จอร์จ อาร์อาร์ มาร์ติน แฟนตาซีสีดำ
พึ่งประกาศไปเมื่อวานก่อนว่า ซีรีย์ Game of Thrones ซีซั่นแปดจะเป็นซีซั่นสุดท้ายแล้ว หลังจากเรื่องราวแฟนตาซีนี้ดำเนินยาวมากว่า 6 ซีซั่นจะได้จบลงเสียที ท่ามกลางความสนใจว่า เรื่องราวการแย่งชิงบัลลังก์ดาบนี้จะจบลงอย่างไร และใครเล่าจะเป็นผู้ได้บัลลังก์นี้ไปกันแน่
.
แน่ล่ะว่า หลาย ๆ คนไปถามผู้เขียนเรื่องนี้อย่าง คุณปู่จอร์จ จอร์จ อาร์อาร์ มาร์ติน ที่ได้รับฉายาจากบรรดาแฟน ๆ ว่า เป็นชายที่เลือดเย็นที่สุดคนหนึ่งของวงการ เมื่อเขาสามารถสร้างตัวละครที่เป็นที่รักให้กับคนดูได้รู้จักและฆ่าทิ้งไปอย่างไม่ใยดี หรือ ทำให้พวกนั้นหมดสภาพไปก็มีเหมือนกันต้องบอกว่า ตัวของจอร์จได้รับการขึ้นชื่อว่า นักฆ่าไร้หัวใจกันทีเดียว (อ้าว)
.
“ผมอ่านนิยายแฟนตาซีมาตลอด ตั้งแต่ยังเด็ก ได้เจอกับ โรเบริ์ต อี ฮาเวริ์ด (Conan) ต่อมาก็โทลคีน (The Lord of the ring) ผมเป็นแฟนตัวกลั่นของทั้งสองคน แต่มองว่า แฟนตาซีหลายเรื่องในยุค 70-80 ถูกโทลคีนครอบงำ มันนองเลือดน้อยลง มันมีเจ้าหญิง พระราชา และอัศวิน ฯลฯ แต่ไม่มีวัฒนธรรมหรือสังคมในยุคกลางจริง ๆ เลย ผมไม่อ่านแค่เรื่องแฟนตาซีหรือไซไฟแต่ยังอ่านนิยายอิงประวัติศาสตร์ด้วย มันคือ แรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง
.
เมื่อพูดถึงแรงบันดาลใจของการแต่งเรื่อง Game of thrones ขึ้นมานั้น ปู่จอร์จได้เล่าถึงแรงบันดาลใจนี้ โดยเริ่มจากซีรีย์ชุด A song of ice and Fire ในปี 1996 ซึ่งเริ่มต้นจากเล่มแรก Game of Thrones
.
“ผมเขียนนิยายเรื่องอื่นไปครึ่งเรื่องแล้ว จู่ ๆ บทแรกของผมก็พูดถึงการเจอลูกหมาป่าไดรฟ์วูลฟ์กลางหิมะก็ผุดขึ้นมาในหัวผม มันปรากฏเป็นภาพชัดเจนมาดจนผมต้องหยุดเขียนนิยายเรื่องนี้แทน ตอนนั้นผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เรื่องราวมันเป็นยังไง ผมมีแค่ฉากนั้นกับตัวละคร แต่ต้องรู้สึกว่าต้องเขียนมันออกมา ผมเขียนอยู่ 2-3 วัน มันไปเร็ว พอขึ้นบท 2-3 ผมก็ไม่ต้องลังเลแล้ว”
.
และแน่นอนว่า การตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวของ A song of ice and Fire กลายเป็นมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่งในโลกแห่งแฟนตาซี
.
“ผมอยากเขียนเรื่องราวมหากาพย์ อยากเขียนฉากใหญ่ ๆ ที่ไม่มีอะไรมาจำกัดจินตนาการ ตอนแรกก็คิดว่าจะเขียนเป็นไตรภาค แต่เรื่องราวมันใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ กว่าที่ผมคิดเอาไว้ในตอนแรก”
.
จอร์จกล่าว
.
