“สมบัติทางประวัติศาสตร์” ที่ถูกทำลายด้วยเหตุผลบ้าๆ
ถ้ามีของขึ้นชื่อว่าเป็น สมบัติทางประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าใครๆ ก็ต้องรู้ถึงความสำคัญและต้องพยายามช่วยกันเก็บรักษา แต่ไม่น่าเชื่อว่าบางครั้งก็มีการทำลายสมบัติชื่อดังเหล่านี้ด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
สโตนเฮนจ์ถูกเอามาใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง
ที่มาภาพ Wikipedia
เป็นที่ถกเถียงกันมานานแล้วว่า สโตนเฮนจ์ ถูกสร้างมาเพื่ออะไรและทำได้อย่างไรกันแน่ ทฤษฎีมีตั้งแต่ว่าอาจจะเป็นเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา หรือบางคนก็เชื่อว่าสิ่งก่อสร้างนี้สร้างขึ้นโดยเวทมนต์ของพ่อมดแม่มดสมัยก่อน แม้แต่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาวด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีก็เชื่อกันว่ามันน่าจะถูกสร้างมาเมื่อประมาณ 2,500-3,000 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้มันกลายเป็นสิ่งก่อสร้างโดยมนุษย์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลือมาถึงในปัจจุบัน และแน่นอนว่ามันมีชื่อเสียงมากพอๆ กันคุณค่าทางประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ ส่วนที่สำคัญที่สุดของสโตนเฮนจ์ได้หายไป ภาพวาดจากเมื่อสมัยก่อนได้แสดงให้เห็นว่า ความจริงแล้ว สโตนเฮนจ์จะต้องมีแท่นบูชาหินอยู่ด้วย แต่ทุกวันนี้กลับไม่มีแท่นบูชาที่ว่าหลงเหลือให้เห็นอยู่เลย นักโบราณคดีต่างหมกหมุ่นอยู่กับการหาชิ้นส่วนที่หายไปนั้น เพราะเชื่อว่ามันจะเป็นส่วนสำคัญที่แก้ปริศนาเกี่ยวกับสโตนเฮนจ์ที่ค้างคามานานหลายร้อยปี
Alter Stone คือหินหนึ่งก้อนที่อยู่ตรงกลางของสโตนเฮนจ์
ที่มาภาพ BBC
และตอนนี้ นักโบราณคดีก็เชื่อกันว่าได้พบชิ้นส่วนที่หายไปแล้ว ปรากฏว่าเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แท่นหินนี้ถูกนำไปทำเป็นหินก่อสร้าง เนื่องมาจากหินที่จะนำมาใช้มีไม่พอ ไปเจอกันว่าแท่นหินนี้ถูกแบ่งเป็นสองท่อนและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสะพานเล็กๆ ที่อยู่ห่างไปไม่กี่ไมล์
ที่มาภาพ trip advisor
แน่นอนว่าถึงตอนนี้จะหาตัวคนต้นเหตุก็คงจะไม่ได้แล้ว เป็นที่น่าแปลกใจเหมือนกันเพราะคนเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วก็ยังรู้ว่าสโตนเฮนจ์เองเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญมาก และนึกไม่ออกเลยว่าคนที่ขโมยมันไปเพื่อสร้างแค่สะพานนี้คิดอย่างไรก็แน่ อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้หรือไม่สนใจ เราก็คงไม่มีทางรู้ได้
มัมมี่ถูกเอามาใช้เป็นฟืน
ที่มาภาพ history link 101
ทุกวันนี้ นักโบราณคดีต่างช่วยกันตามหาหลุมฝังศพสมัยอียิปต์โบราณเพื่อศึกษาสิ่งของที่อยู่ภายในนั้น โดยเฉพาะมัมมี่ที่มีอายุหลายพันปีเป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่นักวิจัยต่างอยากรู้กัน แต่ถึงแม้สมัยก่อนจะมีการทำมัมมี่ขึ้นมากมาย ปัจจุบันนี้กลับเหลือร่างสมบูรณ์อยู่ไม่มากนัก สาเหตุก็เพราะมัมมี่ส่วนใหญ่ถูกนำไปทำเป็นฟืนไปหมดแล้ว
ส่วนใหญ่แล้วถ้าพูดถึงมัมมี่ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงมัมมี่ของคนสำคัญของฟาโรห์ แต่จริงๆ แล้วใครก็ตามที่มีเงินพอในสมัยนั้นก็สามารถซื้อแผนการงานศพที่รวมถึงเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลายเป็นมัมมี่ได้ด้วย และแม้แต่บางคนที่ไม่มีเงินพอจะเตรียมการเป็นมัมมี่ไว้ บางครั้งร่างของคนตายก็กลายเป็นมัมมี่ไปเองเนื่องมาจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งแบบทะเลทรายของประเทศอียิปต์
