หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ ก็ไม่ยึดสมมติ

เนื้อหาโดย กั๋วซิง
 
 
 
มีครั้งหนึ่งช่วงวันที่ ๒-๔ มกราคม ๒๕๕๘ ผมได้เข้าไปหาหลวงพ่อเสถียร ธีรญาโน เจ้าอาวาสวัดป่าโศกขามป้อม จ.ชัยภูมิ ซึ่งท่านเป็นพระอริยะสงฆ์ เป็นศิษย์ของหลวงตาสิริ อินทรสิริ วัดถ้ำผาแดง-ผานิมิต จ.ขอนแก่น หลวงพ่อท่านจึงได้สอนมาง่ายๆเท่าที่ผมพอจะจดจำหน่วงนึกได้มีคร่าวๆประมาณดังนี้ คือ

- ศีล เป็นฐานของทุกสิ่ง ให้มีศีลให้ดี ทานจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีศีล ถ้าจะภวายทาน หรือ สังฆทานใดๆ ท่านก็ให้เป็นผู้มีศีลก่อน ทานนั้นจึงจะสำเร็จได้ (พระอรหันต์ทุกๆองค์ก็สอนเรามาเช่นนี้) หลวงพ่อสอนให้ถือกรรมบถ ๑๐ เพราะเป็นศีลของพระอริยะเจ้า มีพระโสดาบันขึ้นไป(เราได้คุยกับบุตรชายหลวงพ่อตอนนำเกสาที่ปลงเข้านาคของยุตรชายท่านไปลอยน้ำที่แม่น้ำชี ณ อำเภอชนบท เนื่องจากบุตรชายท่านทำสมาธิแล้วเกิดนิมิตว่า กรรมบถ ๑๐ คือ มรรค เมื่อได้ถกอนุมานเหตุปัจจัยและผลนั้นตามสมควรแล้วก็เห็นว่า กรรมบถ ๑๐ คือ มรรคศีล (มรรคนี้ประกอบสงเคราะห์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา)
- ทาน จะบริบูรณ์ได้ ก็ต้องมีศีลก่อนเท่านั้น ศีลจึงเป็นฐานของทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น พรหมวิหาร ๔ ทาน สติ สมาธิ ปัญญา
- ศีลใช้ละกิเลสอย่างหยาบ สมาธิใช้ละกิเลสอย่างกลาง ปัญญา(มรรคญาณ)ใช้ละกิเลสอย่างละเอียด(อุปกิเลส)
- เวลาทำสมาธิ ก็ให้รู้ลม บริกรรมพุทโธไป อย่าทิ้งลม อย่าทิ้งพุทโธ พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เมื่อจิตมันคิดก็รู้ว่ากำลังคิด อย่าติดความคิดอย่าติดนิมิต นิมิตที่เห็นก็แค่สมมติที่จิตมันสร้างขึ้นหลอกให้เราหลงให้ยึดมั่นถือมั่นในมันมันเป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น จิตจริงๆเดิมๆนั้นมันว่างไม่มีอะไรเลย อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน ให้กลับมาอยู่ที่ลมหายใจ อยู่กับพุทโธไปมิให้ขาด (โดยส่วนตัวเราเมื่อพิจารณาแล้วเห็นตามจริงที่หลวงพ่อสอนว่า เมื่อจิตคิดก็รู้ว่า สิ่งที่คิดก็คือสมมติ นิมิตที่เห็นก็แค่สมมติที่จิตมันสร้างขึ้นหลอกให้เรายึดมั่นหลงตาม จิตรู้สิ่งที่คิดก็เป็นสมมติ จิตรู้สิ่งใด คิดสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นสมมติทั้งนั้น อย่าไปยึดสมมติ อย่าไปหลงตามนิมิตสมมติของกิเลส ของจริงคือลมหายใจ คือ กายสังขาร ลมหายใจเป็นกายสังขาร เป็นกายละเอียด ส่วนอาการทั้ง ๓๒ เป็นกายหยาบ (ซึ่งไม่ได้หมายถึงกายหยาบกายละเอียด มโนมยิทธิแต่อย่างใด แต่เป็นกายหยาบกายละเอียดที่พิจารณาปฏิบัติกรรมฐานล้วนๆเท่านั้น)