“ตอนแรกผมตั้งใจให้ Game ยาวแค่ 800 หน้านะ แต่ปรากฏว่า มันออกมาหนาปึ้ก นิยายแรก ๆ ของผมหนาแค่ 500 หน้าเองมั้ง ผมเลยคิดว่า ช่างมันเถอะ แฟนตาซีมันต้องยาวอยู่แล้ว ผมเลยเขียนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันยาว 1300-1400 หน้า ผมคิดมาทันทีว่า ชิบหายแล้วล่ะ ยาวไป แถมยิ่งเขียนยิ่งไม่จบ (อ้าว ปู่) ผมเลยไปนั่งคิดใหม่ว่า จะทำยังไงดีว่ะ นี่มันยาวเกินไปแล้ว ใครจะให้พิมพ์เนี่ย แถมไม่เห็นว่ามันจะจบได้ยังไงเหมือนกัน (จอร์จบอกว่า เขาเขียนไปโดยไม่มีตอนจบในหัวด้วย) ดังนั้นผมมีสองทางเลือก คือ 1. กลับไปตัดตัดให้เหลือสัก 1000 หน้า แน่ล่ะว่า มันคือทางเลือกที่ดีนะ แต่ผมดันไม่ชอบว่ะ ผมชอบเส้นเรื่องที่เขียนออกมา ผมชอบความซับซ้อน ชอบพล็อตรอง และหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่อง ดังนั้นผมเลยตัวเลือกที่ 2 นั่นคือ แบ่งมันเป็นสองเล่มเลย จริง ๆ แล้ว ในเล่ม Clash of king มันเป็นเรื่องราวที่อยู่ใน Game แล้วนะ แต่อย่างที่โทลคีนบอกนั้นแหละว่า
.
ตำนานยิ่งเล่าก็ยิ่งยาว”
.
ความยอดเยี่ยมและเรื่องราวอันน่าหลงใหลของซีรีย์เรื่องนี้กลายเป็นที่หลงใหลด้วยยอดขายมหาศาลทำให้มันมีโอกาสได้เป็นซีรีย์แฟนตาซีของ HBO แต่กว่าจะได้เป็นนั้น เจ้าตัวบ่นเลยว่า โคตรยาก
.
“ผมเขียนนิยายและเรื่องสั้นไปครึ่งโหล และคิดว่า มันจะเป็นหนังทีวีหรือซีรีย์ได้นะ แต่ไม่มีใครซื้อเลยนี่สิ”
.
จอร์จกล่าวถึงช่วงเวลาที่ต้องกระเสือกกระแสนหาทางที่จะทำให้นิยายเรื่องอื่นของเขาเป็นซีรีย์ และปรากฏว่า นิยายที่เขาคิดว่า ไม่มีทางได้ทำหรอกดันได้ทำเป็นซีรีย์ก่อนและกลายเป็นปรากฏการณ์ของโลกทีวี
.
“ปรากฏว่า ซีรีย์มหากาพย์แฟนตาซีที่ผมคิดว่า มันอลังการเกินไป ใช้ทุนสูงเกินไป ซับซ้อนเกินไป ดันกลายเป็นซีรีย์ของ HBO ซะงั้น อะไรก็ไม่แน่นอนจริง ๆ”
.
พอถามว่า เขาชอบฆ่าตัวละครที่คนดูรักหรือเปล่า แน่ล่ะว่า การฆ่าตัวละครเหล่านั้นทำให้ปู่จอร์จกลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่คนดูเกลียดขี้หน้านิด ๆ แต่แกก็หัวเราะแล้วบอก
.
“เอาจริง ต้องบอกว่า นี่คือเรื่องราวของโลกแฟนตาซีนะ มันไม่ได้บอกว่า ตัวละครนี้เป็นคนดีแล้วจะรอดสักหน่อย บางคนอาจจะดีมากนะ แต่โง่ เหมือน ทีเรียนแหละ คุณจะไปมองเขาในฐานะคนแคระไม่ได้ หมอนี่มีอะไรมากกว่าที่คุณคิดเสมอแหละ”
.
จอร์จกล่าวเสริมต่อว่า
.
“แต่คนเขียนบทซีรีย์โหดร้ายกว่าผมนะ บางคนในหนังสือยังมีชีวิตรอดอยู่เลย เขาฆ่าทิ้งไปในซีรีย์ซะแล้ว เล่นซะผมไปไม่เป็นเลย แต่ผมชอบนะ”
.
จอร์จกล่าวทิ้งท้าย ขณะที่เขายังมีภารกิจต้องเขียนเรื่องนี้ต่ออีกและเหมือนเรื่องราวของ Game จะยังมีต่อไปเรื่อย ๆ แม้ตัวซีรีย์จะใกล้จบแล้วก็ตาม