา” ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อจะปลูกฝังให้เยาวชนของชาติ ได้มีทักษะทางธุรกิจ ตั้งแต่ต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง และรู้คุณค่าของเงิน การบริหารการเงิน รวมทั้งการออมด้วย โตขึ้นเราจะได้พึ่งพาตนเองได้ มีความเข้มแข็งตั้งแต่ในระดับฐานรากช่วยครอบครัว      

เรื่องที่ผมอยากทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในวันนี้ หลายเรื่องด้วยกัน  เรื่องแรกคือเรื่องพลังงาน ขอให้เข้าใจว่า พลังงานนั้นจะมีความสำคัญมากทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดย เฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งจัดหานวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งล้วนต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบ  ทั้งการคมนาคมขนส่ง และการสื่อสาร  สารสนเทศ อินเตอร์เน็ต และในกิจกรรมภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม  การท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งนับวันจะมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและ คสช. ต้องคำนึงการสร้างความสมดุลระหว่าง การพัฒนาในด้านพลังงาน กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ โดยผมยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ เพื่อจะรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่อยากให้ประชาชนได้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพราะหากลงทุนด้านพลังงานที่ไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงแล้ว อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้นมีหลายประเภทด้วยกัน เราอาจจะจำเป็นต้องพิจารณาให้เกิดความเหมาะสม เราไม่อาจจะพึ่งพา ฝากความหวังไว้แต่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อาทิเช่นกับ ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน        

วันนี้เราพึ่งพาอยู่ 70% เช่นในปัจจุบันเราต้องลดลง แล้วหาเชื้อเพลิงอื่นที่เหมาะสม  ราคาถูก หาง่ายและปลอดภัย มีคุณภาพ ตลอดจนไม่มีความเสี่ยงในเรื่องราคามากนัก เพื่อจะมาทดแทน 70% ที่ว่าให้ลดน้อยลง ไม่เช่นนั้นจะเป็นภาระของพี่น้องประชาชน และภาคการลงทุนต่าง ๆ ก็จะเกิดอุปสรรค ทางด้านสังคมและเศรษฐกิจตามมา เพราะฉะนั้นการใช้พลังงาน ฟอสซิล ดังกล่าว ทั้งแก๊ส ทั้งน้ำมันนั้น จะต้องลดลงจาก 70% ให้เหลือ 60% ให้ได้ก่อน แล้วเราก็จำเป็นต้องเพิ่มพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานจากขยะ  ชีวมวล ลม แดด  อื่น ๆ เราก็ทำอยู่แล้วในขณะนี้ ถ้าหากเราทำ เพิ่มได้จาก 30% เป็น 40% ก็ย่อมจะดีกว่าเดิม ลดการผลิตแก๊ส CO2 ลดปัญหาโลกร้อนได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องปรับอัตราส่วน แผน PDP ของเรา จากการใช้พลังงานจากฟอสซิล 70%  กับ 30% จากพลังงานหมุนเวียน ให้เป็น 60% และ 40% ตามลำดับ

ปัญหาสำคัญต่อมาคือ วันนี้เราอาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน คือคำว่า “ความเสถียร” และ “ไม่เสถียร” ก็คือความแน่นอนของพลังงานที่เกิดขึ้นจากการผลิต จากเชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และการก่อสร้าง ต้นทุนการก่อสร้าง วัสดุต้นทุนที่นำมาใช้ ในการเป็นเชื่อเพลิง เหล่านี้อาจจะทำให้มีต้อนทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น เราต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาด้วย อาจจะส่งผลกระทบกับ “ค่าไฟ” ของคนทั้งประเทศ เพราะเราเอามารวมกันแล้วหารแบ่งกัน ใช้อัตราค่าไฟเท่ากันทั้งประเทศ อาจจะทำให้ “ค่าครองชีพสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องมองในหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากแก๊ส จากน้ำมัน จากถ่านหิน จากพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก ทุกอย่างต้องพิจารณาในทุกแง่ทุกมุม   ซึ่งถ่านหินนั้นเราก็เอามาพิจารณาเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่จะนำมาพิจารณาในการที่จะพยายามลดสัดส่วนและค่าใช้จ่ายจากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมัน ที่เราจำเป็นต้องนำเข้าเป็นจำนวนมากทุกปี เราไม่มั่นใจว่าวันหน้าจะสะดวกง่ายดายแบบนี้หรือไม่ มีพอหรือไม่ ราคาจะสูงขึ้นอีกหรือไม่ แล้วเขาจะขายหรือไม่วันหน้า ถ้าน้อยลง ๆ  อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นความเสี่ยง ในส่วนของที่เป็นถ่านหินนั้น ถ้าเราสามารถทำได้ ผมใช้คำว่าถ้าสามารถทำได้ จะต้องเป็นถ่านหินที่มีคุณภาพสูง ไม่ใช่ถ่านหินลิกไนต์ แล้วจะต้องเป็นชนิดทีสร้างมลภาวะน้อยที่สุด ซึ่งการสร้างมลภาวะนั้นมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ที่เกี่ยวข้องวันนี้ก็ยังมีใช้อยู่ในต่างประเทศด้วย ไม่ใช่เป็นถ่านหินลิกไนต์  เป็นถ่านหินชนิด “บิทูมินัส” ที่เรียกว่า บิทูมินัส  ซึ่งมีคุณภาพ มีระบบกำจัดในกระบวนการผลิตที่ทันสมัย และเป็นมาตรฐานสากล

