6 อันดับ อาหารเช้า ที่มีประโยชน์มากที่สุด
อันดับ 6 น้ำเต้าหู้ + ปาท่องโก๋
สำหรับเมนูอันดับสุดท้าย อย่างน้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋นี้ คุณหมอฟันธงออกมาให้เราทราบกันชัดๆเลยว่า ปาท่องโก๋นั้น ถือเป็นอาหารที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้คุณอ้วนได้ง่าย เพราะทานแล้วหิวเร็ว ส่วนน้ำเต้าหู้นั้น ถือเป็น “อาหารล้างบาป” ให้กับปาท่องโก๋ที่คุณทานเข้าไป
ถ้าคนเราทานปาท่องโก๋ วันละ 1 คู่ ทุกวัน ภายในเวลา 1 ปี น้ำหนักจะขึ้นเป็นกิโลกรัมเลย เพราะปาท่องโก๋เป็นอาหารที่มีแป้ง แต่น้ำเต้าหู้ เป็นตัวล้างบาปที่ดี นี่คือภูมิปัญญาของคนไทย เพราะน้ำเต้าหู้ มันมีสารอาหารที่ช่วยเรื่องสุขภาพ ทั้งโปรตีน แอนตี้ออกซิแดนท์ เปปไทด์ หรือถ้ายิ่งเป็นน้ำเต้าหู้ใส่ธัญพืช ก็จะมีไฟเบอร์ ที่ช่วยไล่ไขมันในปาท่องโก๋ได้
อีกสิ่งที่ต้องระวังจากตัวปาท่องโก๋คือ มันอาจจะมีสารตัวหนึ่งที่ก่อมะเร็งได้ ซึ่งจะเกิดในพวกของทอด อาหารที่ต้องทอดด้วยน้ำมันชุ่มๆ และอาหารทอดซ้ำ ดังนั้นถ้าเราจะทานปาท่องโก๋ ก็ต้องพยายามเว้นวันบ้าง อย่าทานทุกวัน หรือควรจะทานน้ำเต้าหู้ที่มีธัญพืชเยอะๆ ร่วมด้วย จะได้ช่วยไม่ให้แป้งในปาท่องโก๋ ดูดซึมเร็วเกินไป จนทำให้หิวง่าย
อันดับ 5 ข้าวเหนียว+ หมูปิ้ง
เมนูอับดับห้านี้ แม้จะอร่อย ทานง่าย แถมพกพาสะดวก ทว่าก็ต้องระมัดระวังเลือกร้านที่ไว้ใจได้ และเลี่ยงทานส่วนที่ “มัน” ไว้ด้วย
ในเรื่องของพลังงานที่ได้จากการเผาผลาญอาหาร เราอาจได้รับแคลอรี่ เยอะอยู่ แต่ถ้าเทียบกับโจ๊กแล้ว ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็เป็นตัวที่สลับกันทานกับโจ๊กได้ เพราะอย่างน้อยในข้าวเหนียว ก็จะมีกลูเตน หรือไฟเบอร์เยอะกว่าข้าวขัด จะดีขึ้นมาระดับหนึ่ง และถ้ายิ่งได้ทานหมูปิ้งกับข้าวเหนียวดำ มันก็จะมี โอพีซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยู่ในข้าวเหนียวดำด้วย
ส่วนหมูปิ้งมีเทคนิคการทานคือ ให้เลือกหมูปิ้งในส่วนที่มีมันค่อนข้างน้อย เพราะเมื่อไหร่ไขมัน ไปสัมผัสกับความร้อน มันจะเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดสารก่อมะเร็งขึ้น ดังนั้นให้เลือกมันน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมันที่แทรกอยู่ในเนื้อหมู หรือมันที่ติดอยู่โคนไม้เหล่านี้ก็ต้องเลี่ยง นอกจากนี้เรื่องถ่านที่ปิ้งหมู ก็ต้องระวังเรื่องของสารปนเปื้อนที่มาจากถ่านที่ไม่ได้คุณภาพด้วย เพราะไม้พวกนี้เขามีการพ่นปลวก พ่นสารเคมีเอาไว้ อาจจะทำให้เราได้รับสารเคมีได้
อันดับ 4 โจ๊กหมู
โจ๊กหมู จะมีปลายข้าว รำข้าว ถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้งที่ทำให้เราหิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับโจ๊กหมูคือ ขิง และต้นหอม เพราะขิงจะช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย และทำให้ไม่รู้สึกเลี่ยน ต้นหอม ช่วยในเรื่องลดไขมัน และควบคุมน้ำตาล
ส่วนประโยชน์นั้น หากเราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันจะทำให้เราได้วิตามินอี และ แกมมา ออริซานอล ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะยิ่งดีมาก เพราะมันจะมี กาบา ที่ทำให้สมองร่าเริง ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊กที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหาซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น
