หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ปริศนาเรือแมรี่ เซเลสต์(Mary Celeste)

โพสท์โดย ห่ะไรนะ

ปริศนาเรือแมรี่ เซเลสต์(Mary Celeste)



นี้คือปริศนาเรือหายทางทะเลที่โด่งดังที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อกัปตันเบนจามิน สปูนเนอร์ ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
กลางมหาสมุทรแอตแลนติกตอนต้นฤดูหนาว ปี 1872 หรือประมาณ 130 ปีมาแล้ว สมัยนั้นเรือหายกันมีออกบ่อย
เนื่องจากเทคโนโลยีในการเดินเรือและการสื่อสารยังไม่เจริญ เรือแต่ละลำออกทะเลไปเหมือนกับอยู่คนเดียวในโลกที่มีแต่น้ำกับฟ้า
เวลาเกิดอะไรขึ้นก็ต้องอาศัยพยานที่รอดชีวิตมาเล่าให้คนอื่นฟัง หรือไม่ก็ต้องค้นพบซากเรือกับศพคนบนเรือกันอย่างเดียว


ปริศนาที่ทำให้เรือแมรี่ เซเลสต์ยังไม่สร่างมาจนถึงปัจจุบัน และยังคงคลาสสิกที่น่าสะพรึงกลัว ก็คืออยู่ดีๆ ทุกคนบนเรือบวกกับ
แมวหนึ่งตัวก็ล่องหนหายไปไหนก็ไม่รู้ โดยที่เรือและทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ยังอยู่ดี ไม่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปสักเอะ!
   
ปริศนาเรือแมรี่ เซเลสต์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1872 เมื่อเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอังกฤษชื่อ เดอี กราเซีย เห็นเรือใบขนาด 100 ฟุต
ลำหนึ่งลอยตุ๊บป่องอยู่กลางทะเลมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ ระหว่างประเทศปอร์ตุเกสกับหมู่เกาะอะซอเรส พอค่อยๆ เข้าไปใกล้
ก็เห็นชื่อเรือ “แมรี่ เซเลสต์” กัปตันเดวิด มัวร์เฮาส์ ของเรือเดอี กราเซีย ก็สะดุ้งโหยง

เนื่องจากเขาเพิ่งขึ้นไปกินข้าวกับกัปตันบริกกส์
บนเรือดังกล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมา ตอนนั้นเรือทั้งสองลำจอดเทียบท่ารอขนส่งสินค้าอยู่เคียงข้างในแม่น้ำอิสต์ เมืองนิวยอร์ก กัปตันมัวร์เฮาส์
จำได้ว่ากัปตันบริกกส์พาภริยาชื่อซาร่าห์ และลูกสาวเล็กๆ ชื่อโซเฟีย มาทิลด้า อายุประมาณสองขวบมาด้วย เรือแมรี่ เซเลสต์ กำลังจะขนส่ง
แอลกอฮอล์ดิบจำนวน 1,70 ถึงจากอเมริกาไปยังเมืองเยนัว ประเทศอิตาลี มูลค่าประมาณ 35,000 เหรียญสหรัฐ ออกเดินทางจากท่าเรือ
เมืองนิวยอร์กในวันที่ 7 พฤศจิกายน ก่อนหน้าเรือเดอี กราเซีย 8 วัน

หลังจากส่องกล้องและส่งเสียงอยู่สองชั่วโมงจนแน่ใจว่าต้องมีเรื่องผิดปกติร้ายแรง กัปตันมัวร์เฮาส์ก็ตัดสินใจส่งลูกน้องสามคนขึ้นไป
บนเรือแมรี่ เซเลสต์เพื่อตรวจสอบ ทั้งสามรายงานกลับมาว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่บนเรือนอกจากหนูและแมลง ตัวเรือแม้จะใช้งานได้
ถ้าหากซ่อมแซมเสียหน่อย แต่สภาพทั่วๆ ไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