- ไม่ต้องไปแยกวิตกวิจาร มันมาด้วยกัน วิตกคือพุทโธ จิตอยู่กับพุทโธคือวิจาร ไม่ต้องไปอ่านจดจำอภิธรรม ให้สะสมศีล ทาน สติ สมาธิ ปัญญาพิจาณาเห็นธรรมชาติ เห็นไตรลักษณ์ของมันไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาที่บารมีมันเต็มก็จะมีคนมาไขปัญญาอันแยบคายให้เอง เมื่อนั้นอภิธรรมทั้งหลายจะเกิดให้เห็นหมดสิ้นเอง

- กาย ขันธ์ ๕ แยกกาย(วิชาม่างกายในสายพระป่า หรือ วิชาสลายธาตุในมัชฌิมาแบบลำดับ) แยกอาการทั้ง ๓๒ จนไม่เหลือสมมติ หรือ แยกอาการทั้ง ๓๒ ออก สงเคราะห์ลงตามจริงจนเหลือเพียง ธาตุ ๖ คือ ดินธาตุ น้ำธาตุ ลมธาตุ ไฟธาตุ อากาศธาตุ(ช่องว่างในกายในธาตุทั้งปวง) วิญญาณธาตุ(ตัวรู้ทั้งปวง รู้ผัสสะ รู้นามรูปทั้งปวง)

- สฬายตนะ อายตนะภายใน ๖ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ (สฬายตนะเป็นเครื่องมือของจิต เป็นเครื่องต่อให้เกิดกิเลส) เป็นเครื่องต่อให้เกิด วิญญาณ+ผัสสะ ใน สี(รูป) เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์(สิ่งที่ใจรู้ สังขารขันธ์ทั้งปวงเป็นต้น สมมติบัญญัติทั้งปวง ไปจนถึง นิพพาน)

- วิญญาณธาตุ(ตัวรู้ทั้งปวง รู้ผัสสะ รู้นามรูปทั้งปวง แต่รู้เพียงสมมติบัญญัติ วิญญาณตา วิญญาณหู วิญญาณจมูก วิญญาณลิ้น วิญญาณกาย วิญญาณใจ (ธรรมารมณ์)) สุดท้ายจนเหลือเพียงแค่สภาวะธรรมไม่มีแม้แต่ชื่อธาตุไรๆทั้งนั้น ไม่มีสภาวะธรรมไรๆที่เป็นชื่อเป็นสมมติบัญญัติ มีแต่สภาวะธรรมล้วนๆ

- จิตนี้ เมื่อรู้อารมณ์ไรๆแล้ว ก็เข้าไปยึดมั่นเกาะเกี่ยวเอาแต่สมมติที่รู้สัมผัสนั้นเป็นเหตุให้เกิดเวทนา จึงเป็นทุกข์

- อารมณ์พระนิพพานเป็นไฉน มีปฐมฌาณเป็นต้น มีความว่าง ว่างเท่านั้น ไม่มีอะไรเลย มีแต่ว่าง จะรู้ก็สภาวะธรรม เห็นโลกเป็นของว่างทั้งหมด

