หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ความแตกต่างระหว่าง "การทำงานกับการทำเงิน"

เนื้อหาโดย คนสารพัดขี้

เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ที่คนมุ่งทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน และเรียกทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำอยู่นั้นว่า "งาน" มองว่าการทำงานคือการทำเงิน ทั้งๆที่ในพจณานุกรม คำว่า "งาน" กับคำว่า "เงิน" นั้น ไม่ได้มีความหมายที่ตรงกันเลยสักนิด 

งาน...ว่าด้วยเรื่องของการกระทำ 

เงิน...ว่าด้วยเรื่องของวัตถุ 

แต่ผู้คนก็ยังเอาคำสองคำนี้มาเกี่ยวพันกันจนได้ กลายเป็นประโยคที่ว่า "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ความหมายที่แฝงเร้นก็คือ "เมื่อเรามีงานเราก็จมีเงิน...เมื่อเรามีเงิน เราก็สามารถเอาเงินไปแลกเปลี่ยนกับอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีความสุข"   

เมื่ออยากมีความสุข จึงพากันโฟกัสไปที่การทำงาน...โดยนึกถึงธรรมชาติของชีวิตอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อเรามัวแต่ทำงาน สิ่งที่ได้มากที่สุดก็คืองาน คือทำอะไรก็ต้องได้สิ่งนั้น ทำงานได้งาน จะไปได้เงินได้ยังไง? แม้ทำงานเพื่อแลกกับเงิน แต่ให้สังเกตดูให้ดีๆเถิด ว่าขั้นตอนของการทำงานกับการทำเงินนั้นมันไม่เหมือนกันเลย 

เช่น...ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทำขนม คุณคิดว่าคุณจะทำขนมขายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน ทุกๆวันที่คุณตื่นขึ้นมา จิตใจของคุณวนเวียนอยู่กับการทำขนมเท่านั้น คุณจึงทำขนมเป็นชิ้นเป็นอัน และสิ่งที่คุณได้มาก็คือ "ขนม" ( เพราะคุณทำขนม ) แม้วัตถุประสงค์ของการทำขนมคือเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกๆวันที่คุณทำขนม คุณจะได้เงินเสมอไป เพราะระหว่างการทำขนมกับการทำเงินนั้น ไม่เหมือนกันเลย 

ถ้าคุณอยากได้เงิน คุณก็ต้องทำเงิน "ทำ" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงให้คุณพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้เอง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่หมายถึงให้คุณนำสิ่งที่คุณมีไปแลกเปลี่ยนเป็น "เงิน" คุณทำขนม...คุณจึงนำขนมไปแลกเปลี่ยนกับเงิน แต่ถ้าคุณฉลาดมากกว่านั้น คุณจะรู้ว่าในชีวิตของคุณ ไม่ได้มีแค่ขนมเท่านั้นที่สามารถนำไปแลกกับเงินได้ 

ความรู้ความสามารถก็แลกได้เหมือนกัน แม้แต่ความรัก...ก็ยังแลกได้เลย เพราะฉะนั้นกระบวนการทำเงินที่ว่านี้ เป็นสิ่งที่น่าศึกษาและน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่อยากทำเงิน แต่ไม่ใช่ผู้ที่อยากทำงานนะ นั่นก็อีกประเด็นหนึ่ง เข้าตำราที่ว่า ว่านพืชเช่นใดย่อมได้เช่นนั้น 

แล้วสำนวนที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วล่ะ?" 

มีใครหลายคน ไม่ยอมเชื่อวลีที่กล่าวเอาไว้แล้วนี้ เพราะคิดว่าทำดีจะต้องได้เงิน เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ "เงิน" จึงหมดพลังศรัทธาที่จะทำความดีต่อไป...สาเหตุที่ผู้คนเหล่านั้น ทำดีแล้วไม่ได้เงิน เพราะไม่ยอมทำเงินไปพร้อมๆกันต่างหากล่ะ...เมื่อรุูปพฤติกรรมและทัศนคติเปลี่ยน วลีเด็ดจึงเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน เช่น 

ำดีได้ดีมีที่ไหน 

ทำชั่วได้ดีมีถมไป 

คำว่า "ดี" กับคำว่า "ชั่ว" นั้น มันคนละความหมายกันเลย แต่ก็ยังเอามาโยงกันจนได้ เพราะเหตุของความไม่เข้าใจธรรมชาติของการกระทำ จึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป๋ไปหมด 

มันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราชาวคน จะหันกลับมาแยกแยะถ้อยคำเหล่านี้ ให้ชัดเจนมากขึ้น ทีนี้ย้อนกลับมาที่สำนวน "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" 

อยากให้หันกลับมาโฟกัสที่คำว่า "งาน" กันใหม่...หากว่าคุณมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำแต่งานด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ว่าเงินในกระเป๋าของคุณมีไม่มากพอ หรืออาจไม่มีเงินเก็บเลย คุณคิดว่าคุณจะยังมีคุณค่าในสายตาของคนอื่นอีกไหม แต่ถ้าคุณมีเงินเต็มกระเป๋า ( เต็มบัญชี ) ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ต้องทำงาน  

คุณคิดว่าใครจะมีคุณค่าในสายตาของคนอื่นมากกว่ากัน? 

