10 อันดับสัตว์สูญพันธุ์ที่ไม่น่าสูญพันธุ์เลย

19 สิงหาคม 2559 (00:51) โพสท์โดย มารคัส

10. นกโดโด้ (สูญพันธุ์ตั้งแต่ตอนปลายของศตวรรษที่ 17)

นกโดโด้หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า Raphus Cucullatus เป็นนกที่บินไม่ได้ แหล่งที่อยู่อาศัยคือ หมู่เกาะเมอริตัส เป็นนกในตระกูลเดียวกันกับนกพิราบและนกนางแอ่น สูงประมาณ 1 เมตร (3 ฟุต) กินผลไม้เป็นอาหารและมักทำรังบนพื้นดิน นกโดโด้มักจะได้เป็นสัญลักษณ์ของการสูญพันธุ์ของสัตว์ต่างๆเพราะมันเป็นสัตว์ชนิดแรกของโลกที่สูญพันธุ์ในยุคที่มนุษย์เริ่มบันทึกการหายไปของสัตว์ เพราะฉะนั้นฝรั่งจะมีสำนวนที่ว่า “as dead as dodo” แปลได้ว่า ตายหยังเขียด หรือ “to go the way of the dodo” แปลได้ว่า การสูญพันธุ์ หรือ ล้าสมัย

9. Cave Lion: สิงโตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (สูญพันธุ์เมื่อ 2 พันปีก่อน)

Cave Lion หรือรู้จักกันในชื่อ European หรือ Eurasian Cave Lion เป็นเชื้อสายเดียวกันกับสิงโตในปัจจุบันจากการศึกษาฟอสซิลและประวัติศาสตร์ทางสายพันธุ์สัตว์
ซากของเพศผู้ถูกขุดพบในปี 1985 ที่เมือง Siegsdorf ประเทศเยอรมนี มีช่วงขาถึงไหล่ยาว 1.2 เมตร และลำตัวยาง 2.1 เมตรไม่รวมหาง
ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าสิงโตที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันประมาณ 5-10% เคยคิดกันว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 1 หมื่นปีก่อนในยุคน้ำแข็ง
แต่มีการพบมันในช่วง 2 พันปีที่แล้วที่ประเทศในแถบบอลข่าน และไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลย

8. เพนกวินยักษ์ (สูญพันธุ์ในปี 1844)

เพนกวินยักษ์เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับเพนกวินซึ่งบินไม่ได้ สูงประมาณ 75 เซนติเมตร หรือ 30-34 นิ้วและหนัก 5 กิโลกรัม ในสมัยก่อนพบมากในแถบหมู่เกาะนอกชาวฝั่งของแคนาดา กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ไอแลนส์ และอังกฤษ แต่จากการล่าโดยไม่มีการจำกัดทำให้มันสูญพันธุ์ในที่สุด

7. Aurochs: วัวยักษ์ (สูญพันธุ์ในปี 1627)

เป็นสัตว์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในยุโรป มีแหล่งกำเนิดในแถบประเทศอินเดียเมื่อกว่า 2 ล้านปีก่อนและได้อพยพไปอาศัยในแถบเอเชีย และอพยพมาอยู่ในยุโรป
เมื่อราวๆ 250,000 ปีก่อน จนเมื่อศตวรรษที่ 13 จะพบมันได้เฉพาะในประเทศ โปแลนด์ ลิทูเนีย โมดาเวีย ทรานซิลเวเนีย และ ปรัสเซีย ในสมัยก่อนผู้ที่จะสามารถล่ามันได้มีเฉพาะขุนนางผู้ใหญ่และเศรษฐีเท่านั้น เมื่อการล่าเพิ่มมากขึ้นกฎหมายคุ้มครองมันก็ถูกร่างขึ้นมาแต่สำนักราชวังยังคงต้องทำการล่าพวกมัน
เพราะเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีของราชวงศ์ที่ต้องคงไว้แต่หากผู้อื่นใดล่ามันจะถูกประหารชีวิตทันที ในปี 1564 มีการบันทึกโดยราชวงศ์ว่ามี Aurochs เหลืออยู่เพียง 38 ตัว ที่มีบันทึกไว้คือ Aurochs ตัวสุดท้ายของโลกเป็นเพศเมียตายในปี 1627 ที่ ป่าใน Jaktorow ประเทศโปแลนด์ และกะโหลกของมันถูกเก็บไปโดยกองทัพทหารของสวีเดน
และตอนนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ Livrustkammaren ในสต๊อกโฮม

ยังไม่จบเท่านี้ ในปี 1920 2 ผู้คุมในสวนสัตว์ของเยอรมนี ชื่อ Heinz กับ Heck พยายามที่จะเพาะพันธุ์ Aurochs อีกครั้งโดยใช้วัวท้องถิ่นซึ่งมีเชื้อสายตรงจาก Aurochs มาทำการเพาะพันธุ์
ผลที่ได้คือวัวพันธุ์ Heck ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียง Aurochs แต่ก็ไม่ใช่ Aurochs แท้ๆอยู่ดี

นี่คือรูปของ Heck Cattle ครับ สวยดีนะ ตัวใหญ่ทีเดียว

6. เสือแคสเปียน: เสือที่จัดว่าใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก (สูญพันธุ์ในปี 1970)

เสือแคสเปียนหรือเสือเปอร์เชี่ยนพบมากในประเทศอิหร่าน อิรัค แอฟกานิสถาน ตุรกี มองโกเลีย คาซัคสถาน คอเคซัส ทาจีกิสถาน เติ๊ก และอุสเบกิสถาน
เสือแคสเปียนเพศผู้สามารถหนักได้ถึง 169-240 กิโลกรัม ในขณะที่เพศเมียจะหนักสุดได้เพียง 85-135 กิโลกรัม ในปัจจุบันยังมีหลายๆครั้งที่อ้างกันว่ายังเห็นเสือแคสเปียนในป่าแต่ไม่มีหลักฐานยืนยันแต่อย่างใด