ทั้งนี้เราจะต้องทำให้สอดคล้องกับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการลดโลกร้อนลงไปด้วย ซึ่งผมได้ไปกล่าวหรือไปรับทราบมติในที่ประชุมสหประชาชาติไปแล้วว่า เราต้องพยายามลดให้ได้ 20-25% ภายในปี 2030 อันนี้ผมไม่เคยลืม แล้วผมไม้ได้มุ่งหวังว่า ที่ทำมาทั้งหมด เพื่อจะยกเลิกอันนี้ ไม่ปฏิบัติตามพันธะสัญญา หรือไปทำเพื่อประโยชน์ใครทั้งสิ้น ผมมองว่าประโยชน์ประเทศชาติอยู่ตรงไหน ประชาชนอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำได้เราก็ต้องหาทางพิจาณาหาความร่วมมือกันให้ได้

ทั้งนี้ อยากจะเรียนให้ทราบว่า ประเทศไทยเราอาจจะโชคดีที่เราผลิตก๊าซ CO2 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 0.9%  ซึ่งถือว่าน้อยมากกว่าหลาย ๆ ประเทศในโลก แต่รัฐบาลก็จำเป็นที่ต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญา แล้วขณะเดียวกันต้องรับฟังเสียงจากประชาชนไปด้วย จะเห็นว่า 2 ปี ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลรับฟังมาโดยตลอด ไม่ได้หมายความว่าจะไปสั่งการ หรือลงมติโดยที่ไม่ฟังเสียงจากประชาชนเลย เราต้องการ การมีส่วนร่วมด้วยความเข้าใจ มากกว่าการบังคับใช้กฎหมาย สำหรับในเรื่องของการทำ EIA/EHIA อย่าไปฟังคำบิดเบือนของใครทั้งสิ้น วันนี้ให้ไปทำใหม่ก็ไปทำใหม่ คำว่าทำใหม่ต้องมีของเก่าอยู่แล้วด้วย เอาของเก่ามาพิจารณาร่วมกันกับของใหม่ที่ยังทำไม่เสร็จทั้งหมด ทั้งฉบับ ทั้ง 2 เรื่อง ก็ต้องทำให้ผ่านทั้งหมด

เพราะฉะนั้นถ้าไม่ผ่านจะทำยังไง ไม่ผ่านก็สร้างไม่ได้ ผมจะไปบังคับได้ยังไง แต่ทุกคนต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดผลตามมา แล้วเราต้องไปพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ ที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องของ “ค่าไฟฟ้า” น้อยที่สุด รวมทั้งต้องคำนึงถึง “ต้นทุนด้านพลังงาน” ชนิดอื่น ๆ อีกด้วย ความมีเสถียรภาพคือไม่สม่ำเสมอ เพราะการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนสามมารถใช้ในโรงงานขนาดเล็ก ในการที่จะส่งเข้าเป็นพลังงานหลัก พลังงานไฟฟ้าหลักในระบบนี่ค่อนข้างจะเป็นปัญหา เพราะบางครั้งขึ้น ๆ ลง ๆ  ไม่เสถียร ต้องมีพลังงานหลักใส่เข้าไปด้วย  เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถที่จะทำได้อย่างที่ว่าทั้งหมด ก็จะมีการผสมกัน ทดแทนกัน อยู่ในกรอบ 100%  ของการจัดหาพลังงาน ตามแผน PPP  จะต้องตอบคำถามข้างต้นได้ทั้งหมด ตอบคำถามประชาชนได้ด้วย   รัฐบาลจริง ๆ แล้วก็ไม่อยากจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรอก เพราะว่าไม่ได้เป็นผลอะไรกับผมเอง หรือกับรัฐบาล กับ ครม. แต่เป็นผลกับประเทศชาติ ถ้าทำได้ก็คือทำได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมไม่อยากให้มาขัดแย้งกันอีก ก็มีการพูดจาหารือกันดี ๆ ไม่จำเป็นต้องมาประท้วง  ผมก็ให้ทบทวนอยู่แล้วในขณะนี้ แต่อย่าใช้คำว่า จะกดดันอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าทำ หรือถ้าไม่ทำจะเป็นอย่างไร ผมว่าไม่ถูกต้อง กฎหมายก็มีอยู่ เพราะฉะนั้นรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน อย่าประท้วงกันอีกเลยให้เสียแรงเสียเวลา อันตรายเดินทางไป-มา เสียเวลาหาเงิน ดูแลครอบครัวด้วย ช่วยกันไปพัฒนาตนเอง ทำความเข้าใจ เดินหน้าประเทศดีกว่า

