10 อันดับ ความเชื่อแปลกๆ ของคน เกาหลี
10. เอามือจับที่ตา
มีความเชื่อว่า หลังจากที่เอามือไปจับโดนผีเสื้อหรือแมลงเม่าแล้ว ห้ามเอามือมาจับที่ตาของคุณต่อ เพราะจะทำให้ตาบอดได้ (แต่ความจริงก็คือ ที่ผีเสื้อตัวนั้นอาจจะมีละอองเกสรดอกไม้บางชนิดติดอยู่ ถ้าเข้าตาแล้วอาจก่อความระคายเคืองต่อดวงตาได้) จากความเชื่อ 10 ข้อเหล่านี้ บางข้ออาจฟังดูประหลาดไปหน่อย แต่บางข้อก็ดูจะเป็นความหวังดี ตั้งใจเตือนให้เราทำอะไรด้วยความระมัดระวังนั่นเอง เพราะไม่ว่าแต่ละประเทศหรือแต่ละบุคคล จะมีความเชื่อเหมือนหรือต่างกันยังไง สุดท้ายการทำอะไรด้วยสติรอบคอบไม่ประมาท จะส่งผลดีต่อตัวเราเองที่สุดแล้วล่ะค่ะ จริงมั้ย
9. วิธีเร่งความสูง
ต้องการให้ลูกๆ ของคุณตัวสูงไวๆ รึเปล่า? ว่ากันว่านี่คือความเชื่อ 2 ข้อที่จะทำให้เร่งความสูง ข้อแรก อย่ากระโดดข้ามตัวลูกของคุณเด็ดขาด มันจะทำให้เขาไม่อาจสูงขึ้นไปกว่านั้นได้อีกแล้ว ส่วนข้อสอง คือ ถ้ายิ่งตัดผมสั้นๆ จะยิ่งทำให้ตัวสูงขึ้นเร็วตามไปด้วย
8. อย่าป้อนไก่ให้สามีทาน
คนเป็นภรรยาไม่ควรป้อนไก่ หรือว่าสัตว์ปีกอื่นๆ ให้สามีทาน นั่นเป็นเพราะว่าพวกมันมีปีก ถ้าหากว่าท้องของสามีคุณเต็มไปด้วยไก่ บางทีเค้าอาจบินได้ แล้วก็บินหนีหายไปจากคุณน่ะสิ
7. อย่าหลงเสน่ห์คนที่มีใฝอยู่ใกล้ปาก
ว่ากันว่า อย่าหลงเสน่ห์คนที่มีใฝอยู่ใกล้ปาก เพราะเขาคนนั้นเชื่อใจไม่ค่อยได้ ดังนั้นในเกาหลี บางทีก็จะเรียกล้อเลียนคนที่มีใฝอยู่ใกล้ปากว่า เจ้าชู้เหมือนลม ซึ่งเป็นคำที่มัก ใช้เรียกคนที่เจ้าชู้มากๆ นั่นเอง
6. ให้รองเท้าเป็นของขวัญ
อย่ามอบรองเท้าให้กับใครที่มีความสำคัญกับคุณ นั่นเพราะเขาอาจวิ่งหนีหายไปจากคุณได้… แต่ถ้าใครเผลอให้ไปแล้ว ก็มีวิธีแก้ค่ะ คือให้คนที่ได้รับรองเท้าคู่นั้นจ่ายเงินให้กับคนที่ให้ของขวัญมา (ไม่ต้องเป็นจำนวนเงินมาก แค่ 10-100 วอนก็ได้) ทำแบบนี้แล้ว จะได้ดูเหมือนกับว่ารองเท้าคู่นั้น ไม่ใช่ของขวัญที่ได้มา แต่เค้าเป็นคนซื้อมาใส่เองยังไงล่ะ
5. เกี่ยวกับวันย้ายบ้าน
ถ้าคุณต้องการย้ายบ้าน วันที่ขนของจากบ้านเก่าไปบ้านใหม่ จะต้องดูฤกษ์ให้ดีๆ ที่ประเทศเกาหลีเค้า เชื่อกันว่า ควรจะย้ายบ้านใน “วันปลอดภูตผี” โดยบริษัทรับจ้างย้ายบ้านส่วนใหญ่ จะรู้วันที่เหล่านี้กันดีค่ะ พวกเขาจะบอกคุณได้ว่าในเดือนนั้น มีวันไหนบ้างที่จะปลอดภัยต่อการย้ายบ้าน โดยไม่มีวิญญาณร้ายจากที่เก่าติดตามไปรบกวนคุณที่บ้านใหม่ด้วย อีกอย่างก็คือ ในวันที่ย้าย ไม่ต้องกวาดบ้านทำความสะอาดบ้านหลังเก่า เพราะที่นั่นคุณได้ทิ้ง ขยะ ฝุ่นผง และเศษเล็บที่ตัดทิ้งไว้ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้วิญญาณร้ายหลงคิดว่า คุณยังอยู่ที่นั่นไม่ได้ย้ายออกไปไหน แล้วพอคนที่ย้ายมาแทนคุณเข้าไปทำความสะอาดให้แล้ว คราวนี้วิญญาณร้ายก็จะไม่มีวันตามหาคุณเจอ อีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ
