สมานฉันท์กับอสังหาริมทรัพย์
สมานฉันท์ ปรองดอง เป็นสิ่งที่เราพึงมีในประเทศไทย เพราะจะทำให้อสังหาริมทรัพย์ของไทยเรามีค่า หาไม่หากเกิดสงครามกลางเมืองเช่นในหลายประเทศ อสังหาริมทรัพย์ก็จะหมดค่าไป
ในสมัยนี้การต่อสู้รุกรานระหว่างประเทศคงไม่ค่อยมี แต่มีศึกสงครามกลางเมือง ต่อสู้กันเองระหว่างคนในชาติ นั่นก็คือการขาดความสมานฉันท์ ไม่ปรองดอง จึงทำให้เป็นแบบนี้ ยิ่งในภาวะที่ "ยุติธรรมไม่มี สามัคคี (ก็ย่อม) ไม่เกิด" ทำให้เกิดความอึมครึม ที่พร้อมจะปะทุเป็นสงครามกลางเมือง ไม่ช้าก็เร็ว ก็ยิ่งทำให้มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ไม่เติบโต และอาจชะลอตัวลง
ใกล้บ้านเราอย่างกัมพูชา ในยุคเขมรแดง อสังหาริมทรัพย์แทบจะไร้ค่า เพราะประชาชนถูกกวาดต้อนออกไปทำนารวมนอกกรุงพนมเปญ กรุงพนมเปญแทบจะร้างไปเลย จนเมื่อเขมรแดงหมดอำนาจ จึงปรากฏว่ามีชาวเขมรอพยพย้ายกลับเข้ามาอยู่ในกรุงพนมเปญ เมื่อย้ายเข้าเมืองใหม่ ๆ ราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงพนมเปญแทบไม่มีค่า ประชาชนต่างมาจับจองอาคารตึกแถวที่ทิ้งร้างไว้ในใจกลางเมือง ครอบครัวที่กลับมาก่อน จะอาศัยอยู่ชั้นบนสุดของตึกแถว 3-4 ชั้น ทั้งนี้เพราะมักมีการปล้นชิงทรัพย์สินอยู่เสมอ การอยู่อาศัยในชั้นบนๆ ย่อมปลอดภัยกว่า
ประชาชนที่ครอบครองตึกแถวอยู่ มักจะเชิญชวนแกมขอร้องครอบครัวที่กลับมาจากชนบทในภายหลังให้มาอยู่ชั้นล่างๆ จากตน เผื่อมีโจรมาปล้นจะได้ปล้นครอบครัวที่มาภายหลังเป็นอันดับแรก และประชาชนที่มาหลังสุดจะได้ครอบครองชั้นล่างสุดที่มีความเสี่ยงในการถูกปล้นสูงสุด จะเห็นได้ว่าในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดนั้น ไม่มีใครเห็นอนาคต ไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่าบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขอีกครั้งหนึ่งเช่นทุกวันนี้ ที่สำคัญไม่มีมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ให้สามารถซื้อขายกันได้ แต่พอบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ก็จะกลับมาใหม่
อสังหาริมทรัพย์ก็คือสมบัติที่สามารถ “ผลัดกันชม” ได้ เจ้าของอาคารในทำเลทอง (Prime Location) ก่อนกรุงพนมเปญแตก กับเจ้าของปัจจุบัน เป็นคนละคนแล้ว คนเก่าอาจตายไปแล้ว หรือยากจนลงแล้ว ส่วนคนใหม่กลับมารวยขึ้น แต่ทรัพย์สินอาคารในทำเลทอง ก็ยังมีค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ และนับวันจะสูงกว่าช่วงก่อนสงครามอย่างเทียบกับไม่ได้
สถานการณ์บางอย่างดูเหมือน “สวรรค์” หรือ “ชะตา” เล่นตลก พื้นที่อาคารพาณิชย์ชั้นล่างที่แต่เดิมในยุคก่อนกรุงแตกมีค่าสูงมาก ก็กลับกลายเป็นบริเวณที่มีปัญหาคอขาดบาดตาย เสี่ยงต่อการถูกปล้นชิงหรืออาจถูกทำร้ายถึงชีวิตในยุคหลังสงครามกลางเมือง แต่ภายหลังเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ บัดนี้สวรรค์ “เล่นตลก” อีกรอบ เพราะผู้ที่มาทีหลังที่อาศัยอยู่ชั้นล่างสุดกลับ “ถูกหวย” ได้ครอบครองพื้นที่ที่มีมูลค่าสูงสุดไปเอง
สาเหตุที่กัมพูชา ลาว เวียดนาม เจริญช้ากว่าไทยก็เพราะมีสงครามกลางเมือง ขาดความสมานฉันท์ในชาติ มัวแต่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันภายในประเทศ ท่านว่าประเทศไทยจะมีโอกาสเป็นแบบนี้ในอนาคตอันใกล้หรือไม่ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นในไทยก็คือ ความไม่สงบในชายแดนใต้ในห้วงเวลาปี 2548-2550 นั้นทำให้เกิดการสูญเสียมหาศาล และยิ่งนับถึงวันนี้ ก็ยิ่งมากขึ้นอีก (bit.ly/29hTjU2)
หากไม่มีปัญหาความมั่นคง ราคาอสังหาริมทรัพย์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็อาจมีการเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยเช่นเดียวกับทั่วประเทศ โดยประมาณการเป็นเงิน 497,778 ล้านบาทในปี 2548 ควรเพิ่มเป็น 519,489 ล้านบาทในปี 2549 และควรเพิ่มเป็น 544,444 ล้านบาทในปี 2550 แต่เนื่องจากมูลค่า ณ ปี 2550 (492,266 ล้านบาท) ลดตาลงกว่าการคาดหมาย (544,444 ล้านบาท) แสดงว่า มูลค่าทรัพย์สินได้หายไปอันเนื่องมาจากปัญหาความไม่มั่นคงถึง 52,178 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่นับรวมชีวิตและทรัพย์สินที่สูญเสียไปอีกมหาศาลอย่างประเมินค่ามิได้