เรื่องสำคัญคือ เราไม่อาจใช้การเกษตรกรรมเป็นรายได้ของประเทศแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เพราะราคาพืชผลทางการเกษตรมีความผันผวน ไม่แน่นอน เราจำเป็นต้องเป็น “ประเทศเกษตรอุตสาหกรรม” และมีอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย มิฉะนั้นประเทศเราจะมีรายได้ไม่เพียงพอ สำหรับในการที่จะนำมาพัฒนาประเทศ หรือการพัฒนาด้านสวัสดิการของรัฐ  สาธารณสุข การศึกษา การดูแลผู้สูงวัย และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ทุกคนทราบดี ผมอยากให้ทุกคน  ทุกฝ่าย พยายามทำความเข้าใจกันด้วย

ทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ก็เหมือน “เหรียญ 2 ด้าน”  มีได้ ก็ต้องมีเสีย แต่เหรียญที่มีด้านเดียว เป็นเหรียญใช้ไม่ได้อยู่แล้ว  เหรียญ 2 ด้าน มีได้ มีเสีย แต่ต้องมีได้มากกว่ามีเสีย แล้วจะดูแลผู้ที่เสียอย่างไร เราจะมุ่งไปทางใดทางหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ เปรียบเสมือนเหรียญ 2 หน้าที่ต้องมีสมบูรณ์ทั้ง 2 ข้าง เราต้องหาทางเลือกที่เหมาะสมของประเทศให้ได้ในทุกมิติ การทำ EIA/EHIA นั้น ก็ขอให้เร่งทำ ให้ได้ข้อยุติ จะได้ หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ ยิ่งช้าก็จะยิ่งเสียการ จะได้รีบคิดกันใหม่ จะทำอะไร แล้วก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในอนาคตร่วมกัน การเสียอนาคต เสียโอกาส ความเสี่ยง พลังงาน ต้นทุน ความเสถียร และราคาค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วย เพราะรัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว อาจจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้นมีปัญหาอีก

อย่างไรก็ตาม แง่มุมที่ผมเห็นว่า จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่คนไทยในวันนี้มีความตื่นตัวในเรื่องของการพัฒนาและการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ถ้าไม่ขัดแย้งกัน ก็ไม่รู้กัน ไม่รู้ว่าสำคัญอย่างไร ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง ถ้าทุกคนใช้โอกาสนี้สำรวจตัวเองว่าเรารู้หรือยัง เรารู้ครบถ้วนหรือยัง ก็จะแก้ปัญหาได้ ถ้ายังรู้ไม่พอ ก็ฟัง ก็อ่านเอา แล้วก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือปรึกษากันในสิ่งที่เป็นประโยชน์  ในส่วนของการรักษาสิ่งแวดล้อมนั้น ผมอยากจะขอร้องว่าให้ช่วยกันสำรวจตัวเองว่าวันนี้เราใช้กล่องโฟม ใช้ถุงพลาสติกกันในแต่ละครัวเรือน แต่ละคนมากน้อยเพียงใด เพราะว่าเป็นขยะซึ่งทำลายได้ยาก ใช้เวลาเป็นร้อยปี เพราะฉะนั้น เรามีการทิ้งขยะแยกประเภทหรือยัง มีการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางหรือยัง เจ้าหน้าที่ขนได้ตรงตามที่แยกไว้หรือยัง  ทุกส่วนเกี่ยวข้องกันหมด ทั้งประชาชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ การใช้ไฟฟ้า เราประหยัดพอหรือยัง ปิดไฟเมื่อหมดความจำเป็น ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เมื่อไม่ใช้ หรือหลอดไฟทุกหลอด อีกอย่างหนึ่งการประหยัดพลังงานน้ำมัน แก๊ส ที่เราใช้กันอยู่ บางที่ก็ไม่ระมัดระวัง ราคาถูก วันหน้าราคาขึ้นจะทำอย่างไร รัฐบาลไม่สามารถจะอุดหนุนได้อีกแล้วในวันต่อไป  