4. ห้ามผิวปาก เป่าขลุ่ย ตอนกลางคืน
การผิวปาก หรือ การเป่าขลุ่ยเกาหลีโบราณ (피리) ตอนกลางคืน เชื่อว่าจะเป็นการเรียกบรรดา ภูติผีหรือพวกงูให้มารวมตัวกันที่นั่นได้ค่ะ (ตรงกับความเชื่อโบราณของไทยเช่นกันว่า ถ้าผิวปาก ตอนกลางคืนจะเป็นการเรียกผีให้มาหา)
3. อย่าตัดเล็บตอนกลางคืน
เมื่อคุณตัดเล็บตอนกลางคืน แล้วทิ้งเศษเล็บเอาไว้ บรรดาหนูๆ จะพากันมากินเศษเล็บของคุณ เมื่อมันกินไปแล้ว มันจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตัวคุณ แถมยังขโมย วิญญาณคุณไปด้วย พอหนูตัวนั้นกลายเป็นตัวคุณสมบูรณ์แบบแล้ว ตัวคุณเองจริงๆ ก็คงหาย สาบสูญไปตลอดกาลแน่ๆ ฟังแล้วเหมือนกำลังดูหนังผีอยู่เลยใช่มั้ยคะ…แต่จริงๆ คนไทยสมัยก่อนเราก็มีความเชื่อเรื่อง ห้ามตัดเล็บตอนกลางคืนเหมือนกันว่าจะทำให้อายุสั้นลง ซึ่งเหตุผลแท้จริงของเรื่องนี้ทั้งเกาหลี และไทยเอง อาจเป็นเพราะว่า ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ การตัดเล็บตอนกลางคืน จะก่อให้เกิดอันตราย ถ้าไม่ระวังอาจพลาดไปโดนเนื้อตัวเองจนบาดเจ็บเข้าได้นั่นเองค่ะ ถือว่าเป็นความเชื่อที่เกิดจากความหวังดีก็ว่าได้
2. สิ่งที่ห้ามทำก่อนการสอบ
เพราะคนเกาหลีถือเรื่องการสอบเป็นเรื่องจริงจังในชีวิตมากๆ เลยเกิดความเชื่อเหล่านี้ขึ้น อาทิ ไม่ควรทานอาหาร ที่มีลักษณะลื่นๆ เช่น ซุปสาหร่าย หรือว่า บะหมี่ เพราะนั่นจะทำให้ สมองคุณไหลลื่นตามไปด้วย แล้วอะไรที่เคยท่องจำอะไรเอาไว้จะไหลออกไปหมด! ตรงกันข้าม ถ้าจะให้ดี ก็ต้องทานอาหารเหนียวๆ แทน เช่น ขนมโมจิ หรือ ขนมท็อฟฟี่คราวนี้ ความรู้ในหัวจะติดหนึบไม่หนีหายไปไหนแน่ๆ หรือบางคนยัง มีความเชื่อด้วยอีกว่า อย่าอาบน้ำก่อนการสอบ เพราะความรู้ที่คุณมีจะถูกชะล้างออกไปพร้อมกับน้ำด้วย… เรียกได้ว่าตัวเหม็น ไม่เป็นไรขออย่าให้สอบตกเป็นพอนี่เอง
1. คู่รักห้ามทางเดินข้างกำแพงวังด็อกชูกุง
มีความเชื่อว่า หากคู่รักคู่ใด เดินด้วยกันไปตามทางเดินข้างกำแพงของ พระราชวัง ด็อกชูกุง (덕수궁) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงโซลตรงข้ามกับ City Hall และ Seoul Plaza แล้วล่ะก็ ไม่นานคู่รักคู่นั้น จะต้องเลิกรากันในที่สุด โดยที่มาของความเชื่อนี้ ไม่ใช่แค่ตำนานธรรมดาๆ แต่มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง นั่นก็เพราะว่าที่ปลายถนน เส้นรอบกำแพงวังแห่งนี้ เคยมี “ศาลครอบครัวแห่งกรุงโซล” ตั้งอยู่ ดังนั้นเมื่อคู่สามี-ภรรยาคู่ ใดต้องการจะหย่าขาดกัน พวกเขาก็ต้องเดินไปบนถนนเส้นนั้นด้วยกันนั่นเอง และหากใครได้ยินคนรักของตนพูดอ้อมๆ ทำนองว่า “เราไปเดินข้างกำแพงวัง ด็อกชูกุง กันเถอะ” ให้สงสัยได้เลยว่า นั่นคือ สัญญาณการขอบอกเลิกจากเขาหรือเธอคนนั้นก็เป็นได้
โพสท์โดย: moses