ทุกอย่างบนเรือเปียกโชก มีน้ำเป็นหย่อมๆ อยู่บนดาดฟ้า ระวางสินค้า
มีน้ำทะเลขังอยู่สูงเกือบเมตร สะพานเดินเรืออยู่ในสภาพทรุดโทรม เตาทำอาหารล้มตะแคงอยู่บนพื้น อุปกรณ์ทำครัวและเครื่องใช้
บนโต๊ะอาหารกระจายเกลื่อน เข็มทิศและเครื่องมือเดินเรือบางชิ้นแตกหัก แต่ของส่วนใหญ่บนเรือยังอยู่ดีแม้แต่แอลกอฮอล์
(เอกสารบางชิ้นระบุว่าถังแอลกอฮอล์เปล่า 9 ถัง แต่ส่วนใหญ่ยืนยันว่าทุกถังยังอยู่ดี เว้นแต่ถังเดียวที่มีรอยแตกเหมือนโดนกระแทก
จนแอลกอฮอล์ไหลออกไปหมด) ที่หายไปคือน้ำจืดนิดหน่อย เรือชูชีพหนึ่งลำ ทะเบียนเรือ และอุปกรณ์สำคัญในการเดินเรือสองชิ้น
คือโครโนมิเตอร์(นาฬิกาดาราศาสตร์) กับเซ็กส์แทนต์(เครื่องวัดตำแหน่งของดวงดาวเพื่อหาตำแหน่งของเรือ)




   
เมื่อฟังรายงานนี้แล้ว กัปตันเฮาส์ตัดสินใจลงเรือมาดูให้เห็นกับตา เขาพบว่าส่วนที่อยู่อาศัยของกัปตันและลูกเรืออยู่ในสภาพปกติ
ทุกอย่างบนเรืออยู่ในสภาพที่ราวกับว่าเพิ่งมีคนอยู่ที่นั่นจนเมื่อครู่ และพวกเขาพากันจากไปอย่างเร่งรีบ ห้องกัปตันมีเสื้อผ้าผู้หญิง
และของเล่นเด็กหล่อยอยู่เกลื่อนกลาด สมุดโน็ตดนตรีของภรรยาเปิดค้างไว้เหมือนยังเล่นค้างอยู่ จะมองว่าถูกรื้อกระจุยกระจายก็ได้
หรือจะมองว่าอยู่ในสภาพปกติเมื่อแม่กับลูกอยู่ด้วยกันก็ได้เหมือนกัน ของส่วนตัวของลูกเรือทุกคนถูกเก็บไว้อย่างเรียบร้อยในหีบ
หรือถุงประจำตัว ที่โต๊ะอาหารว่างของกัปตันยังพบร่องรอยไข่ลวกกระเทาะเปลือกทิ้งไว้โดยไม่ตักรับปะทาน ขนมปังและจานซุป
ยังวางอยู่บนโต๊ะ (บางข่าวบอกว่าซุปยังร้อนอยู่ด้วยซ้ำ) ไปป์ถูกวางไว้รอจุดไฟ รองเท้าบู้ธถูกวางทิ้งทั้งๆที่ยังขัดค้างไว้อยู่
ภายในห้องต้นหนมีกระดาษชนวนแผ่นหนึ่งพร้อมข้อความเขียนด้วยลายมือบูดๆเบี้ยวๆ ว่า

“ถึงแฟนนี่ เมียสุดที่รัก”

แล้วก็จบแค่นี้เหมือนคนเขียนละมือไปทำอะไรสักอย่าง รูปการบ่งบอกชัดเจนว่าสะละเรือเป็นไปอย่างเร่งรีบโดยไม่มีการ
เตรียมตัวมาก่อน บันทึกเดินเรือถูกฉีกขาดไปหลายหน้า แต่ก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นว่าคนทั้ง 10 หายไปไหนและก็ไม่มี
ใครได้เห็นพวกเขาอีกเลยจริงๆ





