6 ภูเขาในจีน… ที่ชีวิตนี้ต้องบินไปพิชิตสักครั้ง
หวงซาน มรดกโลก
Huangshan (An Hui)
เดินชมความงามเขาซึ่งมีพื้นที่ 154 ตารางกิโลเมตร ชมเทือกเขาน้อยใหญ่กว่า 72 ลูก ชมต้นสนที่มีอายุยืนนานหลายร้อยปี ชมความงดงามตามธรรมชาติของขุนเขาต่างๆ ชมทิวทัศน์ด้านเหนือเป๋ยไห่ เพลิดเพลินกับบรรยากาศที่เหมือนหนึ่งอยู่บนแดนสวรรค์ จะเห็นเมฆปุยๆลอยไปมา ชมเขาต่างๆทาบกับฟากฟ้า สวยสดงดงามสุดจะพรรณนา ชมยอดกวงหมิงติ่ง เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสองของเขาหวงซาน ชมทะเลหมอก และต้นสนรูปร่างแปลกตา ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ชมหินบินมา ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่หน้าผา เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นว่าหินก้อนนี้ทำไมถึงตั้งอยู่ได้ ท่านจะได้เห็นขุนเขาเป็นรูปร่างต่างๆ บ้างเป็นรูปคล้ายดอกบัวบานเป็นรูปคล้ายวานร รูปคล้ายเจ้าแม่กวนอิม ภูเขาหินลอยมา
ซานชิ่งซาน มรดกโลก
Sanqingshan (Jiangxi)
"ซานชิงซาน" ตั้งอยู่ในเมืองซ่างหราว มณฑลเจียงซี ประเทศจีน การเดินทางจากกรุงเทพฯสามารถบินตรงสู่นครหนานชาง เมืองหลวงของมณฑลเจียงซี แล้วต่อรถโดยสารเพื่อขึ้นสู่เทือกเขาซานชิงซา
ภูเขา ซานชิงซาน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าและมักจะถูกเรียกว่า "สวนของพระเจ้า" พื้นที่ประกอบด้วยความหลากหลายที่น่าสนใจและมีรูปทรงที่ดูผิดปรกติของบรรดาเสาหินแกรนิต ป่า และก้อนหิน มันจะเปลี่ยนรูปแบบตามสภาพอากาศ ประมาณ 200 วันในแต่ละปีมันจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ทำให้มันดูเหมือนเป็นลักษณะที่น่าฉงน ผู้ที่เข้ามาชมจะพบกับความรู้สึกที่ลึกลับ และความสงบในขณะที่กำลังย่างกรายเข้าสู่บริเวณแห่งนี้....
อู่อี๋ซาน มรดกโลก
Wuyi (Fujian)
สัมผัสแห่งสุนทรียภาพในเขตอู่อี๋ซานคือภูเขา ซึ่งสืบเนื่องจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกสมัยดึกดำบรรพ์ ทำให้ภูเขาในเขตนี้มีรูปร่างประหลาดพิศดาร บ้างพุ่งสู่ยอดฟ้า บ้างยืดตัวทอดยาวหลายกิโลเมตร บ้างคล้ายภาพน้ำตกแขวน บ้างตั้งตรงอย่างทรนงทรงอานุภาพ บ้างเหมือนสาวงามสะโอดสะอง การชมทิวทัศน์ในเขตภูเขาอู่อี๋ซานต้องใช้จินตนาการ ซึ่งจะทำให้เกิดความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสวยงามอีกอย่างหนึ่งในเขตอู่อี๋ซานคือสายน้ำ บริเวณตีนเขาอู่อี๋ซานมีน้ำพุ น้ำตก ลำธารมากมาย ทำให้เขตอู่อี๋ซานเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ในบรรดาสายน้ำเหล่านี้ ลำธารจิ่วชวีเป็นสถานที่ซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดเกินกว่าที่ใด
ในเขตทิวทัศน์อู่อี๋ซานยังมีไม้ไผ่ที่หาได้ยากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีไม้ดอก นก และสัตว์ที่พบได้ยาก รวมทั้งมียาสมุนไพรที่ล้ำค่าอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตนี้ยังมีชาชนิดหนึ่งที่ปลูกบริเวณภูเขาเรียกว่าชาอู่อี๋เหยียน ซึ่งมีสรรพคุณทั้งเป็นน้ำดื่มและเป็นยาสมุนไพร ด้วยเหตุนี้จึงเป็นชาที่ลือชื่อของเมืองอู่อี๋ซาน