ข้อควรระวังคือ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะนั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของกรดยูริค ที่ทำให้เกิดเก๊าท์ และในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริคมากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกมันก็จะได้กรดยูริคมากเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอลมากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้คอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากเกินไป
อันดับ 3 ขนมครก + กาแฟ
ขนมครกนั้น จะมีปัญหาตรงที่มันมีแป้ง ถ้าเจ้าไหนใส่แป้งเยอะ ก็ไม่ต่างจากปาท่องโก๋เท่าไหร่ ดีกว่านิดหน่อยตรงที่มันใช้การปิ้ง เป็นการทำให้สุกด้วยความร้อนแทนการทอด แต่ข้อดีของมันคือ มีกะทิ ซึ่งกะทิเป็นไขมันดี เป็นกลุ่มของไขมัน มีเดียม-เชน ไตรกลีเซอไรด์ (Medium-chain triglycerides) เป็นไขมันที่ร่างกายขับออกได้ดี ก็เลยไม่ค่อยถูกเก็บสะสมในร่างกาย ซึ่งเรามักเข้าใจว่ากะทิก่อให้เกิดอันตราย แต่จริงๆ แล้ว กะทิถือเป็นของดีเลย อันนี้เป็นอีกหน้าฉากหนึ่งและในมะพร้าวก็ยังมีวิตามินอี ที่ช่วยบำรุงผิวด้วย และส่วนใหญ่แล้ว หน้าของขนมครก ก็จะเป็นหน้าเพื่อสุขภาพ คือโรยด้วยเผือก, ต้นหอม, ข้าวโพด, ก็จะมีวิตามินเอ ซึ่งวิตามินเอ ต้องอาศัยไขมันจากกะทิ ในการดูดซึมดังนั้นก็เข้ากันพอดี
ยิ่งทานขนมครกกับชา หรือกาแฟ ก็ถือว่าเหมาะสม เพราะในกาแฟจะมีคาเฟอีน (Caffeine) เยอะ ซึ่งถ้าเราได้ อาหารอย่างขนมครกเข้าไปรองท้องก็จะดี เพราะร่างกายจะได้ไม่ต้องดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งมันอาจจะมากเกินไปสำหรับร่างกาย ดังนั้นขนมครกก็ไม่ถึงกับเป็นอาหารเช้าที่เลวร้ายนัก แต่ก็ต้องระวังไว้นิด เพราะบางเจ้าอาจมีการใส่น้ำตาลเยอะ รสหวานเกินไป อันนี้ก็ต้องระวังไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะได้รับน้ำตาลมากเกินไปเหมือนกัน”
อันดับ 2 ขนมปัง + ไข่ดาว
สำหรับอับดับสองเป็นเมนูอาหารเช้าทำง่าย…ทานง่าย อย่าง ขนมปัง-ไข่ดาว ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ยกให้เป็นอาหารเช้าเปี่ยมประโยชน์ที่เหมาะนักสำหรับหนุ่มสาววัยทำงาน และน้องๆ วัยเรียน จะต้องเป็นขนมปังโฮลวีท (whole wheat) และไข่ดาวน้ำ หรือไข่ต้ม (ที่ไร้น้ำมัน) นะคะ
ในช่วงเช้า สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ (office) ที่ต้องไปทำงาน หรือเด็กในวัยเรียน การเพิ่มอาหารจำพวกโปรตีนเข้าไปก็ถือว่าเหมาะมาก เพราะโปรตีนจะกระตุ้นให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ดังนั้นการทานอาหารที่มีโปรตีนอย่าง ไข่ ก็เป็นอาหารเช้าที่ดีมาก ราคาไม่แพง และมีโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นสมองด้วย สำหรับไข่ทอดอาจจะมีปัญหาเรื่องของน้ำมัน ดังนั้นหากทานเป็นไข่ต้มได้ก็ยิ่งดี โดยอาจทานไข่ต้ม, ไข่ลวก, ไข่ดาวน้ำ โรยซีอิ้วขาว โรยพริกไทยก็ยิ่งดี เพราะพริกไทยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ และลดไขมันได้ด้วย