โดยรายชื่อคนหายมีดังต่อไปนี้
Benjamin S. Briggs (กัปตัน) อายุ 37 สัญชาติอเมริกัน (คนซ้ายสุด)
Albert C. Richardson (ต้นหน) อายุ 28 สัญชาติอเมริกัน(คนที่สี่)
Andrew Gilling (รองต้นหน) อายุ 25 สัญชาติเดนมาร์ก
Edward W. Head (กุ๊ก) อายุ 23 สัญชาติอเมริกัน
Volkert Lorenson (ลูกเรือ) อายุ 29 สัญชาติเยอรมัน
Arian Martens (ลูกเรือ) อายุ 35  สัญชาติเยอรมัน
Boy Lorenson (ลูกเรือ) อายุ 23 สัญชาติเยอรมัน
Gottlieb Gondeschall (ลูกเรือ) อายุ 23 สัญชาติเยอรมัน
Sarah Elizabeth Briggs (ภรรยาของกัปตัน) อายุ 31 สัญชาติอเมริกัน(คนที่สอง)
Sophia Matilda Briggs (ลูกของกัปตัน) อายุ 2 ขวบ สัญชาติอเมริกัน(เด็กคนที่สาม)

เมื่อกัปตันมัวร์เฮาส์เปิดปูมเดินเรือออกอ่านก็พบด้วยความตกใจว่าวันสุดท้ายที่มีการบันทึกคือวันที่ 25 พฤศจิกายน
หรือประมาณ 10 วันมาแล้ว ตำแหน่งเรือปัจจุบันเทียบไว้ในปูม แสดงว่าเรือแมรี่ เซเลสต์ กางใบแล่นมาโดยปราศจาก
คนบังคับเกือบ 100 ไมล์!


กัปตันมัวร์เฮาส์สังเกตว่าข้างเรือด้านหนึ่งมีเชือกผูกห้อยไว้ ปลายเชือกระไปกับสายน้ำ ตรงกราบเรือมีรอยฟันเป็นแผนลึกหนึ่งแผล
ซึ่งอาจเกิดมาจากขวาน และใต้ที่นอนของลูกเรือคนหนึ่งมีดาบเล่มหนึ่งเล่ม(ดาบเล่มนี้ตอนหลังเล่าลือว่ามีรอยเปื้อนเลือดอยู่ด้วย
หากแต่บันทึกของศาลเรื่องการหายตัวของกัปตันและลูกเรือแมรี่ เซเลสต์ระบุว่าดาบอยู่ในฝักและขึ้นสนิทหน่อยๆ ไม่ได้เปื้อนเลือดแต่อย่างใด)

กัปตันมัวร์เฮาส์ตัดสินใจลากเรือแมรี่ เซเลสต์มาเทียบท่าที่ยิบรอลตาร์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของอังกฤษขึ้นมาเก็บหลักฐานในการสอบสวน
ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อเห็นร่องรอยทั้งหมด เจ้าหน้าที่ก็รวบรัดสรุปทันทีว่าน่าจะเกิดกบฏขึ้นบนเรือโดยลูกเรือแอบขโมยแอลกฮอล์
ในถังจนดื่มเมามาย และก็เลยลุกมายึดเรือฆ่ากัปตันและเมียและลูกโยนทะเลก่อนจะลงเรือชูชีพหนีไป





เจ้าของเรือชาวอเมริกันอ่านรายงานการสอบสวนนี้อย่างงงๆ ด้วยว่ามันมีข้อขัดแย้งมากมาย เช่นหากลูกเรือยึดเรือได้แล้วทำไม
ต้องลงเรือชูชีพหนีไปด้วย(ถ้าบอกว่าบังคับให้กัปตันลงเรือชูชีพพร้อมครอบครัวไปตายกลางทะเลก็ว่าไปอย่าง)แถมยังทิ้งข้าวของ
ส่วนตัวไว้บนเรือเสียอีก แถมจำนวนลูกเรือมีแค่สี่คน ก๊กหนึ่ง ต้นหนและรองต้นหน ก็น้อยเกินไปจะทำอะไรได้ โดยเฉพาะต้นหน
และกัปตันดูแล้วทำงานเข้าขากันดี กัปตันบริกกส์เองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นกัปตันเรือที่ความสามารถ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ ลูกน้องก็ให้
ความเคารพนับถือ ที่สำคัญเขาไม่ดื่มเหล้า และไม่อนุญาตให้มีการดื่มเหล้าบนเรือ เรื่องที่ลูกเรือจะเจาะถังเหล้าเอาแอลกอฮอล์
มาดื่มจนเมายิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะแอลกอฮอล์ในถังแรงมาก กินเข้าไปมีสิทธิปวดท้องนอนดิ้นเอาง่ายๆ

