3 เหตุผลที่บริษัทบ้านปูควรลงทุนพลังงานหมุนเวียน 100%
เขียน โดย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การทำเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเชียของบริษัทในเครือบ้านปูได้สร้างรอยแผลเป็นที่บาดลึกและยากเกินจะเยียวยาแก่ภูมิประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดกาลิมันตันตะวันออก และกาลิมันตันตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า น้ำที่ปนเปื้อนเต็มไปด้วยสารพิษ รวมไปถึงผืนแผ่นดินที่ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี แต่บ้านปูสามารถเป็นผู้นำเพื่อการลงทุนพลังงานหมุนเวียนเต็มร้อยได้ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญและแบบอย่างการลงทุนพลังงานที่ยั่งยืนที่ไม่ทำร้ายคนและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กลุ่มบริษัทบ้านปูเป็นบริษัทถ่านหิน โดยร้อยละ 93 ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทมาจากการทำเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยมีอินโดนีเซียเป็นฐานสำคัญในการประกอบธุรกิจ อาจกล่าวได้ว่า บ้านปูเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย โดยธุรกิจของบ้านปูฯ ในประเทศอินโดนีเซีย อยู่ภายใต้การดำ เนินกิจการของบริษัท พีที อินโด ทามบางรายา เมกา ทีบีเค (PT Indo Tambangraya Megah TbK) หรือ ไอทีเอ็ม “ITM” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปู และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ของประเทศอินโดนีเซีย บริษัท ไอทีเอ็ม ITM ควบคุมดูแลบริษัทอื่น ๆ ในเครือทั่ว กาลิมันตัน ในปี 2557 บริษัทไอทีเอ็ม ITM ผลิตถ่านหิน 29.1 ล้านตัน เพื่อขายในอินโดนีเซีย และเพื่อการส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย แต่การทำเหมืองของบริษัทบ้านปูกำลังสร้างรอยแผลที่บาดลึกให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนกาลิมันตันตะวันออกและตะวันตก ซึ่งบ้านปูมีศักยภาพในการเป็นผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการลงทุนพลังงานอย่างยั่งยืน และนี่คือ 3 เหตุผลที่บริษัทบ้านปูควรหันมาลงทุนพลังงานหมุนเวียน 100%
โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทบ้านปู
1. การทำเหมืองถ่านหินสร้างผลกระทบต่อเกษตรกรรมของชุมชน
ตัวอย่างที่น่าเศร้าซึ่งเกิดขึ้นจากการเข้ามาของเหมืองถ่านหินในเครือบริษัทบ้านปู คือ กรณีของหมู่บ้านเคอทาบัวนาในจังหวัดกาลิมันตันตะวันออก แหล่งผลิตข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่ง เมื่อบริษัทเหมืองถ่านหิน พีทีคิทาดิน (PT Kitadin) เริ่มทำเหมืองถ่านหิน เกษตรกรพบว่า พืชผลของพวกเขาได้รับผลกระทบ และเกษตรกรจำนวนมากจึงตัดสินใจขายที่ดินของตนและย้ายไปสู่เมืองอื่น เพื่อเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน
ผืนดินของหมู่บ้านเคอทาบัวนา ผืนแล้วผืนเล่าถูกกลืนกินโดยการทำเหมือง