ส่วนในฟิลิปปินส์ เมียนมาและอินโดนีเซียก็มีปัญหาความปรองดองสมานฉันท์ในอีกรูปแบบหนึ่ง คือมีการปกครองในระบอบเผด็จการทรราช แต่หลังจากการขับไล่ทรราชออกไปแล้ว ประเทศก็รุ่งเรืองยิ่งขึ้น จากที่เคยล้าหลังประเทศไทยเรา มีรายได้ประชาชาติต่อหัวต่ำกว่าไทยเรา ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ ดังนั้นความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่พึงพิจารณาอีกประเด็นหนึ่ง
มาถึงตรงนี้หลายคนมองว่าสิงคโปร์ก็เป็นประเทศเผด็จการแต่ทำไมจึงเจริญ ในความเป็นจริงแล้ว สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยสูง (bit.ly/1MKUzhT) สิงคโปร์มีความเป็นประชาธิปไตยเพราะมีการเลือกตั้งอย่างเสรีมาโดยตลอดโดยไม่มีการซื้อเสียงหรือบังคับลงคะแนนแต่อย่างใด ถ้าลีกวนยิวทำรัฐประหาร คนสิงคโปร์คงไม่ยอมเป็นแน่ อย่างไรก็ตามบ้างก็อาจมองว่าเสรีภาพของสื่อในสิงคโปร์ถูกจำกัด แต่ในความเป็นจริง เขาไม่ให้สื่อมีอภิสิทธิ์ละเมิดคนอื่นต่างหาก สื่อไม่อาจลงข่าวยั่วยุสร้างความแตกแยกเช่นสื่อหลายสำนักในประเทศไทยนั่นเอง
ด้วยความเป็นประชาธิปไตย อสังหาริมทรัพย์ของประเทศต่าง ๆ จึงเพิ่มราคามากขึ้น เพราะอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องแสดงความมั่งคั่ง หลังการเลือกตั้งของประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เต ประเทศก็มีความหวังขึ้นมาทันที แต่บางคนอาจมองว่าเขาจะเป็น "ทักษิณ 2" ที่วิสามัญโจรหรือไม่ ข้อนี้อาจมองได้ว่าเขาเป็นคนรักษากฎหมายอย่างเด็ดขาด สมัยที่เขาเป็นนายกเทศมนตรีนครดาเวาที่ผมมีโอกาสไปเยือน นครแห่งนี้มีความสงบสุขเพราะเขารักษากฎหมายโดยเคร่งครัด อสังหาริมทรัพย์มีค่ามากกว่านครที่ขาดความมั่นคงทางการเมือง
ข้างฝ่ายประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ก็ได้รับการต้อนรับอย่างขนานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เริ่มออกกฎหมายนิรโทษกรรมพวกที่ลักลอบนำเงินไปฝากนอกประเทศ (โดยเฉพาะสิงคโปร์) โดยให้นำเงินเขาออกได้ถูกกฎหมาย และเสียค่าปรับเพียง 2-3% เท่านั้น ปรากฏว่าการนี้จะทำให้มีเงินไหลเวียนเข้าประเทศหลักล้านล้านบาท จะทำให้การลงทุนในประเทศเติบใหญ่ อสังหาริมทรัพย์เติบโต แทนที่จะปล่อยให้ประเทศชาติไร้อนาคต คหบดีต้องแอบหนีเอาเงินไปฝากเมืองนอกนั่นเอง และสุดท้าย หลังการชนะการเลือกตั้งของนางอองซานซูจี ก็ปรากฏว่าถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่เมียนมา ผมเคยสัมภาษณ์นักธุรกิจของประเทศต่าง ๆ ต่างก็เห็นว่าประเทศที่ "ฮอต" ในด้านการลงทุนที่สุดในอาเซียนขณะนี้ก็คือเมียนมา ซึ่งคงจะครองแชมป์ไปอีกหลายปี ผมเคยทำแบบสอบถามกับทั้งชาวกัมพูชา (bit.ly/1XTsfyN) เมียนมา (bit.ly/1RW39tL) และลาว ต่างเห็นว่าประเทศที่ควรซื้อบ้านอันดับหนึ่งคือสิงคโปร์ เพราะมีความสงบสุขและความมั่นคงทางการเมืองสูง รองลงมาคือไทย แสดงว่าไทยเราก็มีศักยภาพที่สำคัญยิ่ง โอกาสที่อสังหาริมทรัพย์ไทยจะเติบโตย่อมมีมากในอนาคต
ขณะนี้เศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ไทยเพียงชะลอไปชั่วคราวเพราะขาดความสมานฉันท์ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอยู่บนพื้นฐาน "เสมอภาค สร้างสรรค์" เราต้องการการปฏิรูปที่ไมใช่ปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียว ที่สำคัญ เราต้องการการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่ปล้นชิงบิดเบือนสิทธิของประชาชน
ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1482.htm