   
ศาลอังกฤษฟังคำโต้แย้งก็อื้มๆ จริงว่ะ ในที่สุดก็สรุปว่าไม่สามารถหาสาเหตุการหายตัวไปของกัปตันบริกกส์และลูกเรือทั้งหมดได้
เรือเดอีการเซียได้รับเงินค่าความยุ่งยากในการกู้ซากเรือแมรี่ เซเลสต์ หลังจากเหตุการณ์ในปี 1872 แล้ว แมรี่ เซเลสต์ก็ถูกขายให้
เจ้าของคนใหม่และเปลี่ยนชื่อและยังคงออกทะเลอีก และอีก 12 ปีต่อมา มันก็ถูกจมทิ้งเพื่อหวังเงินประกันใกล้ๆ เกาะเฮติ


ผู้คนรู้จักเรือแมรี่ เซเลสต์หลังจากนักเขียนหนุ่มอาร์เธอร์ โคนันดอยล์ ที่เอาเรื่องนี้ไปเขียนเป็นนิยายลึกลับ
จนขายดิบขายดี ก่อนที่จะมาเขียนอมตะวรรณกรรมนักสืบนาม เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ในที่สุด





เรื่องของดอยล์ทำให้ผู้คนมาสนใจการหายตัวลึกลับของลูกเรือ(และแมว)บนเรือแมรี่ เซเลสต์กันใหญ่ หลายทฤษฏีถูกนำมาพูดถึง
หลากหลาย บางคนบอกว่าเรือแมรี่ เซเลสต์ถูกโจรสลัดบาร์บารี่ปล้นฆ่าทุกคนบนเรือแต่ก็อีกนั้นแหละในเมื่อมันปล้นแต่ทำไมสินค้า
สำคัญบนเรือถึงยังไม่หายไป และเจ้าโจรสลัดบาร์บารี่นั้นมันสูญพันธ์ไปนานแล้วนะ(เว้ย)






อีกรายหนึ่งออกมาบอกว่า อาจเป็นปลาหมึกยักษ์คราเคนก็ได้ ที่โจมตีเรือ ใช่หนวดยุ่ยยับจับลูกเรือไปเป็นอาหารของมัน
ใครจะไปรู้ละว่าในห้วงมหาสมุทรมีตัวอะไรประหลาดๆ แอบซ่อนอยู่บ้าง

อีกรายก็บอกว่าไม่ใช้ปลาหมึก แต่เป็นจานบินมนุษย์ต่างดาวต่างหากที่คนบนเรือ(และแมว)โดนมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป

อีกพวกก็บอกว่าอาจเป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า(ที่ก็มั่วอีกเพราะสามเหลี่ยมที่ว่าห่างจากที่เกิดเหตุหลายพันไมล์)