ถ้าหากว่าท่านช่วยกันทำอย่างนี้ แล้วปลูกฝังลูกหลานให้ทำเป็นนิสัยทำในสิ่งที่ถูกต้องเหล่านี้ ด้วยเหตุ ด้วยผล ก็จะทำให้เกิดผลดีในทุกด้าน ไม่แต่เพียงการประหยัดเท่านั้น รวมความไปถึงการสร้างจิตสำนึก แล้วเกิดความร่วมมือกับสังคม กับรัฐบาล กับชาวโลกในการที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดี

เรื่องถุงพลาสติก ขอให้ทุกคนถือว่า เป็นเรื่องสำคัญ ทุกคนควรช่วยกันรณรงค์ตั้งแต่บัดนี้ไปเลย ให้ใช้ “ถุงผ้า” นำถุงผ้าไปซื้อของด้วย ก็มีหลายชนิด ชนิดที่กันน้ำได้ ภายในก็บุเป็นอะไรที่กันน้ำได้ ที่ทำลายได้ง่าย ก็ขอให้นำติดไปแล้วกัน จะได้ลดการใช้ถุงพลาสติก อีกหน่อยห้าง ร้านค้าอาจจะต้องคิดราคาถุงพลาสติกด้วย เพราะจะต้องส่งเสริมกันทุกมมิติ สำคัญอยู่ที่ประชาชน

เรื่องที่สอง เรื่อง มาตรา 44 มีคนพูดกันมากมาย วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งดีและไม่ดี ตลอดจนคำสั่ง คสช. ต่าง ๆ นั้น ก็อยากให้เข้าใจตรงกันว่า เป็นเพียงกฎหมายชนิดหนึ่ง เหมือนกับกฎหมายอื่น ๆ ที่ออกมาใช้เพียงเพื่อจะ “ปลดล็อก” อุปสรรคด้านกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ไม่ทันสมัย เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน หรือให้การดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น รวมทั้งระงับข้อขัดแย้งในกฎหมายหลายฉบับ ที่อาจจะมีผลต่อการทำงาน ที่เป็นการแก้ไข เป็น มาตรการเฉพาะหน้า เพื่อให้การขับเคลื่อนประเทศ การเดินหน้าประเทศ มีความต่อเนื่องและต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตของเจ้าหน้าที่ด้วย

อีกประเด็นหนึ่งคือ ต้องใช้ในการแก้ปัญหาความมั่นคง เพราะว่ามีหลายคน หลายประเภท หลายพวก ที่ไม่ค่อยชอบปฏิบัติตามกฎหมายปกติ กฎหมายอะไรก็ไม่ทำสักอย่าง ผมก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่อยากให้มาโทษมาตรา 44 อย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าท่านไม่ทำความผิด มาตราไหนก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น  

ตัวอย่างที่เราใช้ไปแล้ว “งานที่คั่งค้าง” ในอดีต อาทิเช่น การขอตั้งโรงงาน กว่า 4,000 ราย การขอใบอนุญาตจาก อย. กว่า 10,000 ราย การขอจดสิทธิบัตรของต่างประเทศ ที่ยื่นขอมา 20 ปีแล้ว กว่า 12,000 ราย เหล่านี้เป็นต้น ค้างคามาได้ยังไง รัฐบาลนี้เข้ามาก็เข้าไปแก้ไขในทันทีที่ทำได้ เพราะเสียโอกาส เสียขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้การประกอบธุรกิจในระดับฐานรากเดินหน้าไปได้ด้วย เพราะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ไปติดในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ ไม่กำกับดูแล ก็จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 มาแก้ไขให้สำเร็จ

ส่วนมาตรการที่ทำให้เกิดความยั่งยืน ในเรื่องกฎหมายนี้ ก็คือว่าจะต้องมีการออกเป็นกฎหมายในรูปแบบต่าง ๆ ตามความเหมาะสม หลังจากที่มีมาตรา 44 ไปแล้ว โดยจะต้องให้มีผลบังคับใช้ในเวลาต่อมาอย่างยั่งยืน ซึ่งตอนนี้กำลังทยอยผลักดันเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมาย ทางนิติบัญญัติ อาจจะต้องใช้เวลานาน พิจารณากัน 3 วาระ บางทีเป็นเดือน หลายเดือน รัฐบาลนี้ได้ผลักดันกฎหมายทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการแล้ว กว่า 500 ฉบับ วันนี้มีผลบังคับใช้เป็น พระราชบัญญัติ แล้ว กว่า 200 ฉบับ ไม่นับรวมการแก้ไขระเบียบ กฎ  ข้อบังคับอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก

ประเด็นสำคัญก็คือ เราจะต้องเอากฎหมายที่เร่งด่วนมาดำเนินการก่อน กฎหมายที่ทำไม่ได้หรือไม่เคยทำ  เพราะว่ามีพันธะสัญญาระหว่างประเทศอีกด้วย เรามีความจำเป็นในการที่ต้องบริหารราชการแผ่นดิน แล้วก็มีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกไปด้วย อาทิเช่น การแก้ปัญหา CITES  การค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย เราทำสำเร็จไปแล้ว รวมทั้ง IUU กำลังคืบหน้า แล้วก็ ICAO ซึ่งมีทิศทางที่ดี ได้รับการยอมรับจากองค์กรระหว่างประเทศ ที่มาตรวจก็ขอชื่นชม ในความจริงใจ จริงจัง ความตั้งใจในการทำงาน เจตนารมณ์ของรัฐบาล เราก็คงต้องช่วยกันทำ ทำให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ตามที่เขากำหนดมา ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ ปล่อยปละละเลย ไม่กำกับดูแล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการอย่างเดียว การทำงานก็มีแต่ปัญหา ติดขัดไปหมด ไม่ทันเหตุการณ์ แล้วก็เท่ากับเราทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้เลย  ปฏิรูปอะไรก็ไม่ได้ ติดของเก่า ติดปัญหาเดิมทั้งสิ้น

อีกกรณีหนึ่งก็คือ กรณีธรรมกาย ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาตรา 44 มารังแกพระ รังแกพุทธศาสนา ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ผมเป็นไทยพุทธนะ ครอบครัวผมก็ไทยพุทธ แต่ผมมีหน้าที่ในการดูแลทุกศาสนาที่อยู่ในประเทศไทย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกหรอกครับ มาตรา 44 เกี่ยวกับเรื่องกรณีนี้ เนื่องจากกฎหมายทุกกฎหมายไม่ได้รับการยอมรับเลย จากคนบางกลุ่ม บางพวก ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย กระทำความผิด แล้วไม่ยอมรับอำนาจรัฐ ทับซ้อนอำนาจรัฐ ใช้กฎหมู่ ใช้คนจำนวนมาก ไม่เคารพ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ปกติ แล้วก็มีการผิดวินัยสงฆ์ เข้าไปด้วย

เพราะฉะนั้น จะเป็นในการที่จะต้องใช้มาตรา 44 เพื่อมาดูแลในภาพรวม แต่วันนี้ก็ ถึงแม้ว่าจะใช้ 44 ก็ยังมีการต่อต้าน ดึงดัน ฝ่าฝืน ไม่ยอมรับกันอีก แล้ว เจ้าหน้าที่เขาก็ทำงานลำบากนะครับ วันนี้ก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่เขาก็เหน็ดเหนื่อยนะ มีการสร้างภาพเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชน  การรักองค์กร ไม่ว่าองค์กรใดก็ตาม เป็นสิ่งที่ดี ผมเคารพแต่ต้องรักในทางที่ถูก ขจัดคนไม่ดีในองค์กรออกไป โดยให้กระบวนการยุติธรรม หรือกฎหมายตัดสิน บ้านเมืองมีขื่อ มีแป ไม่มีใครจะสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ คดีความก็คงต้องเดินหน้าต่อไปทุกคดี สังคมก็กำลังรอคำตอบอยู่ ต้องการเห็นความโปร่งใส

กฎหมายหลายฉบับที่มีอยู่แล้วนะครับบังคับใช้ไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องใช้มาตรา 44  เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็เห็นใจเจ้าหน้าที่เขาด้วย หลายหน่วยงานเขาก็ไปทำงาน เขามีความเสี่ยง เขาเสี่ยงอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก ความรุนแรงพร้อมจะเกิดขึ้นตลอดเวลา อาจจะมีบุคคลที่ 3 หรือ 4 อะไรก็แล้วแต่เข้ามา เพราะถ้ามีรุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เขาก็มีครอบครัว มีลูกเมียที่ต้องรับผิดชอบ คนที่รักของเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ปลอดภัยขึ้นมา เขา ถูกกระทบกระทั่ง ท้ายที่สุดก็บานปลายไปสู่การใช้กำลังกัน แล้วจะทำอย่างไร ไม่เห็นใจเขาหรือเจ้าหน้าที่ พอเขาไม่ทำก็ไปว่าเขา พอเขาทำก็ไม่ได้อีก แล้วจะอยู่กันอย่างไร