-วิชาม้างกาย..  เข้าอุปจาระฌาณ ปฐมฌาณ พิจารณาอาการทั้ง ๓๒ ประการ เช่น ถอดเล็บ ถอดผม ถอดขน ถอดฟัน ถอดหนัง ถอดก้อนเนื้อ ถอดเส้นเอ็น ถอดเลือด นสมอง ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ถอดกระดูก ออกมากองๆไว้ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้นที่เป็นเรา ม้างออกมาพิจารณาอย่างหนึ่งก็ได้
.. เช่น เส้นผมนี้ที่หลุดร่วงออกมาจากกายนี้ เส้นผมนั้นหรือที่เป็นเรา เราหรือที่เป็นเส้นผม เส้นผมมีเราในนั้นไหม มีเราในเส้นผมนั้นไหม หากเส้นผมนั้นเป็นเราแล้ว มันร่วงออกมาทำไมเรายังไม่ตายหนอ และเราก็ต้องบังคับให้มันไม่หงอกไม่ร่วงได้ใช่ไหม แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้นเลย แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรมากล่าวว่า เส้นผมนั้นเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนแห่งเรา เราเป็นเส้นผม มีเราในเส้นผมได้เล่า ..แล้วเมื่อเส้นผมมันหงอกหรือหลุดร่วงออกมาแล้ว..มันมีค่าเกินกว่าสิ่งหนึ่งๆที่มีอยู่ทั่วไปในโลกที่มีสัมผัสอันอ่อนนุ่ม หรือแข็งไหม แล้วที่สุดมันก็ย่อยสลายไปตามกาลเวลาและความปรุงแต่งแปรปรวนเป็นไปของมันใช่ไหม ไม่คงอยู่ได้นานเลย ดังนี้แล้วจะเอาอะไรมากล่าวมายึดได้ว่าเส้นผมมีในเรา เพราะมันก็แค่สิ่งที่มีลักษณะอ่อนบ้างแข็งบ้างตามธรรมดาทั่วๆไปในโลกสิ่งหนึ่งเท่านั้น เหมือนที่เรารู้สึกได้กับสภาพแวดล้อมทั่วไปรอบๆตัวของเรานั่นเอง แม้นเมื่อเราม้างกายถอดอาการทั้ง ๓๒ ประการที่เหลืออยู่นั้นออกมากองๆไว้ ก็ไม่สามารถจะเข้าไปยึดครอง หมายมั่นสิ่งไรๆได้ว่า นั่นเป็นตัวตน เพราะจะมีให้เห็นอยู่ก็เพียง อาการทั้ง ๓๒ ประการทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่มีในเรา เราไม่มีในสิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่เป็นเรา เราไม่เป็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน แต่อาศัยเอาสิ่งนั้นๆมาประกอบสงเคราะห์เข้าร่วมกัน จึงสมมติเอาสิ่งที่รวมๆกันขึ้นมานี้ว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเราหรือใคร บุคคลใด สัตว์ใด สิ่งใด เท่านั้นเอง พระโสดาบันขึ้นไปท่านเห็นอย่างนี้
(เหตุนี้จึงทำให้เราเข้าใจได้ว่า กายานุปัสสนาที่พระป่าสอนกันนี้เพื่อให้จิตน้อมสู่อริยะผลมีพระโสดาบันเป็นพื้นฐาน ส่วนคนที่ไม่ใส่ใจ เพราะอ่านเอามามากจะไม่รู้ว่า กายานุปัสสนามีไว้เพื่อดับอนัตตาในกายนี้ เพื่อไม่ยึดกาย เพื่อสะสมสำเร็จเป็นพระโสดาบันในขั้นต่ำ จึงสืบไปถึงพระอรหันต์ได้ง่าย บางคนมักมองข้ามว่าพระโสดาบันแค่มนุษย์ทั่วไป ต่ำสุดในพระอริยะ แต่ลืมคิดไปว่า ปัจจุบันเราเป็นแค่ปุถุชน เห็นเหมือนพระโสดาบันที่ตนว่าต่ำสุดในพระอริยะยังเข้าถึงไม่ได้ แล้วจะไปเห็นแบบพระอรหันต์ได้อย่างไรเล่า ยิ่งสะสมความหลงไปว่าธรรมนี้อ่อน ธรรมนี้สูง แล้วเอาแต่ท่องจำอนุมานเอา ยิ่งทำให้หลงไม่สิ้นสุด เมื่อเห็นผิด ที่เหลือก็ผิดทั้งหมด)