แม้ว่าจะถึงยุคที่ไม่มีการทำมัมมี่อีกต่อไป ก็มีร่างมัมมี่จากสมัยก่อนอยู่เป็นหลักล้าน ถึงขนาดในช่วงปี ค.ศ.1800 มัมมี่เหล่านี้ก็มีอยู่มากมายทั่วไปตามท้องถนน จริงๆ แล้วมัมมี่ในอียิปต์มีมากกว่าจำนวนของต้นไม้เสียอีก และเมื่อฤดูหนาวมาเยือนชาวบ้านก็เลยแก้ปัญหาฟืนไม่พอด้วยการ นำเอามัมมี่แห้งๆ เหล่านี้มาเผาแทนฟืน เสียเลย
ที่มาภาพ green prophet
หลังจากนั้น จำนวนมัมมี่ก็น้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์ไป แต่แทนที่ผู้คนจะช่วยกันรักษาเท่าที่เหลืออยู่ มันกลับถูกนำมาบดเพื่อทำเป็นยา ผ้าห่อมัมมี่ก็ถูกนำมาขายให้กับพ่อค้ายุโรปซึ่งนำไปทำเป็นกระดาษห่อของอีกที (แต่หลังจากนั้นก็ต้องเลิกทำไป เพราะกระดาษเหล่านี้ทำให้คนเป็นโรคอหิวาตกโรค) นอกจากนั้น มัมมี่ก็ยังถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในหัวรถจักรอีกด้วย และร่างไหนที่สภาพดีหน่อยก็จะถูกนำไปขายให้กับนักสะสมผู้ร่ำรวยจากตะวันตกซึ่งจะจัดงานเลี้ยงฉลองแกะผ้าห่อมัมมี่ออกมาดูกัน
งานเลี้ยงฉลองแกะผ้าห่อมัมมี่ของเศรษฐีชาวตะวันตก
ที่มาภาพ Cracked
หนังสือร้องเพลงประสานเสียงสมัยยุคกลางถูกเอามาทำเป็นโคมไฟ
ที่มาภาพ flickr
ในอดีต มีอยู่ช่วงหนึ่งที่กระดาษเป็นของมีค่าและแพงยิ่งกว่าโลหะเสียอีก ทำให้สมัยนั้นไม่ค่อยมีหนังสือมากนั้น ยิ่งที่เหลือรอดมาจนถึงทุกวันนี้ยิ่งมีน้อยมากเพราะส่วนใหญ่ก็ผุกร่อนไปตามกาลเวลา ยิ่งการเก็บรักษากระดาษเหล่านี้ยิ่งยากมากเพราะต้องระวังทั้งเรื่องสภาพอากาศและความชื้นด้วย
ในสมัยยุคกลาง นักร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์จะไม่มีสมุดร้องเพลงเป็นของตัวเอง แต่โบสถ์จะทำหนังสือเพลงขนาดใหญ่แบบที่ทุกคนสามารถเห็นหมดเพียงเล่มเดียวเพื่อใช้ด้วยกัน ซึ่งขั้นตอนการผลิตหนังสือแบบนี้ใช้เวลาทำมาก เพราะกระดาษทำมาจากหนังของลูกวัว ตัวโน๊ตและคำร้องทุกๆ หน้าก็ต้องค่อยๆ เขียนด้วยมือ ทำให้หนังสือแบบนี้กลายเป็นศิลปะยุคกลางที่สวยงามและปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก็จะมีการจัดงานพิเศษเพื่อแสดงผลงานชิ้นเองเหล่านี้ให้คนยุคหลังๆ อย่างเราได้ชื่ีนชม
ที่มาภาพ travelblog
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ William Randolph Hearst ผู้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของหนังสือล้ำค่าพวกนี้ กลับนำพวกมันไป ตัดออกมาเป็นแผ่นๆ แล้วเอามาทำเป็นโคมไฟ แทนเสียได้ ทุกวันนี้โคมไฟพวกนนี้ก็ยังตั้งแสดงอยู่ในปราสาทของเขาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย
ที่มาภาพ facade
ที่มาภาพ myspace , flickr
William Randolph Hearst คือตัวอย่างของคนที่มีเงินมากมายและมีเวลาเหลือเฝือ ไม่ใช่แค่หนังสือโบราณพวกนี้เท่านั้นที่เขาเอามาทำเป็นโคมไฟ เขายังนำเอาแจกันโบราณของราชวงศ์ Xian และเอกสารโบราณของโบสถ์ในช่วงปี ค.ศ.1500 มาทำเป็นโคมไฟอีกด้วย
วิหารพาร์เธนอนถูกเอามาทำเป็นโกดังเก็บของ
ที่มาภาพ employees
วิหารพาร์เธนอนตั้งอยู่ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เป็นสิ่งก่อสร้างโบราณอีกแห่งที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีที่มีอายุย้อนกลับไปถึง 447 ปีก่อนคริสตกาล มันเริ่มจากการเป็นวิหารเพื่อบูชาเทพี Athena และเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท วิหารนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโบสถ์คาทอลิกแทน