ถ่านหิน ของบริษัทพีที คิทาดิน (PT Kitadin) บริษัทย่อยของไอทีเอ็ม (ITM) เริ่มดำเนินการทางตอนใต้ของหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนยอมแพ้และขายที่ดินของตนไป แต่นั่นไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้านเนามัน เขายังคงต่อต้านการทำเหมืองถ่านหินอยู่ จนเขาถูกจับ และถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ากระทำการยุยงให้เกิดการประท้วงต่อต้าน
“พวกเราไม่สามารถเพาะปลูกได้อย่างที่เคยทำมา จะปลูกอะไรก็ทำได้ยาก พวกเราปลูกข้าวได้ไม่พอสำหรับส่งขาย แค่จะปลูกให้ได้พออยู่พอกินไปจนจบฤดูเก็บเกี่ยวยังยากเลย ผมได้แต่ภาวนาให้หยุดการทำเหมืองถ่านหินซะที กลบหลุมเหมืองพวกนั้นไปซะ แล้วเอาแผ่นดินคืนให้ชาวบ้าน แต่คงจะไม่มีความหวังหลงเหลือแก่อนาคตของหมู่บ้านนี้อีกต่อไปแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านเนามัน หมู่บ้านเคอทาบัวนา ในจังหวัดกาลิมันตันตะวันออกกล่าว
2. เหมืองถ่านหินสร้างมลพิษในแหล่งน้ำ
“หลังจากเริ่มทำเหมืองถ่านหิน พวกชาวบ้านก็เริ่มประท้วงต่อต้าน เพราะไปทำเหมืองถ่านหินตรงที่เป็นแหล่งน้ำ สำหรับนาของพวกเรา” ผู้ใหญ่บ้านเนามัน หมู่บ้านเคอทาบัวนา กล่าว
ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ชาวบ้านในหมู่บ้านเคอทาบัวนาต่างร้องทุกข์เกี่ยวกับน้ำท่วม ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่พืชผล เนื่องจากบริเวณแห่งนี้เป็นพื้นที่เหมือง
ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกที่สุด น้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีจะไหลบ่าจากทะเลสาบเทียม (หลุมเหมืองที่มีน้ำขัง) ที่บริษัทเหมืองถ่านหินปล่อยทิ้งร้างไว้เข้าท่วมทุ่งนา เส้นทางระบายน้ำ ที่บริษัทพีทีคิทาดิน (PT Kitadin) สร้างไว้ ตัดเข้าสู่กลางหมู่บ้าน ดังนั้น เมื่อน้ำเอ่อล้นจากเส้นทางระบายน้ำ จึงไหลเข้าท่วมบ้านของชาวบ้าน บริษัทพีทีคิทาดิน (PT Kitadin) สร้างคลองและช่องทางระบายน้ำ ผ่านหมู่บ้านเคอทาบัวนา และทุ่งนา เมื่อฝนตกหนัก ของเสียจากการทำเหมืองถ่านหิน อาทิ น้ำมันเสีย และเชื้อเพลิงยานพาหนะต่าง ๆ จะไหลเอ่อเข้าสู่ทุ่งนา ปนเปื้อนสู่พืชผล หากฤดูฝนนอกจากภัยอันตรายจากน้ำท่วมแล้วนั้น ในฤดูแล้งชาวนาก็ยังไม่สามารถ เพาะปลูกข้าวได้เนื่องจากระบบชลประทานแห้งขอด น้ำที่จะควรจะนำมาหล่อเลี้ยงระบบ ชลประทานกลับถูกกักเก็บไว้ในเหมืองถ่านหินที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ ส่วนผืนนาของ ชาวนาก็ถูกปล่อยให้แห้งแล้งท่ามกลางแสงอาทิตย์
ก่อนที่จะมีการทำเหมืองถ่านหิน ชาวนาสามารถดำ นาได้ 2 ครั้งต่อปี และเก็บเกี่ยวข้าวได้ปริมาณมากถึง 10 ตัน ปัจจุบันพวกเขาสามารถดำนาได้เพียงปีละหน และเก็บเกี่ยวได้ปริมาณลดลงเหลือ 4 ตัน เมื่อระบบชลประทานดั้งเดิมถูกทำลายลงโดยหลุมเหมืองถ่านหิน ชาวนาบางคนเริ่มหันไปใช้น้ำที่ถูกกักไว้ในทะเลสาบเทียมเพื่อทำการเพาะปลูก ทว่า น้ำจากทะเลสาบเทียมนี้ไม่เหมาะสมสำหรับใช้เพาะปลูก ชาวนาจึงจำเป็นต้องใส่ปูนขาวลงในที่นาเพื่อปรับสมดุลของดิน พวกเขาจะต้องใช้ปูนขาวในปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากคุณภาพของดินเสื่อมโทรมลง ไม่ว่าจะเป็นฤดูฝนหรือฤดูแล้ง ชาวนาก็ต้องทนทุกข์จากผลกระทบที่เกิดจากการทำเหมืองถ่านหินที่ดึงน้ำไปกักเก็บไว้ในฤดูแล้ง และก่อให้เกิดน้ำท่วมในฤดูฝน ปัจจุบันชาวบ้านหลายคนต้องซื้อหาน้ำสะอาดมาใช้ดื่มกิน