5. กวางไอริช: กวางที่ใหญ่ที่สุดในโลก (สูญพันธุ์ไปเมื่อ 7,700 ปีก่อน)

กวางไอริชหรือกวางยักษ์อาศัยในแถบยูเรเชียตั้งแต่ประเทศไอแลนด์ไปจนถึงเบงกอลในยุค Pleitocene ถึงช่วงต้นยุค Holocene จากการศึกษาโครงกระดูกมันมีชีวิตอยู่ในช่วง 5,700 BC หรือ 7,700 ปีที่แล้ว มันสูงถึง 2.1 เมตร หรือ ราวๆ 7 ฟุต วัดจากเท้าถึงไหล่ มีการถกเถียงกันถึงสาเหตุของการสูญพันธุ์ของมันซึ่งส่วนใหญ่บอกว่าเป็นเพราะขนาดที่ใหญ่ของมันทำให้เป็นจุดเด่นสำหรับผู้ล่า

4. พยูนสเตลล่า (สูญพันธุ์ในปี 1768)

สมัยก่อนมักพบมากในเขตทะเลแบร์ลิ่ง มันถูกพบเห็นเป็นครั้งแรกในปี 1741 โดยนักธรรมชาติวิทยา George Steller พยูนนี้สามารถโตเต็มที่และยาวได้ถึง 7.9 เมตร (25.9 ฟุต)
และหนักได้ถึง 3 ตัน จากการศึกษาฟอสซิลของมันพยูนนี้เคยอาศัยอยู่ในแถบทะเลแปซิฟิคยาวไปถึงตอนใต้ของญี่ปุ่นและรัฐแคลิฟอเนีย สาเหตุหลักๆที่ทำให้มันสูญพันธุ์คือ การมาถึงของมนุษย์ในแถบชายฝั่งทะเล มีหลายคนอ้างว่ายังพบเห็นกลุ่มพยูนสเตลล่าอยู่บริเวณทะเลแบร์ลิ่งและชายฝั่งของประเทศกรีนแลนด์
ซึ่งก็อาจจะยังมีพยูนแตลล่าบางส่วนเหลือรอดมาได้แต่ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันแต่อย่างใด

3. Thylacine: เสือแทสมาเนีย (สูญพันธุ์ในปี 1936)

Thylacine เป็นสัตว์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดที่สูญพันธุ์ในยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ที่สูญพันธุ์จะเป็นสัตว์กินพืชซะมากกว่า มีถิ่นกำเนิดในประเทศออสเตรเลียและปาปัวนิวกินีย์

สงสัยว่าจะสูญพันธุ์ในศตวรรษที่ 20 มันเป็นที่รู้จักในชื่อ เสือแทสเมเนีย มีต้นกำเนิดในยุค Miocene สาเหตุหลักที่ทำให้มันสูญพันธุ์คือการล่าอย่างไม่มีของเขต

แต่บางรายงานก็บอกว่าเพราะการแพร่ระบาดของโรคบางชนิด การเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ของสุนัข และการแย่งที่อยู่อาศัยของมันโดยมนุษย์ อย่างไรก็ตามยังมีคนอ้างบ่อยๆว่าเห็นมันอยู่ในเขตธรรมชาติ

[b]2. Quagga: ครึ่งม้าลาย ครึ่งม้า (สูญพันธุ์ในปี 1883)

หนึ่งในสัตว์สูญพันธุ์ที่เป็นที่รู้จักในแอฟริกา Quagga เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับม้าลาย ซึ่งในช่วงหนึ่งพบมากในแถบแอฟริกาใต้ เหมือนสัตว์อื่นๆที่ถูกล่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร
Quagga ตัวสุดท้ายถูกยิงในปี 1870 และ Quagga ในสวนสัตว์ตัวสุดท้ายของโลกตายเมื่อ 12 สิงหาคม 1883 ที่ สวนสัตว์ Artis Magistra ในกรุงอัมส์เตอร์ดัม
เพราะความสับสนในการแยกแยะว่า Quagga ควรแยกเป็นสัตว์อีกพันธุ์จากม้าลายหรือไม่ มันก็สูญพันธุ์ไปซะก่อนก่อนที่มันจะถูกจัดเป็นสัตว์อีกพันธุ์นึงที่ไม่ใช่ม้าลาย
แต่จากการศึกษารูปแบบ DNA ของมันโดยศูนย์วิจัยของสมิธโซเนี่ยนพบว่า Quagga ก็คือม้าลายธรรมดานี่เองเพียงแต่มันเริ่มกลายพันธุ์โดยไม่ทราบสาเหตุ

[b]1. T-Rex (สูญพันธุ์ไปแล้ว 65 ล้านปี)

T-Rex เป็นสัตว์บกกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มันสามารถยาวได้ถึง 43.3 ฟุต และสูง 16.6 ฟุต หนักได้ถึง 7 ตัน มันเป็นไดโนเสาร์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของโลกและฟอสซิลของมันก็ถูกมนุษย์ศึกษามากที่สุดโดยทำให้เราสามารถเรียนรู้ชีวิตของมันได้มากมายในขณะที่มันยังครองโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน จนนักวิทยาศาสตร์บางคนอยากที่จะนำ T-Rex มาโคลนนิ่งเพื่อที่จะนำมันกลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคนี้…ใครที่อยากชม T-Rex แบบใกล้ชิดก็นี่เลยครับโชว์ Walking with Dinosaurs ที่ BBC เป็นคนจัด น่าดูทีเดียวแต่บัตรก็แพงอยู่เหมือนกัน