ที่มาภาพ mlahanas
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ สถานที่นี้เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวยุโรปจำนวนมากมายซึ่งต่างชื่นชมกับความสวยงามของวิหารนี้ จนกระทั่งถึงสมัยของจักรวรรดิออตโตมันในช่วงปี ค.ศ.1600 ที่กลับเปลี่ยนสถานที่อันน่าทึ่งที่เก่าแก่นี้ให้กลายเป็น โกดังเก็บของ ไปแทน และถ้าของที่เก็บในวิหารนี้เป็นข้าวของธรรมดาก็อาจจะไม่เป็นปัญหามากนัก แต่ของที่ถูกนำมาเก็บก็คือ อาวุธโบราณและดินปืน
จักรวรรดิออตโตมันและชาวเวนิสเริ่มทำสงครามกันในปี ค.ศ.1687 และในช่วงนั้นเองที่เริ่มมียิงลูกการระเบิดและไม่ต้องสงสัยว่าวิหารพาร์เธนอนก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการระเบิดนี้ด้วย เมื่อลูกระเบิดเจอกับดินปืนที่เก็บไว้ในวิหารก็เกิดระเบิดขึ้นครั้งใหญ่ที่ทำให้วิหารอันสวยงามเหลือแต่เพียงซากที่เราเห็นทุกวันนี้
ภาพวาดวิหารพาร์เธนอนถูกไฟไหม้ทำลาย
ที่มาภาพ pretzler
หัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถูกเอาไปกิน
ที่มาภาพ red slipper diary
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ปกครองประเทศฝรั่งเศสยาวนานถึง 72 ปี และถือเป็นกษัตริย์ที่ปกครองประเทศได้ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของยุโรป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสมีคนบุกเข้าไปยังห้องใต้ดินของราชวังและขโมยเอาหัวใจของพระเจ้าหลุยส์ที่ถูกเก็บรักษาเป็นมัมมี่ไว้ หัวใจนี้รอดจากการปฏิวัติและถูกส่งต่อไปยังประเทศอังกฤษ และสุดท้ายก็ตกไปอยู่ในมือของ William Buckland
ที่มาภาพ Wikipedia
ถ้า William Buckland เป็นคนปกติเขาก็คงจะรู้ว่าหัวใจนี้มีค่าทางประวัติศาสตร์มากขนาดไหน และคงจะส่งต่อให้พิพิธภัณฑ์หรืออะไรสักอย่าง แต่นาย William Buckland กลับเป็นคนที่มีนิสัยชอบกินอาหารแปลกๆ (เขาเคยกินงวงช้างและยีราฟย่างมาแล้ว) ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเขาได้หัวใจของกษัตริย์มาครอบครองแบบนี้เขาคงจะตื่นเต้นมากและตัดสินใจ กินมันเป็นอาหาร เสียเลย
ภาพวาดล้อเลียน William Buckland
ที่มาภาพ npr
เชื่อกันว่าสาเหตุที่เขากินหัวใจของพระเจ้าหลุยส์เข้าไปนั้นนอกเหนือจากนิสัยส่วนตัวที่แปลกๆ นี้แล้ว Buckland ยังเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ และเชื่อว่าการกินหัวใจกษัตริย์เข้าไปแบบนี้จะทำให้เขามีชีวิตเป็นอมตะ
มีการบันทึกไว้ว่า Buckland ให้คนเตรียมปรุงหัวใจไว้เป็นอาหารค่ำในคืนวันคริสมาส ย่างโดยใช้ไฟอ่อนๆ และเสริฟคู่กับถั่ว อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกไว้ว่าเขากินหัวใจคู่กับไวน์ชนิดไหน
ที่มาภาพ rumba
ที่มา Cracked
โพสท์โดย: moses
เครื่องบินรบไทยรุ่นใหม่ T50TH ลงสนามจริงครั้งแรกผลงานประทับใจ
ค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวน
จีน ไฟเขียว ให้ไทย ถล่มรังแก๊งสแกมเมอร์
สถานีรถไฟเกือบเจ๊ง แต่รอดเพราะแมวตัวเดียว ตำนาน ทามะนายสถานีขนฟูแห่งญี่ปุ่น
เมื่อวิทยาศาสตร์อธิบายวินาที "กระดูกร้าวถึงหัก" บนสังเวียนของตะวันฉาย
ไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญ
สงครามยาเสพติดเวอร์ชันทรัมป์
นักมวยรองแชมป์โอลิมปิก แซะเจ้าภาพไทย หลังตกรอบรองฯ ซีเกมส์ 33
ภาพวาดแผ่นเดียว ครูต้องรีบแจ้งแม่ให้พาไปหาหมอ ด่วน!!!
IO เขมรปั่นหนัก! ใช้ AI สร้างพาสปอร์ตปลอม อ้าง “บัวขาว” เป็นคนกัมพูชา ไม่ใช่คนไทย
โรงแรมในเกียวโตลดราคาเหลือ 3,000 เยนต่อคืน หลังไม่มีนักท่องเที่ยวจีน











