“คิตตี้สยอง” คดีฆาตกรรมที่โด่งดังที่สุดในเกาะฮ่องกง!!! (มีคลิป)
“คิตตี้สยอง” คดีฆาตกรรมที่โด่งดังที่สุดในเกาะฮ่องกง!!! (มีคลิป)
เฮลโล คิตตี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักตัวการ์ตูนแมวที่ขึ้นชื่อว่าน่ารักและโด่งดัง ที่สุดในประวัติศาสตร์ตัวนี้ แต่แล้วคาแรกเตอร์ของคิตตี้ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่เด็กสาววัยทีน
แต่ถึงแม้เฮลโล คิตตี้ จะขึ้นชื่อว่าเป็นตัวละครที่มีความน่ารักหรือโรแมนติกขนาดไหนก็ตาม (ตัวละครตัวนี้ถูกผู้สร้างวางเอาไว้ว่า ชอบเล่นเปียโนและอยากเป็นกวี) แต่ก็ยังมีเรื่องราวที่น่าสยดสยองและแสนสะเทือนขวัญเข้ามาเกี่ยวพันกับมันจนได้
ย้อนกลับไปในปี 2542 ที่เกาะฮ่องกง ได้มีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญคดีหนึ่งเกิดขึ้น และมันก็ได้รับการขนานนามว่า “คดีฆาตกรรมคิตตี้สะเทือนขวัญ” (Hello Kitty murder)
บริเวณย่านชุมชนที่มีชื่อว่า จิมซาจุ่ย ซึ่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการฆาตกรรมในครั้งนี้ก็คือหญิงสาววัย 23 ปีที่มีนามว่า ฟานมันยี โดยเธอนั้นโดนชาย 3 คนลักพาตัวไปขังไว้ในอพาร์ทเมนท์ที่ถนนแกรนด์วิลล์ 31 ในย่านจิมซาจุ่ย และชายทั้ง 3 คนก็ได้ทรมานฟานมันยีด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยมต่างๆ นาๆ นานถึง 1 เดือน จนสุดท้ายเธอก็เสียชีวิตลงเพราะทนไม่ไหว
หลังจากเธอเสีย ชีวิต ชายทั้งสามคนก็ได้ทำการอำพรางศพของเธอด้วยการหั่นร่างกายของเธอออกเป็นชิ้นๆ เอาไปต้มให้สุก ก่อนที่จะนำเอาไปทิ้งตามที่ต่างๆ แต่คดีนี้เป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ก็เนื่องมาจากคนร้ายได้ตัดเอาหัวของเธอไปยัดใส่ไว้ในตุ๊กตาเฮลโล คิตตี้นั่นเอง
สาเหตุของการที่คนร้ายจับเอาเธอมาทรมานจนตายนั้น เนื่องมาจาก ฟานมันยี นั้นมีหนี้สินที่ติดค้างชายทั้งสามอยู่ 20,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (หรือประมาณ 90,000 บาท) และไม่สามารถใช้คืนได้ตามกำหนด
ฆาตกรทั้งสามนั้นมีชื่อว่า ชานมันลก, เหลียงชิงโช และเหลียง ไหวหลัน พวกเขาจับเธอมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2542 และเริ่มต้นทรมานเธอด้วยวิธีการที่โหดร้ายต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นการซ้อม ทุบตีให้ร่างกายเกิดบาดแผลแล้วเอาน้ำมันพริกมาทาตามตัว นำเอาพลาสติกที่หลอมละลายมาหยดใส่บนผิวหนัง นำไฟมาลนที่ฝ่าเท้า บังคับให้เธอดื่มและกินปัสสาวะและอุจจาระ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นวิธีการทรมานคนที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์
จนกระทั่งเดือนเมษายนหลังจากที่เธอถูกจับมาทรมานเป็นเวลา 1 เดือน ฟานมันยีก็สิ้นลมหายใจ และฆาตกรทั้งสามก็ได้กำจัดศพของเธอด้วยวิธีการที่กล่าวมาในข้างต้น ซึ่งมันออกจะเป็นวิธีการที่ค่อนข้างวิปริตและหาเหตุผลแบบปกติไม่ได้ว่า มีแรงจูงใจอะไร ทำไมถึงต้องกระทำการโหดเหี้ยมแบบนั้นทำแบบนั้น
พ.ต.ต. ดร.กฤษณพงศ์ พูตระกูล ประธานบริหารหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยา ได้ให้ความเห็นว่า