จะพบว่าคนที่มี "เงิน" มากกว่านั้น มักจะมีอิทธิพลกับคนส่วนใหญ่มากกว่าคนเงินน้อย และอิทธิพลที่ว่านั้นจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเกิดว่าคุณ ไม่มีคุณค่าในสายตาของคนอื่น จะเห็นได้ว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของเงิน" ที่ผมได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านั้น ไม่น่าจะเกินจริงไปนัก 

 

ความแตกต่างระหว่างการทำงานกับการทำเงิน 

มีหลายครั้งที่คนเรา ไม่สามารถแยกการทำงานออกจากการทำเงินได้ เนื่องจากงานกับเงิน มีลักษณะที่คล้ายคลึง เหมือนพี่น้องพ่อเดียวกัน แต่อาจจะเกิดกันคนละแม่ วิสัยทัศน์จึงค่อนข้างจะต่างกัน ทำให้เส้นทางชีวิตดำเนินกันไปคนทิศทาง ( คนหนึ่งจน อีกคนรวย ) 

ในหัวข้อนี้ เราจะมาทำการวิเคราะห์เจาะลึกความแตกต่างระหว่าง การทำงานกับการทำงเงิน เพื่อที่เราจะได้นำไปเป็นแนวทางในการศึกษา 

การทำงาน...คือการก้มหน้าก้มตาทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่ง "เงิน" แต่จะได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้มาแน่นอนก็คืองาน ได้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วันเวลาที่เสียไป และได้ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด คือความไม่รู้หรือไม่เต็มใจทำ "เรียกว่าการทำงาน" 

การทำเงิน...คือการก้มหน้าก้มตาทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่ง "เงิน" และสิ่งที่ได้แน่นอนคือเงิน เพราะทำเงินก็ต้องได้เงิน แต่มีข้อแม้อยู่ว่า 

1.สิ่งที่ทำอยู่นั้น...ต้องเป็นสิ่งที่รัก 

2.สิ่งที่ทำอยู่นั้น...ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฏหมาย 

3.สิ่งที่ทำอยู่นั้น...ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผิดศีลธรรม 

 

1.ถ้าเราทำในสิ่งที่รักหรือเต็มใจ... เราก็จะทำสิ่งเหล่านั้นออกมาได้ไม่ดี แล้วค่าตอบแทนที่ได้มาก็จะสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่ทำลงไป คือไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจจะทำให้เหน็ดเหนื่อยหรือสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงไม่สามารถจะเรียกสิ่งที่ทำอยู่นั้นว่า "เป็นการทำเงิน" ไม่ได้ 

2.ถ้าเราทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย...ถึงแม้เราอาจจะมีเงินทองกองพะเนิน มีเงินร้อยล้านพันล้านอยู่เต็มบัญชี ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีโอกาสได้ใช้เงินทั้งหมดนั้นอย่างเต็มที่เต็มกำลัง เพราะถึงยังไง เมื่อทำผิดกฏหมาย สมบัติทั้งหมดก็จะถูกอายัดหรือยึดไว้ เป็นต้น 

3.ถ้าเราทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม...ก็จะมีวิบากกรรมตามมาส่งผล ทำให้กลายเป็นคนที่อับจนข้นแค้น ไม่มีอันจะกิน ไม่มีงานทำ ชีวิตก็จะยิ่งลำบากเพิ่มมากขึ้น ร้อยเท่าพันเท่า เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจจะเรียกตรงนี้ว่าเป็นการ "ทำเงิน" ด้วยเหมือนกัน 

 

ความแตกต่างของคนที่ชอบ "ทำงาน" กับคนที่ชอบ "ทำเงิน" 

