กระซวก ดร.วิรไท ด้วยรัก
ที่มา: http://bit.ly/2kgUhZe
ผมเห็น ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไปแสดงปาฐกถา ผมเห็นว่าสิ่งที่ท่านพูดดูไม่เข้าที จึงขอ "กระซวก" ด้วยรัก ด้วยความหวังดีต่อชาติ มาช่วยกันดูว่าผม "จวก" ได้เหมาะสมหรือไม่นะครับ
ดร.วิรไท ได้ไปแสดงปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “เศรษฐกิจการเงินไทยท่ามกลางความท้าทายในยุค 4.0” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560 (http://bit.ly/2kgUhZe) ผมเห็นว่า สิ่งที่ท่านพูดนั้น มีหลายส่วนที่อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงขอ "มองต่างมุม" เพื่อท่านและทีมงานจะได้ลองพิจารณาดู เผื่อเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาชาติ
ท่านบอกว่า megatrend ด้านที่สาม การเกิดขึ้นของเมืองใหม่ (urbanization). . .จะมีผลข้างเคียงหลายมิติ. . . ชุมชนแออัด. . . ข้อนี้ท่านอาจไม่ทราบว่าในยุคสมัยใหม่ เมืองใหม่ มีโอกาสเกิดชุมชนแออัดน้อยลงเพราะราคาที่ดินแพง สามารถใช้พัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ เจ้าของที่ดินคงไม่ปล่อยให้บุกรุกเช่นแต่ก่อน เว้นแต่ที่ดินของหน่วยราชการที่ "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่"
ท่านบอกว่า ศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ลดต่ำลง. . .อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง. . .จนกระทั่งเหลือเพียงร้อยละ 3 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ข้อนี้ท่านละไว้ไม่กล่าวถึงว่ารัฐประหาร 2557 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชายังเคยบอกว่า "หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้นอีกจะเป็นการแก้ปัญหาผิดทาง เพราะจะทำให้ปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้นตามมาอีก และไม่รู้ว่าสังคมไทยจะยืนอยู่บนสังคมโลกได้อย่างไร" (http://bit.ly/2jmloOn)
ท่านบอกว่า คนเพียงร้อยละ 10 ของประเทศถือครองที่ดินมากกว่าร้อยละ 60 ข้อนี้ถ้าท่านยึดถือตามคำพูดเช่นนี้จริง ต้องเอ่ยถึงการแก้ไขภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีมรดกเพราะที่ (คาดว่า) ออกมา ไม่ได้แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้โดยการเก็บภาษีเลย ยังปล่อยไว้ ไม่ได้รับการแก้ไข ผมอยากให้ท่านอ่านหนังสือของผมเรื่อง "ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างช่วยพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาประชาธิปไตย พัฒนาชาติ" (Download ฟรี http://bit.ly/1fTo7vP)
ท่านบอกว่า สัดส่วนประชากรที่อยู่ในเมืองของประเทศไทยที่อยู่ระดับประมาณร้อยละ 50 เพราะการพัฒนาเมืองกระจุกตัวอยู่รอบกรุงเทพฯ ไม่ได้กระจายไปอย่างทั่วถึง. . . ข้อนี้ ดร.วิรไท ไม่ทราบว่า กทม.และปริมณฑลมีจำนวนประชากรเพียง 11 ล้านคน ในขณะที่เมืองภูมิภาคอื่นรวมกันมีประชากรเมืองถึง 22 ล้านคน (http://bit.ly/2gKl52e)
ท่านบอกว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายและกฎระเบียบรวมกันประมาณ 1 แสนฉบับ และมีใบอนุญาตกว่า 1,500 ใบ ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ OECD. . . ข้อนี้ ดร.วิรไท ไม่ทราบว่านักวิชาชีพด้านประเมินค่าทรัพย์สิน บริหารทรัพย์สิน บริหารการขาย ฯลฯ ยังไม่มีใบอนุญาต ซึ่งจำเป็นต้องมีเพื่อพัฒนาวิชาชีพและดูแลผลประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภค
ท่านบอกว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ยุค 4.0 จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง. . .การกระจายโอกาส. . . การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม. . . ข้อนี้ดูเป็นคำพูดสวยหรู แต่ในความเป็นจริงรัฐไม่ได้ฟังเสียงประชาชน เช่น ในการทำผังเมืองก็จัดประชุมให้ประชาชนมาแสดงความเห็น แต่ไม่เคยแก้ไขตามที่ประชาชนเสนอ และไม่ได้แสดงเหตุผลด้วย
ท่านบอกว่า ต้องปรับกลไกการทำงานของภาครัฐให้โปร่งใส และ เปิดกว้าง (open government) เพื่อให้เกิดการตรวจสอบจากภาคประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง. . . ข้อนี้ท่านคงไม่ได้ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่อ้างว่าเป็นยุคโปร่งใส แต่การตรวจสอบต่าง ๆ ทำไม่ได้ มีข้อครหาทุจริต แต่ก็ไม่สามารถจะสาวต่อไปได้ แม้แต่การคัดเลือกผู้บริหารองค์กรอิสระ ถ้าโปร่งใสจริง ก็อาจไม่ได้ผู้บริหารที่มารับตำแหน่งเช่นทุกวันนี้ ก็อาจเป็นได้
ท่านบอกว่า การทำงานร่วมกันผู้อื่น. . .การยอมรับความแตกต่าง. . . ข้อนี้ท่านควรบอกว่าเราต้องยึดถือเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ถ้าไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ เราจะบริหารบ้านเมืองไปทางไหน เช่น เราไม่เคารพว่าประชาชนชาวภูกระดึง 97% ต้องการกระเช้าไฟฟ้า ประชาชนนครสวรรค์ 79% ต้องการเขื่อนแม่วงก์ ประชาชน 78% รอบเหมืองพิจิตร ต้องการให้เหมืองอยู่ต่อ
ท่านบอกว่า เราต้องตระหนักว่า เราเป็นหนึ่งในเจ้าของประเทศ ดังนั้น เรามีหน้าที่ในการเป็นพลเมือง และพร้อมเข้าแก้ปัญหาตามศักยภาพและในทุกโอกาสที่มี. . . ข้อนี้ ถ้ารัฐตระหนักจริง คงไม่ออกรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่มีสิทธิเลือกนายกฯ ไม่มีสิทธิเลือกองค์กรอิสระ มีการแต่งตั้งคนทำหน้าที่ในสภา มี "พนักงานเทกระโถน" โดยได้รับลาภยศสักการะทั้งที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนตามมาอีกมากมาย คนส่วนใหญ่ถูกเอาเปรียบและทิ้งอยู่เบื้องหลังแบบนี้ จะไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร
ท่านบอกว่า คนไทยโชคดีที่บรรพบุรุษเราปลูกฝังให้เรามีคุณธรรมดีเป็นพื้นฐาน จึงเป็นมรดกของแผ่นดินที่ต้องรักษาไว้ด้วยความหวงแหนและพัฒนาให้มีมากขึ้นต่อเนื่อง ข้อนี้ท่านพูด Over ไปไหม มีบรรพบุรุษชาติไหนที่ไม่ปลูกฝังให้เรามีคุณธรรมบ้างหรือไม่
ดร.วีรไทยังพูดเรื่อง "ประเทศไทย 4.0" บ่อยมากในปาฐกถาครั้งนี้ แต่พื้นฐานความคิด ที่มา แนวทางการดำเนินการเพื่อให้ไทยเจริญตามแนวคิดนี้ สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่วาทกรรม (พูดส่งเดช) ที่แหกตาประชาชน เป็นสิ่งที่เราต้องจับตาดูให้ดี เนื่องจากการแบ่งยุคต่าง ๆ ก็น่าสงสัยว่าจะแบ่งผิดแล้ว แถมยังมี "ความคิดนรก" ประเภทมุ่งส่งเสริมให้ "ทำน้อย ได้มาก" (http://bit.ly/2gNFjUV)
ผมก็ไม่รู้จักท่าน ดร.วิรไทเป็นการส่วนตัวหรอกครับ แต่เมื่อท่านมา "ช่วยชาติ" ก็ต้องช่วยท่านหน่อย แม้สิ่งที่ช่วย จะไม่ใช่ยาหอม จะเป็นยาขมก็ตาม แต่ก็เป็นยา ไม่ใช่ลม เข้าทำนอง "หวานเป็นลม ขมเป็นยา"