-สฬายตนะเป็นเครื่องมือของจิต จะจิต จะวิญญาณ จะมโน ก็คือ วิญญาณธาตุ ก็คือตัวรู้เท่านั้น จิตทำหน้าที่รู้เท่านั้น จิตอาศัยสฬายตนะเป็นเครื่องรู้ สฬายตนะจึงขึ้นชื่อว่า "ทวาร ประตูรับรู้ของจิตทั้ง ๖ ทาง คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ"
 
-อายตนะ ๑๒ เป็นเครื่องมือของกิเลส จิตรับรู้ได้ทางใด..จิตรับรู้ได้ทางใด กิเลสมันก็อาศัยทางนั้นแหละวางกับดักไว้หลอกให้จิตหลงตาม กล่าวคือ..เมื่อจิตเรารับรู้ได้ทางสฬายตนะ กิเลสนี้มันก็อาศัยอายตนะ ๑๒ นี้แหละเป็นเครื่องล่อจิตให้ติดหลง กิเลสมันลวงจิตให้รู้ผัสสะทางอายตนะโดยสมมติของปลอมนั่นเอง หลอกให้จิตลุ่มหลงสมมติของปลอมจากผัสสะนั้นๆ ดังนี้แล้วเมื่อจิตรู้ผัสสะโดยสมมติของปลอม จิตย่อมตั้งอยู่ในกิเลส ตัณหา อุปาทาน ..จะดับผัสสะได้ก็ต้องดับความรับรู้ทางสฬายตนะนั่นเอง ..ก็แล้วอะไรจะดับความรู้ทางสฬายตนะได้ ..ก็ดับที่ตัวรู้ คือ จิต หรือ วิญญาณขันธ์ ไม่เอาใจเข้ายึดครองใน สฬายตนะ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๖ นั่นเอง
 
-เมื่อเราไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ด้วยเห็นว่าล้วนแต่เป็นสมมติทั้งสิ้น(เพราะปุถุชนอย่างเราๆนี้มันรู้ได้แค่นั้น) ก็เป็นการฝึกไม่ยึดการสัมผัสในสิ่งไรๆที่จิตรู้ทางสฬายตนะ เป็นการฝึกละความเอาจิตเข้าไปยึดครองสมมติจากผัสสะทาง อายตนะ ๑๒ นั่นเอง(ถ้าเราไม่หลงผิดไปก็จำได้ว่าเมื่อเราอบรมกายใจใน พรหมวิหาร ๔ กรรมบถ ๑๐ ทาน สมาธิ ด้วยเรามีสติเป็นเบื้องหน้าตั้งมั่นทำไว้ในใจหน่วงนึกระลึกถึงไม่ยึดสิ่งที่จิตรู้ด้วยเห็นว่าเป็นสมมติอย่างนี้ๆ ได้ประมาณสัก 1 เดือน เราก็ได้เห็น “สันตติขาด แต่มันก็มีทั้งจริงไม่จริงหรืออาจจะเป็นแค่เพียงเราเข้าใจผิดไปว่าเป็นสันตติขาดก็ได้ ต้องเข้าไปเห็นบ่อยๆทำให้ได้มากๆ หากปค่บังเอิญเข้าไปเห็นครั้งเดียวยังเชื่อไม่ได้ มันเป็นเพียงปกติอาการหนึ่งๆของจิตที่มีอยู่นับล้านๆแบบเท่านั้น รู้ ปกติ วาง)

-จิต คือ ตัวรู้ รู้ทุกอย่าง แต่รู้แค่สมมติบัญญัติ จิตไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์

-จิตนี้..เป็นตัวรู้ ตัวยึด ตัวจับเอาสมมติทุกอย่างมาเป็นอารมณ์ ให้เกิดเวทนา พอเกิดเวทนา ก็เข้าไปยึดต่ออีก ให้เกิดเป็นกิเลสตัณหา จิตไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงตัวรู้ รู้เท่านั้น แต่มันรู้แค่สิ่งสมมติ ไม่รู้สภาพจริงหรือปรมัตถธรรมเลย