เขาอู่อี๋ซาน เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เป็นภูเขาอยู่ในมณฑลฝูเจี้ยน มีอาณาเขต 70 ตารางกิโลเมตร เขาอู่อี๋ซัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน คือ ด้านตะวันออก ตะวันตกและด้านเหนือ ภูมิประเทศเป็นพื้นที่ลาดเอียง จากแนวตะวันตกเฉียงเหนือลงสู่แนวตะวันออกเฉียงใต้ มีหวงกั่งซันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,158 เมตร ซึ่งได้รับการเรียกขานให้เป็นอกไก่ของหลังคาบ้าน แห่งดินแดนจีนตะวันออก ลักษณะทางภูมิศาสตร์อยู่ในเขตโซนร้อนแถบเอเชียกลาง มีสภาพอากาศอบอุ่น ส่งผลให้พืชพันธุ์ในแถบเทือกเขานี้ มีลักษณะพิเศษกว่าถิ่นอื่นๆในประเทศจีน และสามารถรักษาสภาพป่าไม้ และพันธุ์พืชอันหลากหลายได้ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าฝนทางใต้ของจีน และป่าเขตร้อนแถบเอเชียเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
เอ๋อเหมยซาน มรดกโลก
Emei (Leshan)
ในบรรดายอดเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 แห่งของจีน เมื่อกล่าวถึงยอดเขาเอ๋อเหมยซาน ก็อาจทำให้หลายคนรู้สึกถึงความเป็นผู้หญิงเพราะได้รับอิทธิพลมากจากภาพยนตร์กำลังภายในหรือวรรณกรรมจีนหลายเรื่องที่มีการอ้างอิงถึงว่านี่คือสถานที่ตั้งของสำนักนางชียอดเขาเอ๋อเหมายซาน หรือที่ใครหลายคนจะคุ้นชินกับชื่อ “ง้อไบ๊” ตั้งอยู่ในเมืองเล่อซานทางตะวันตกเฉียงใต้ของแอ่งซื่อฉวน ห่างจากตัวเมืองเฉิงตูราว 160 กิโลเมตร เอ๋อเหมยซานเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในบรรดายอดศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาทั้ง 4 แห่ง สภาพแวดล้อมบนเขายังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติที่ยังไม่ถูกสภาวะเมืองกลืนกิน
ชื่อเอ๋อเหมยซานแปลว่า “คิ้วโก่ง” มีที่มาจากรูปทรงของภูเขาที่มีลักษณะคล้ายคิ้ว ในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมบนยอด เอ๋อเหมยซานมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ต้ากวงหมิงซาน” หมายถึง “เทือกเขาแห่งแสงสว่าง” บนเขาเป็นที่ตั้งของอารามหลายแห่งแต่ส่วนใหญ่ทรุดโทรมลงไปแล้วความสมบูรณ์และมนต์เสน่ห์ทำให้เขาเอ๋อเหมยซานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแบบผสมร่วมกับพระพุทธรูปเล่อซานภายใต้ชื่อ “ภูมิทัศน์แห่งเขาเอ๋อเหมยซานและพระพุทธรูปเล่อซาน” ในปี 1996 จากองค์การยูเนสโก
ซื่อกูเหนียงซาน
Siguniangshan (Sichuan)