เพราะฉะนั้นผมต้องทำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เขามีความมั่นใจในการทำงาน มีความรู้สึกปลอดภัย เพราะว่าถ้าเขาประสบอันตรายขึ้นมา ใครรับผิดชอบเขาได้ แล้วลูกเมีย ใครจะเลี้ยงดูเขา ผมก็ต้องปกป้องดูแลเขาตามสมควรนะ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนมองเจ้าหน้าที่ เป็นจำเลยสังคม เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีอาวุธทั้งสิ้น  ก็ถูกผลัก ถูกดัน ถูกอะไรต่าง ๆ มากมายไปหมด เขาอดทนเพราะผมเห็นรอยยิ้ม ขอขอบคุณและชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคน ไม่ว่าจะ ตำรวจ DSI ทหาร ข้าราชการฝ่ายพลเรือนต่าง ๆ พระ และทุกคนที่เข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาตรงนี้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ผู้ที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ยอมร่วมมือ แล้วก็มีคนหมู่มากซึ่งอาศัยแรงศรัทธาของเขามาชักจูง ทำให้ปัญหาแก้ได้ยากขึ้นไปอีก

เรื่อย ๆ  วันนี้เราไม่อยากใช้ในเรื่องของเครื่องมืออุปกรณ์ ในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย การควบคุมฝูงชน หรือในเรื่องของ พรบ. ชุมนุมสาธารณะ  เพราะว่าวันนี้เราพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุด ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ ถ้าเรายังสู้กันอยู่แบบนี้ วันหน้าก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีนะครับ ที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นเขาก็รู้สึกไม่ดี เจ้าหน้าที่ก็รู้สึกไม่ดี เด็ก ๆ เห็นก็เป็นแบบอย่างวันหน้าก็เป็นแบบนี้อีก

ทำไมเราไม่หยุด หยุดซะวันนี้ ถ้าหยุดเมื่อไร มอบตัวกันทันที ให้เข้าไปบริหารจัดการให้โปร่งใส มาตรา 44 ก็ยกเลิกได้เมื่อนั้น เพราะเรียกร้องมา ขณะเดียวกันก็ยังผิดกฎหมายอยู่ ประเทศไหนเขาทำกันบ้างล่ะ เราก็พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย รักษาความปลอดภัย ชีวิตละทรัพย์สินของทุกคน มาตรการต่าง ๆ จะเห็นว่าจาก เบาไปหาหนัก ผ่อนหนัก ผ่อนเบา มีการพูดคุย ไม่ให้บานปลาย ไม่ให้มีการปะทะ คุยแล้วคุยอีก ก็ไม่สำเร็จสักที แล้วก็มีการต่อต้านที่ไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ผมขอให้กระบวนการยุติธรรมตัดสิน ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงาน ก็ไม่อยากให้ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ออกไปต่างประเทศ สื่อทุกคนก็เห็นว่าอะไรคือถูก อะไรคือผิด แต่ก็พยายามที่จะขยายภาพ ขยายข่าว ขยายอะไรไปเรื่อย ๆ ท่านคำนึงหรือไม่ว่าต่างประเทศเขามองว่ายังไง เขาก็มองกลายเป็นว่าเหมือนเราไปรังแกพระ รังแกพระพุทธศาสนา แล้วเกิดอะไรขึ้น ดีกับประเทศไทยไหม ผมอยากจะถามท่าน  ขอให้ชักจูงให้คนกลับบ้าน ให้มามอบตัว ต่อสู้คดี ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด สื่อต้องช่วยแบบนี้ เขาเรียกว่าจรรยาบรรณ ไม่ต้องควบคุมกันถ้าแบบนี้ ไม่ต้องใช้มาตร 44 ไม่ต้องมีกฎหมายควบคุมสื่อด้วยซ้ำไป ต้องทำให้ได้