อีกพวกก็บอกว่าอาจเป็นพิษจากอาหารทำให้คนบนเรือเกิดภาพหลอนฆ่าฟันกันจนตายยกลำ




   
แต่ทฤษฏีที่หลายคนยอมรับมากที่สุด เห็นจะเป็นการที่มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่กัปตันและลูกเรือสละเรือกะทันหัน
สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากแอลกอฮอล์ดิบจำนวนมหาศาลตรงใต้ท้องเรือนั่นแหละ กัปตันบริกก์ไม่เคยขนแอลกอฮอล์มาก่อน
และไม่ค่อยสบายใจกับมันมากนัก เมื่อเรือแมรี่ เซเลสต์เผชิญกับพายุหรือคลื่นลมแรง(ล่าสุดมีคนเสนอแผ่นดินไหวใต้น้ำ
น่าจะมีเสียงเลื่อนลั่น เรือน่าจะสั่นสะท้านทั้งลำ) กัปตันอาจกลัวว่าเรือจะระเบิด เลยบอกให้ทุกคนลงเรือชูชีพให้เร็วที่สุด
แล้วโยนเรือชูชีพไว้กับเรือใหญ่ลากจูงกันไปจนกว่าสภาพอากาศจะดีขึ้น แต่ไปๆมาๆ ลมคงแรงจนเชือกผูกโยงเรือขาดออก
เรือแมรี่ เซเลสต์ติดลมวิ่งฉิวจนเกินกำลังที่เรือชูชีพจะวิ่งทัน ลงท้ายเรือลำเล็กฝ่าคลื่นลมไม่ไหว เลยคว่ำจมลง ทำให้ทั้งสิบเอ็ด
ชีวิตจมตามไปด้วย หรือไม่ก็ลอยชูชีพติดเกาะที่ไหนสักแห่งบนโลกไปนี้

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงจะดูแล้วไม่น่ามีทางรอด แต่ตราบใดที่ไม่มีศพหรือหลักฐานชัดเจนว่าตายแน่ปริศนาก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
ในปี 2001 ซากของแมรี่ เซเลสต์ถูกกู้ขึ้นมาโดยการสนับสนุนจากนักเขียน ไครบ์ คัสเลอร์ และจอนห์ เดบิส ผู้กำกับชาวแคนาดา
เพื่อค้นหาคำตอบปริศนาที่ผ่านมากว่า 130 ปีต่อไป

 
 

ที่มา: http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?PHPSESSID=6vav2kalv8tbr6vl09bavk3ko6&topic=117234.0
ข้อมูลจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/Mary_Celeste
ต่วยตูนเล่มที่ 374 เมษายน 2549+ +
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ห่ะไรนะ's profile


โพสท์โดย: ห่ะไรนะ
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
32 VOTES (4/5 จาก 8 คน)
VOTED: โดราเอม่อน, aRnoNAe, Thorsten, makhamdong, ท่านฮั่ว แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568เอ๊ะ! "กรรมกรข่าว" หายไปไหน? สรยุทธ-น้องไบรท์ สู้ชีวิตเบอร์ไหน มาดูกัน!เภสัชกรเผย!..อาหารเสริมวิตามิน 3 ชนิดที่คุณควรหยุดกิน!ไทยเคารพการตัดสินใจของมาเลเซีย ในการปิดฐานด่านผ่านแดนผิดกฎหมายปูตินประกาศ ลบประเทศยูเครนแล้ว!!เตโอตีวากาน (Teotihuacan) กับตำนาน วันสิ้นโลก เมืองโบราณที่ไม่รู้ใครสร้างเวียดนามเปิดตัวรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกในโฮจิมินห์ซิตี้: ความฝันที่รอคอยกว่า 17 ปีนักโทษแดนประหารที่สวยน่ารักที่สุดในโลก!เวียดนามมีรถไฟฟ้าใต้ดินใช้แล้ว!!เปิดแชทสุดท้าย “วิว ชัชวาลย์” ถึงลูกทุ่งดังให้ดูแลตัวเองให้มากๆหนุ่มคลั่งการ์ตูนชินจัง ลงทุนสร้างบ้านเหมือนเป๊ะ!!มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคร้ายที่มากับเมนูอร่อย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เมียวางยาผัวในเครื่องดื่ม หวังได้เงินมรดก 30 ล้าน แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลยเปิดแชทสุดท้าย “วิว ชัชวาลย์” ถึงลูกทุ่งดังให้ดูแลตัวเองให้มากๆความขี้เกียจ มันอยู่ในกระแสเลือด
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
บ้านหลังเก่าโบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบโบสถ์เซนต์แมรี่แห่งไซออน, เอธิโอเปียเขาพระวิหาร: สัญลักษณ์แห่งความงดงามและความขัดแย้ง
ตั้งกระทู้ใหม่