ซื่อกูเหนียงซาน (ภูเขาสี่ดรุณี) ยอดสูงสุดเป็นน้องคนเล็ก 6,250 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลอยู่ในเขตวนอุทยานฉางผิง มณฑลเสฉวน เหนือมณฑลยูนนานติดกับเขตปกครองตนเองทิเบต ห่างจากเฉิงตู เมืองหลวงของมณฑลเสฉวนประมาณ 220 กิโลเมตร วนอุทยานแห่งนี้มีเนื้อที่กว่าสองพันตารางกิโลเมตร มีชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติอยู่ตามหุบเขาและลำธารน้อยใหญ่ เช่น เชื้อชาติทิเบต ยี่ เมี่ยว หุย เซียง แต่บริเวณใกล้ ซื่อกูเหนี่ยงซัน มีหมู่บ้านชาวทิเบตและเจดีย์โบราณแบบทิเบต ดังนั้นเรื่องเล่าต่อไปนี้ สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องของชนเผ่าทิเบต เรื่องมีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีวิชา เก่งกาจด้านการต่อสู้และเวทย์มนต์คาถา อาจารย์ท่านนี้มีลูกสาวอยู่สี่คน ซึ่งนางทั้งสี่ มีหน้าตาและรูปร่างสวยงาม เป็นที่ร่ำลือไปทั่วแคว้นน้อยใหญ่ ความงามของนางทั้งสี่เป็นที่เลื่องลือไปถึงยักษ์ตนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในดินแดนตอนเหนืออันห่างไกล ยักษ์ตนนั้นจึงอยากได้นางทั้งสี่มาเป็นภรรยา ยักษ์จึงเดินทางมาสู่ขอกับอาจารย์ อาจารย์ท่านนั้น เห็นว่าเป็นยักษ์ จึงไม่ยอมยกลูกสาวให้ เกิดการต่อสู้กันทำให้สภาพพื้นที่ของหมู่บ้านเปลี่ยนแปลง เกิดภูเขาใหญ่น้อย พายุฝน ลูกเห็บ หิมะ มากมาย
ในที่สุดอาจารย์ผู้เป็นบิดาก็พ่ายแพ้แก่ยักษ์ นางทั้งสี่หรือ สี่ดรุณี จึงหนีไปด้วยความกลัว นางรอนแรมหนีเข้าป่าไปหลายวันหลายคืนจนหมดแรง เหนื่อยอ่อน ยักษ์ก็ตามมาติดๆ จนกระทั่งเกิดพายุใหญ่หอบนางทั้งสี่มาบริเวณภูเขาและพายุก็พาเอาหิมะมาเกาะ ปกคลุมตัวนาง แข็งตายเป็นภูเขาสี่ดรุณี ซื่อกูเหนี่ยงซัน (ซื่อ แปลว่าสี่ กูเหนี่ยง แปลว่า หญิงสาว ซัน แปลว่า ภูเขา) ลักษณะของ ซื่อกูเหนี่ยงซัน เป็นภูเขาหินสูงใหญ่ สี่ ลูกเรียงกัน มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดปี โดยเฉพาะตรงยอดเขา และมีเขาลูกหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สูงที่สุด ว่ากันว่านั่นคือน้องสาวคนสุดท้อง เพราะตามธรรมเนียมของชนเผ่าท้องถิ่น คนน้องจะมีความเป็นอยู่สบายที่สุด ตัวจึงโตที่สุด คนพี่นั้นต้องทำงานช่วยบิดามารดา และเลี้ยงน้อง ร่างกายจึงไม่เจริญเติบโตเต็มที่
ก้งก่าซาน
Gonggashan (Sichuan)
ภูเขากังก่าซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในมณฑลเสฉวน ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 7,556 เมตร ทอดยาวไปจนจรดกับอุทยานสี่ดรุณี ใกล้ๆ กับอุทยานสวรรค์จิ่วจ้ายโกว ได้รับสมญานามเป็นราชาแห่งภูเขาเลยทีเดียว
ยอดเขาสูงเหล่านี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดชั่วนาตาปี เมื่อมีหิมะบางส่วนละลายไหลลงจากยอดเขาสู่เส้นทางเบื้องล่างก็จับตัวกันเหมือนม่านน้ำแข็ง โพรงน้ำแข็งเป็นธรรมชาติที่แปลกตา การเดินทางไปชมธารน้ำแข็งแห่งนี้จะต้องนั่งรถขึ้นเขาสูง ผ่านป่าสนที่เก่าแก่สัมผัสกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ไปตลอดทางก่อนจะไปต่อด้วยกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปอีกทีเพราะจากเบื้องล่างจะเห็นแค่เพียงยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ใจถึงหน่อยก็สามารถเดินขึ้นเขาไปชมเองก็ได้ แต่กว่าจะไปถึงปลายธารน้ำแข็ง ต้องใช้เวลาเดินถึง 5 - 6 ชั่วโมง