ผมอยากให้สติแก่สังคมในวันนี้ ให้มีความอดทน อดกลั้นอย่างที่สุด เอาอะไรมาเป็นหลักคิด หลักธรรม หลักปฏิบัติ ให้ได้ ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ผมไม่อยากใช้มาตรการที่หนัก หรือรุนแรง ใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ วันนี้กำลังใช้กฎหมายปกติอยู่ด้วยนะครับ กฎหมายมาตรา 44 ตีกรอบเฉย ๆ  แต่วันนี้เจ้าหน้าที่ถูกกระทำมากไปเรื่อย ๆ  การที่รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ถูกผลัก ถูกดัน แล้วก็กลายเป็นว่า รังแกพระ รังแกประชาชน ก็ดีเหมือนกัน แปลกดี ไม่เข้าใจว่า โซเชียลมีเดีย สื่อหลายฉบับ พาดพิงโจมตีมาผม มาผมไปเปลี่ยนศาสนา โน่น จะยึดที่นี่ไปห้ามศาสนานั้น ศาสนานี้ คิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้ามีคนเชื่อผมก็จนใจ คนที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ คนเขียนสติไม่มีอยู่แล้ว ขอโทษด้วยผมไม่อยากจะว่า เขียนอะไรก็ได้ให้คนปั่นป่วน ให้คนทะเลาะเบาะแว้งกันไป เรื่องไม่รับผิดชอบสักอย่าง เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคนพยายามเข้าใจในกฎหมายและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เขาทำงานด้วย เขาได้กลับบ้านไปดูแลลูกเมียเขา รถก็ไม่ติด ทุกคนก็ไม่อันตราย แล้วประชาคมโลกเขาก็เข้าใจเรา

วันนี้ผมก็พยายามสื่อสารไปต่างประเทศด้วย ผ่านกระทรวงต่างประเทศว่า ได้เกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร   แต่ขณะเดียวกันก็มีคนไม่ดีอยู่ที่พยายามปล่อยข่าวความไม่ดี ความไม่เรียบร้อย การทำงานของรัฐบาล อะไรต่าง ๆ ท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าใคร  ไม่เลิกซะที  รอบบ้านก็ไปทำ ต่างประเทศก็ไปทำ ล๊อบบี้ยิสต์ก็ใช้  เหล่านี้ทุกคนก็ทราบดีทั้งหมด แต่ทำไมถึงยอมรับฟังกันอยู่ สื่อก็ไปขยายความให้อยู่ทุกวัน เหมือนกับทุกเรื่องเป็นเรื่องสนุก บ้านเมืองไม่ใช่เรื่องสนุก ไม่ใช่ว่าใครผิดใครถูก ใครชนะ ใครแพ้ สับสนไปหมด  เพราะฉะนั้นไม่อยากให้เสนอข่าวเหมือนกับเชียร์มวยเชียร์กีฬา วันนี้ใครแพ้ ใครชนะ  ไม่มีใครแพ้ แล้วก็ไม่มีใครชนะด้วย  ประเทศ แพ้ ประชาชนก็เดือดร้อน ทุกคนต้องมีสติ ใช้สติปัญญาแยกแยะให้ออกด้วย อย่าให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศ เสียความน่าเชื่อถือ ในเวทีระหว่างประเทศ  

สื่อออนไลน์ก็เหมือนกัน ท่านอาจจะคิดว่าจับไม่ได้ ไม่มีใครตามได้  วันหน้าก็ตามได้เอง เพราะมีกฎหมายอยู่แล้ว   วันนี้จับไม่ได้ วันหน้าก็จับได้ ผมไม่ได้ขู่ เพราะฉะนั้นวันหน้าอย่ามาปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ หลักฐานมีทุกอัน เพราะฉะนั้นเราไม่ควรสร้างความแตกแยก เพื่อให้สอดคล้องกับการที่เราจะต้องปรองดอง สมานฉันท์ ภายในช่วงระยะเวลานี้ด้วยนะครับ

 

เรื่องของการปรองดองนั้น คณะกรรมการ ป.ย.ป. ดำเนินการอยู่ วันนี้มีหลายคนออกมาพูดจาให้เสียหาย  แต่ไม่ได้ผล นักโทษบางคนได้รับการประกันตัวออกมา ก็มาข่มขู่ว่า “...ใน 3 เดือนต้องเห็นผล  ถ้าไม่เห็นผลจะเกิดการเปลี่ยนแปลง “ทำไม ท่านจะปลุกระดมคนมาอีกหรือ ทำให้คนเขาตาย เขาเจ็บ ไปเท่าไหร่แล้ว ตอนนี้จะทำอีกหรือ แล้วใครจะออกมาให้เขาหรือ อีกพวกก็บอกว่า ต้องรีบเลือกตั้งให้ได้ภายในเดือนสิงหาคม ไม่อย่างนั้นก็จะเคลื่อนไหวอีก  เป็นนิสิต นักศึกษา  ผมถามนี่เกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นผมก็ไม่อยากให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้มากนัก  เป็นคนส่วนน้อย และเป็นความเห็นที่ไม่สร้างสรรค์ สังคม คนไทยทั้งประเทศ ตัดสินเอาเอง  จะยอมหรือไม่ จะยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกหรือไม่  ที่ผมพูดมาอยากให้มีสติ ใช้เหตุผลนำความคิด  เกรงว่าจะทำลาย“บรรยากาศการปรองดอง” ของประเทศ ประชาชน “ทั้งประเทศ” คงไม่อยากให้เหตุการณ์ปี 53 และปี 57 เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน

ทำไมไม่รู้เหมือนกันว่า คนเหล่านี้ยังมีที่ยืนอยู่ในสังคมได้อีกต่อไป  มีเงินใช้ มีหน้ามีตา มีคนเคารพนับถือทั้งที่มีความผิดมากมาย และไม่ยอมรับความผิด พูดจาโกหก บิดเบือนทุกวัน  สื่อก็ไปสัมภาษณ์อยู่ทุกวัน ๆ  แพร่ภาพ และคำพูด ให้ประชาชนสับสนไปหมด  ทำลายความสงบสุข ทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ  หลายคนมีคดีแล้ว ตัดสินแล้ว ประกันตัว อาจยังไม่ตัดสิน ก็ออกมาพูดจาโวยวาย  แต่คดีใดที่ตัวเองถูกยกฟ้อง หรือไม่ถูกลงโทษก็ดีใจ  ไม่เห็นพูดเลยว่ากฎหมายยุติธรรม แต่คดีใดที่ตัวเองผิดบอกไม่ยุติธรรม สองมาตรฐาน ตัวเองนั่นแหละสองมาตรฐาน ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง อย่าสร้างความเกลียดชังด้วยคำพูดกันอีกเลย  น่าจะพอได้แล้ว อย่าไปขยายความให้เขาเอาใจเขา มาใส่ใจเรา บ้าง  นึกถึงคนที่สูญเสียบ้างว่า

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
dominiqa's profile


โพสท์โดย: dominiqa
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
24 VOTES (4/5 จาก 6 คน)
VOTED: ไทยเฉย, zerotype, ซาอิ, ทัมจัย, l3ytjj, แมวฮั่ว แมวขี้น้อยใจ
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ภาพชุดมวยไทย กับ กังฟู จีน ต่อสู้กันจริงๆ เรามีการต่อสู้กับมวยกังฟูมานานมากแล้ว สู้กันจนมวยจีนต้องกลับไปพัฒนารูปแบบใหม่อ่ะเน่ออดีตหัวหน้าพรรคคนดัง ย้ายซบ ปชป. ตอบแทนบุญคุณช่วยเป็น สส. สมัยแรกสาวเครียด! โพสค์ระบาย เหมือนไร้ตัวตนในที่ทำงาน?พฤติกรรมและวัฒนธรรมแปลกประหลาด แต่เป็นเรื่องปกติของผู้คนในอิตาลี ที่คุณอาจจะสงสัยและไม่รู้มาก่อน!คืนชีพผักเหี่ยวแบบง่ายๆ..ให้กลับมาสดใสอีกครั้งสื่อดัง "วอยซ์ทีวี" ประกาศปิดกิจการ 31 พ.ค.นี้ เลิกจ้างพนักงานกว่า 100 ชีวิต ด้าน "แขก คำผกา"เคลื่อนไหวแล้ว อดีตผู้บริหารหญิง Google ไทย เมาแล้วขับ ลาออกเมื่อต้นปี..ทั้งนี้ยังมาก่อเหตุซ้ำอีก!ปลัดทรงสืบ แฝงนั่งชิลล์อยู่ริมหาดจอมเทียน เจอเหตุรัวปืนวิธีกินคอลลาเจนให้ได้ผลดีที่สุด
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สื่อดัง "วอยซ์ทีวี" ประกาศปิดกิจการ 31 พ.ค.นี้ เลิกจ้างพนักงานกว่า 100 ชีวิต ด้าน "แขก คำผกา"เคลื่อนไหวแล้ว กินอย่างไรไม่ให้เป็น (เบาหวาน)สาวเครียด! โพสค์ระบาย เหมือนไร้ตัวตนในที่ทำงาน?อดีตหัวหน้าพรรคคนดัง ย้ายซบ ปชป. ตอบแทนบุญคุณช่วยเป็น สส. สมัยแรกวิธีนับยอดวิว ของแต่ละแพลตฟอร์ม
กระทู้อื่นๆในบอร์ด ข่าววันนี้
ป่วน ! 3 จว.ใต้ ใบปลิวเกลื่อนยะลา ขณะที่ชาวบ้านไปละหมาดวันศุกร์อดีตหัวหน้าพรรคคนดัง ย้ายซบ ปชป. ตอบแทนบุญคุณช่วยเป็น สส. สมัยแรกพ้นขีดอันตรายแล้ว ! นศ.มธ หนุ่มถูกแทงปมไม่อยากเลิกรากลับไม่ถึงบ้าน เหตุชนฟุตบาทอัดเสาไฟดับสลดคาที่
ตั้งกระทู้ใหม่