**ตัวเฮาแท้ๆนั้น..มันมีแต่ความว่าง ว่างเท่านั้น บ่มีอะไรเลย ธาตุกะบ่มี ขันธ์ ๕ กะบ่มี รูปนามกะบ่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น มันว่าง มันแปนไปเมิ๊ดเลย
แต่ย่อนอาศัยจิตนั้นแหละเป็นตัวฮู้ เป็นตัวยึดมั่นถือมั่นของปลอม มันจังเกิดเวทนา เกิดรูปนาม เกิดสมมติปรุงแต่งแปรปรวนไปทั่ว แล้วกะเกิดกิเลสตัณหากำหนัดหนักตามมา**

เมื่อรู้อกุศลธรรมอันลามกจัญไรเกิดขึ้นมีพุทธานุสสติหรืออานาปานสติเป็นเบื้องหน้า เมื่ออกุศลธรรมดับไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันดับไปก็อย่าไปหวนระลึกมัน ให้มันขึ้นมาอีก อย่าเข้าไปยึดมัน ปล่อยมันดับไปของมัน มันเกิดดับเป็นธรรมดา ดับไปๆก็ปล่อยมันดับไป มันเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป มันเป็นไปของมันช่างมันอย่าไปยึดเอามันสักแต่มีไว้รู้เท่านั้น
 
**หมายเหตุ คำว่าสมมติของพระอรหันต์นั้น มันกว้างกว่าสมมติบัญญัติในพระอภิธรรม ผู้ที่อ่านจดจำในพระอภิธรรมมาต้องแยกแยะก่อนนะครับ**
เนื้อหาโดย: ทะเล้น
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
กั๋วซิง's profile


โพสท์โดย: กั๋วซิง
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
32 VOTES (4/5 จาก 8 คน)
VOTED: บ่าวสันขวาน, Thorsten, signandsign, แมวฮั่ว แมวขี้น้อยใจ
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ไขข้อสงสัย "น้ำปลาทิพรส" ฉลากสีเหลืองกับชมพูต่างกันอย่างไร?เมื่อการ์ตูนโดเรม่อนกลายเป็นคนจริงๆหนุ่มออกมาแก้ข่าว หลังทำสังคมเข้าใจผิด..คิดว่าสิ่งที่กิน คือ "พยาธิ"วิธีต้มไข่แบบประหยัดไฟและน้ำ"ฉบับญี่ปุ่น"ลิซ่าเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วนะการเปิดแอร์ทั้งวัน กับ เปิดๆปิดๆ แบบไหนจะประหยัดค่าไฟได้มากกว่ากันนะ ?ลิซ่าก็แค่มาโบกธงที่ F1พายุลูกเห็บถล่ม ไก่ตาย 2 หมื่นตัว สูญเงิน 3 ล้านผลไม้สามชนิด ที่ผู้ชายทานแล้วดีมีประโยชน์จัดๆ อันนี้ผู้หญิงก็ทานได้น๊า แต่ผู้ชายทานแล้ว ได้การบำรุงสุขภาพหลายจุดกว่า
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
รถกระบะเสียหลัก ชนรถพ่วงข้าง ดึ่งลงห้วยลึก 3 เมตร หวิดดับหนุ่มออกมาแก้ข่าว หลังทำสังคมเข้าใจผิด..คิดว่าสิ่งที่กิน คือ "พยาธิ"ผลไม้สามชนิด ที่ผู้ชายทานแล้วดีมีประโยชน์จัดๆ อันนี้ผู้หญิงก็ทานได้น๊า แต่ผู้ชายทานแล้ว ได้การบำรุงสุขภาพหลายจุดกว่าลิซ่าก็แค่มาโบกธงที่ F1
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ลูกนกาเหว่าตกรัง ลักษณะไม่สมประกอบเผยเคล็ดลับ "ห้องนอนประหยัดไฟ"..ลดค่าไฟได้ ชม.ละ 6 บาททันทีเล่นเกมได้เงินจริงหรือหลอกหลวงemission: การปล่อยมลพิษ
ตั้งกระทู้ใหม่