หรือไข่ต้มอย่างเดียวอาจไม่อิ่ม การทานคู่กับขนมปังโฮลวีท ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะขนมปังโฮลวีท เป็นแป้งที่มีคุณภาพ คือ แป้งมีกาก มีธัญพืชทั้งหลาย โดยอาจนำขนมปังขนมปังโฮลวีท มาทำเป็นแซนวิช (sandwich) ไข่ เพิ่มผักอีกสักหน่อย ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น ทานกับนมอีกนิดเพอร์เฟค (perfect) เลย เพราะนมก็มีโปรตีน และกรดอะมิโน (Amino acid) ที่ช่วยกระตุ้นสมอง ถ้าผู้ใหญ่บางท่านแพ้นมวัว ทานแล้วท้องเสีย ก็สามารถทานโยเกิร์ต (Yoghurt) แทนได้ เพราะโยเกิร์ตคือ นมที่ย่อยแล้ว และไม่ทำให้ห้องเสีย ถือว่าเป็นอาหารชูกำลัง แทนที่เราจะกระตุ้นด้วยกาแฟ เรากระตุ้นด้วยอาหารชูกำลังอย่าง นม หรือโยเกิร์ตดีกว่า”
อันดับ 1 ต้มเลือดหมู
เมนูอันดับหนึ่ง คุณหมอผู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Anti-Aging ยกนิ้วให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพสุดๆ ทว่าจะให้ทานแล้วดีต่อร่างกายอย่างแท้จริง…ก็ต้องมีเทคนิคในการทาน
ต้มเลือดหมูเป็นอาหารที่เรียกได้ว่าเป็น perfect combination หรือเป็นคู่ที่สมกันมากเลย เพราะในเลือดหมูมีธาตุเหล็ก และในผัก เช่น ใบตำลึง จะมีวิตามินซีเยอะ ธาตุเหล็กต้องมีวิตามินซี มันถึงจะดูดซึมได้ดี เช่นเดียวกับที่วิตามินซี ก็ต้องมีธาตุเหล็กมันถึงจะดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี ฉะนั้นมันเป็นคู่ที่เพอร์เฟคเลย
แต่สิ่งที่ควรระวังคือ หากใครเป็นเก๊าท์ ต้องระวังหน่อย เพราะน้ำซุปต้มเลือดหมูทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมีกรดยูริค (Uric Acid) เยอะ ส่วนเครื่องในก็มีกรดยูริคสูงเหมือนกัน อันนี้อาจต้องระวังสักนิด นอกจากนี้คนอีกกลุ่มที่ต้องระวัง คือ คนที่เป็นธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เพราะคนที่เป็นธาลัสซีเมีย ไม่ควรกินธาตุเหล็กเยอะ แต่ต้มเลือดหมู มีทั้งเลือดหมู, เครื่องใน, ใบตำลึง เหล่านี้มีธาตุเหล็กทั้งนั้นเลย แต่ถ้าในคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นธาลัสซีเมีย ต้มเลือดหมูคือต้มที่ดี เป็นต้มที่เปี่ยม คอลลาเจน (Collagen) เพราะในเลือดหมูมีคอลลาเจน ในน้ำต้มกระดูกก็มีคอลลาเจน ทั้งยังมีผักเขียวที่มีวิตามินซี ก็ยิ่งทำให้คอลลาเจน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีอีกด้วย
ดังนั้นต้มเลือดหมู ถือว่าเป็นซุปสวยได้เลย เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง ผมว่าดีกว่าปาท่องโก๋จิ้มนมนะ แต่มันจะกลายเป็นอาหารที่ไม่สุขภาพไปได้ เช่น หากเราใส่กระเทียมเจียวเยอะๆ ใส่หมูติดมัน หรือบางเจ้าใส่หมูสามชั้น หรือหมูกรอบเข้าไป แล้วปรุงให้รสจัดเกินไป หรือหวานไป
ก็ทราบกันไปแล้ว ถึง 6 เมนู สุดยอดมื้อเช้าที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และอย่างที่ทราบกันดีว่า อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญ สำหรับการทำงานของร่างกาย เพราะฉะนั้นการเลือกเมนูมื้อเช้า ด้วยเมนูที่เป้นประโยชน์ ก็จะช่วยเสริมให้อาหารมื้อเช้าของเรานั้น ทรงคุณค่าและสำคัญมากๆ มากขึ้นไปอีก รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมเลือกทานข้าวเช้ากันนะคะ
ขอบคุณที่มาจาก emaginfo.com