คนที่ชอบทำงาน...มักจะจัดอยู่ในกลุ่มประเภท "คนจน" จนในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงแค่จนทรัพย์ แต่หมายถึงจนปัญญาด้วย คือไม่รู้ว่า...ฉันจะพัฒนาตนเองไปได้อย่างไรที่จะทำให้คนอย่างฉัน มีเงินมีทองใช้อย่างเหลือเฟือ โดยที่ฉันไม่ต้องทำงานหนัก เมื่อเขาคิดว่า เขาสามารถทำได้แค่งานหนักๆ งานที่ต้องแลกกับหยาดเหงื่อแรงงานเท่านั้น...เขาก็จะเริ่มเข้าสู่สภาวะของการฝืนทนและฝืนทำ ความกระหายที่จะสุขสบายก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ความอยากได้ใคร่มีก็ไม่เคยจบสิ้น เขาจึงกลายเป็นคนที่จนทรัพย์สินและจนปัญญา มีแนวโน้มที่จะไปทำสิ่งที่ผิดกฏหมายและผิดศีลธรรมได้ดีกว่าคนที่ มั่งมีศรีสุข 

เพราะความจนทำให้คน "เห็นแก่ตัว" คนจนจึงไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก 

 

คนที่ชอบทำเงิน...มักจะอยู่ในกลุ่มของคนรวย เศรษฐี ผู้มีอันจะกิน นักธุรกิจและนังลงทุนก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าคนรวยเหล่านั้น อาจจะไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิด แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยอับจนเลยคือ "ปัญญา" เพราะพวกเขาจะคิดเสมอว่า การทำงานที่คุ้มค้านั้น มันต้องมีผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืน ไม่ใช่แค่การทำงานแล้วเหนื่อยฟรีไปทั้งชีวิต คนรวยจึงพยายามศึกษาหาต้นทุน กล้าเสี่ยง กล้าลงทุนเพื่อวันข้างหน้า อาจจะต้องยอมเหนื่อยไปก่อนในช่วงแรกๆ แต่คนร่ำรวยเหล่านี้มักจะเห็นภาพความมั่งมีชัดเจนมากในหัวสมอง และมั่นใจเสมอว่า ตนเองสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ในอนาคต 

เพราะฉะนั้น...ทัศนคติในแง่ลบ จึงไม่ค่อยปรากฏในความรู้สึกนึกคิดของคนกลุ่มนี้ หรือมีก็มักจะมองปัญหาเหล่านั้นเล็กน้อยเท่าขี้เล็บ ความอิสระในความคิดและการตัดสินใจจึงมีมากกว่า ทางเลือกในการใช้ชีวิตก็มีมากกว่าด้วย 

 

คนสารพัดขี้ 

https://www.facebook.com/khonsarapadkee

https://thestupidarticles.blogspot.com/

เนื้อหาโดย: คนสารพัดขี้
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
คนสารพัดขี้'s profile


โพสท์โดย: คนสารพัดขี้
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
16 VOTES (4/5 จาก 4 คน)
VOTED: zerotype, ซาอิ, บ่าวสันขวาน
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
สำนักงานพุทธฯ สั่งตรวจสอบ พ่อแม่ "น้องไนซ์" เชื่อมจิตหนุ่มกล้ามโตจีบสาว สาวไม่เล่นด้วย เลยจับสาวทุ่มลงพื้นเขมรเตรียมฉาย หนังบางระจันเวอร์ชั่นเขมร อ้างหมู่บ้านบางระจันมีที่มาจากกัมพูชา!เอาอีกแล้ว! เขมรก็อปปี้หนังไทย เรื่องเด็กหญิงวัลลี ยอดกตัญญู?หนุ่มเครียด! แฟนไปทำศัลยกรรม แล้วหน้าตลกจนไม่มีอารมณ์..ด้วย?เมื่อสาวเจอความทรงจำที่หายไป..มาอยู่ที่ใต้สะพานลอยนักเรียนมุสลิมในเยอรมันเผย "ศาสนาของเรา อยู่เหนือกฎหมาย!!"detain: กักขัง ควบคุมตัววิธีกินคอลลาเจนให้ได้ผลดีที่สุด
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เอาอีกแล้ว! เขมรก็อปปี้หนังไทย เรื่องเด็กหญิงวัลลี ยอดกตัญญู?เมื่อหนูน้อยทำตุ๊กตา "ลาบูบู้"..เพราะรู้ซื้อไม่ได้ มันราคาแพง!”ดอนเมือง“ ถูกยก สนามบินดีที่สุดในโลกอันดับ 10 ของสายการบินต้นทุนต่ำอีก 50 ปีข้างหน้า ไทยจะ "ร้อนเท่าทะเลทรายซาฮาร่า"
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
อีก 50 ปีข้างหน้า ไทยจะ "ร้อนเท่าทะเลทรายซาฮาร่า"detain: กักขัง ควบคุมตัวยังจำ " คลิปแรก " ของโลกบน YouTube กันได้ไหม”ดอนเมือง“ ถูกยก สนามบินดีที่สุดในโลกอันดับ 10 ของสายการบินต้นทุนต่ำ
ตั้งกระทู้ใหม่