“ผมเชื่อว่า รายนี้ ไม่ใช่รายแรกที่โดนกลุ่นคนร้ายกลุ่มนี้กระทำ มันต้องมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ว่ามันอาจจะไม่รุนแรงถึงตาย แต่พอเกิดการตายขึ้นมา ก็ต้องมีการคิดทำลายศพ ส่วนการตัดศีรษะแล้วไปยัดไว้ในตุ๊กตานั้น มองแง่หนึ่งมันอาจจะเป็นการข่มขู่ลูกหนี้รายอื่น คือถ้ามีคนอื่นที่ไม่ยอมใช้หนี้ก็อาจจะเจออย่างนี้ได้ อีกประเด็นก็อาจจะเป็นเรื่องของความสะใจ ผมก็ไม่รู้ว่าก่อนเกิดเหตุคนร้ายและเหยื่อมีการปะทะคารมกันกี่ครั้ง อาจจะมีการท้าทายกันมาก่อน”
“การ ที่คนร้ายพวกนี้มีพฤติกรรมที่ดูโหดเหี้ยมนั้น เป็นเพราะพื้นฐานจิตใจเขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว รูปแบบการกระทำเลยออกมาน่ากลัวสะเทือนขวัญ คือคนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องมีปัญหาทางจิตมาก่อน โดยหลักการนั้น คนแต่ละคนจะโตมาจากสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ต่อให้เป็นพี่น้องกันก็อาจจะโตมาต่างกันได้คนร้ายทั้งสามต้องเติบโตมาอย่าง ไม่พร้อม และอาจจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีการทุบตีทำทารุณกรรมกัน และมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมัน ฟรอยด์ เจ้าตัวเองอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่าตนมีความกดดันหรือความเครียดที่ออกมาจิต ใต้สำนึก ดังนั้นการตอบโต้หรือปฏิกิริยาที่ออกมาจากตัวคนเหล่านี้มันจะรุนแรงกว่า ปกติ” พ.ต.ต. ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงเหตุผลที่ทำให้คดีอาชญากรรมบางคดีดูโหดเหี้ยมผิดวิสัยที่ มนุษย์ทั่วไปจะสามารถกระทำ
2 เดือนต่อมา ในวันที่ 24 พฤษภาคม ปีนั้น แฟนสาวของหนึ่งในสามฆาตกรก็ได้เข้าไปแจ้งความกับตำรวจถึงคดีที่แฟนของตนเอง ก่อขึ้น ซึ่งเธอบอกว่าเหตุผลที่ต้องมาแจ้งความนั้น ก็เพราะว่าเธอนั้นโดนดวงวิญญาณของฟานมันยีมาตามรังควาญทุกคืน ทำให้ตำรวจฮ่องกงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในเวลาต่อมา
ภาพที่ ปรากฏต่อหน้าตำรวจ ก็คือห้องเช่าที่อยู่ในสภาพรกร้างที่มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ภายในเต็มไปด้วยเศษขยะ คราบเลือดและยังคงมีหลักฐานบางอย่างหลงเหลืออยู่ นั่นก็คือบรรดามีดและอุปกรณ์เครื่องครัวทั้งหลายที่ใช่ในการกำจัดศพ นอกจากนั้นยังมีตุ๊กตาคิตตี้เปื้อนเลือดพิงอยู่ที่ผนังริมทางเดิน 1 ตัว ซึ่ง ข้างในนั้นมีศีรษะและอวัยวะภายในบางส่วนของฟางมันยีบรรจุอยู่ ต่อมาฆาตกรทั้งสามคนก็ถูกจับและทำให้พวกเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต เนื่องมาจากฮ่องกงไม่มีโทษประหาร และด้วยความโด่งดังและน่าสะพรึงกลัวของคดีทำให้เกิดการสร้างภาพยนตร์เรื่อง ‘Human Pork Shop’ ขึ้นในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่งหนังเรื่องนี้อ้างอิงเรื่องราวมาจากคดีของฟานมันยีนั่นเอง
ในปัจจุบัน อพาร์ทเมนท์ที่ถนนแกรนด์วิลล์ 31 ในย่านจิมซาจุ่ยนั้นได้ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นร้านทำผมและร้านขายชุดชั้นใน ไปแล้ว แต่ทว่าตำนานความโหดเหี้ยมของคดีฆาตกรรมคิตตี้นั้นยังคงเล่าขานกันจนปัจจุบัน
ชมคลิปวิดีโอได้ที่นี่