เหมืองถ่านหินสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทรัพยากรน้ำ ซึ่งหากบริษัทบ้านปูหันมาลงทุนพลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะสามารถเลี่ยงผลกระทบดังกล่าวได้
3. เหมืองถ่านหินสร้างผลกระทบต่อภูมิทัศน์ของผืนดิน
อีกหนึ่งผลกระทบหนึ่งจากการทำเหมืองถ่านหินของบริษัทบ้านปู คือ การปล่อยทิ้งหลุมเหมืองบนแผ่นดินที่ถูกทิ้งร้าง เขตโจล่ง (Jorong) และทานาลอท (Tana Laut) ในจังหวัดกาลิมันตันใต้ มีภูมิประเทศปกคลุมไปด้วยหลุมเหมืองถ่านหินที่ถูกทิ้งร้างไว้นับร้อย ๆ แห่ง โดยบริษัทพีทีโจล่ง บารูทามา เกรสตัน (PT Jorong Barutama Greston) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูฯ ปล่อยทิ้งร้างหลุมเหมืองเหล่านี้ไว้หลังจากเสร็จสิ้น การทำเหมืองถ่านหิน ดินแดนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ของกาลิมันตันแห่งนี้ ปัจจุบันดูกันดารราวกับพื้นผิวของดวงจันทร์ หลุมเหมืองแห่งหนึ่งมีขนาดใหญ่มหึมา มีความกว้างถึง 2 กิโลเมตร จากการ สำรวจโดยกรีนพีซ ในปี 2557 เผยให้เห็นว่า น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีคุณสมบัติเป็นกรดสูงที่ pH 3.74 และมีส่วนประกอบของแร่แมงกานีสสูง กว่าค่ามาตรฐานมาก เรียกได้ว่าเป็นการทำลายภูมิประเทศและสร้างมลพิษอันตรายให้กับแหล่งน้ำในบริเวณนั้น
บ้านปูสามารถเป็นผู้นำเพื่อการลงทุนพลังงานหมุนเวียนเต็มร้อยภายในปี 2568 จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้เพียงร้อยละ 20 บริษัทบ้านปูและบริษัทในเครือเข้าลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มองโกเลียและออสเตรเลีย รวมถึงการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในจีนและญี่ปุ่น ดังนั้นบ้านปูจึงมีศักยภาพสูงในการหันมาลงทุนพลังงานที่ยั่งยืนและไม่สร้างผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม หากมุ่งมั่นดำเนินการอย่างแท้จริง
ผลักดันบ้านปูยุติยุคถ่านหิน ลงทุนพลังงานหมุนเวียนเต็มร้อย ร่วมลงชื่อคลิกที่นี่
อ่านรายงาน ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม จากการลงทุนถ่านหินของบริษัทไทยในอินโดนีเซีย ที่นี่
ที่มา: Greenpeace Thailand
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ทนายสายหยุด ยอมรับสลิปโอนเงินของ "นานา" เป็นของปลอม
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
ตุ๋นลงทุนทิพย์: ไว้ใจ เชื่อใจ หรือเกรงใจ… สุดท้ายใครคือเหยื่อ?
รอบ 3 อาการ 12: หัวใจแห่งการตื่นรู้สำหรับชีวิตประจำวัน (เอไอ รวบรวมและเรียบเรียง)
เลิกกัน แต่ปล่อยคลิปลับ — คนแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกได้ยังไง?
7 อันดับสารพิษตัวร้าย : อยู่ให้ไกล ระวังให้ดี เพราะโลกนี้ไม่ได้อ่อนโยนกับเราเสมอไป


