ฮาเร็มในเรือนไทย ตอนที่1
สมัยก่อนคนไทยเราเห็นการมีภรรยาหลายคนเป็นเครื่องแสดงฐานะ เศรษฐีมีทรัพย์ และถ้าขุนนางคนไหนไม่มีเมียน้อย แทนที่ผู้คนจะสรรเสริญ กลับถูกนินทาว่าต้องมีอะไรบกพร่องหรือไม่ก็ผิดปกติทางเพศ ด้วยเหตุนี้ยิ่งเป็นขุนนางตำแหน่งสูงเท่าไรยิ่งต้องมีเมียมากเพื่อเพิ่มบารมีให้ตนเอง
เมื่อมีเมียหลายคน ก็จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบในครัวเรือนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย กฎหมายลักษณะผัวเมียได้กำหนดลักษณะเมียไว้ 3 ประการว่า "ประการหนึ่ง หญิงอันบิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชาย ได้ชื่อว่าเป็นเมียกลางเมืองประการหนึ่ง ชายขอหญิงมาเลี้ยงเป็นอนุภรรยาหลั่นเมียหลวงลงมาให้ชื่อว่าเป็นเมียกลางนอก ประการหนึ่ง หญิงใดมีทุกข์ยาก ชายช่วยไถ่ได้มาเห็นหมดหน้า เลี้ยงเป็นเมียได้ชื่อว่าเมียกลางทาสี"
อธิบายง่ายๆ ก็คือเมียที่พ่อแม่ไปสู่ขอ ได้ผูกข้อไม้ข้อมือตบแต่งกันถูกต้องตามประเพณีให้ถือว่าเป็นเมียหลวงหรือเมียกลางเมือง ซึ่งมีเกียรติสูงสุดและเป็นใหญ่ที่สุดในบรรดาภรรยาทั้งหมด ผู้ชายคนหนึ่งจะมีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนเมียรองลงมาเรียกว่าเมียกลางนอกหรือก็คือเมียน้อยนั่นเอง เมียกลางนอกค่อนข้างจะเป็นเมียน้อยบรรดาศักดิ์คือชายต้องไปสู่ขอมาจากพ่อแม่ จึงมีหน้ามีตาพอสมควร เมียชนิดนี้จะมีสักกี่คนก็ได้ แล้วแต่ฐานะและความพอใจ ส่วนเมียกลางทาสี เป็นเมียที่ผู้ชายไปซื้อหรือไปไถ่ตัวมาจากบ้านมูลนายคนอื่นๆ หรือบางทีก็เป็นคนใช้ที่ทำงานรับใช้อยู่ในบ้านนั่นแหละ ถ้าเจ้านายพอใจก็อาจรับมาชุบเลี้ยงเป็นเมียได้ เมียประเภทนี้ก็เหมือนเมียกลางนอกคือจะมีสักกี่คนก็ได้ เพราะถือว่าเป็นเมียน้อยเหมือนๆ กัน
ในฮาเร็มของชายไทยยังมีเมียอีกประเภทหนึ่งที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหนือเมียทุกคน นั่นคือ เมียพระราชทาน หรือเมียที่ในหลวงพระราชทานมาให้ มักเป็นผู้หญิงจากตระกูลสูง เช่นพระธิดา หรือเจ้าหญิงจากเมืองประเทศราษฎร เมื่อได้มาแล้วสามีก็ต้องให้ความเกรงใจ จะพูดจาปราศรัยอะไรก็ต้องสุภาพถนอมน้ำใจตลอดเวลา แม้แต่ถ้าเมียพระราชทานทำความผิด สามีก็ไม่มีสิทธิทำโทษรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย เมียชนิดนี้จึงมักวางอำนาจข่มผัวอยู่ในที และไม่ค่อยถูกกับเมียหลวงนัก เพราะพอมาถึงเมียหลวงที่เคยใหญ่ที่สุดในบ้านก็ต้องตกกระป๋องไปเป็นเมียรอง เมียหลวงจึงมักเขม่นเมียพระราชทานตั้งแต่วันแรกที่เหยียบบ้านเลยทีเดียว
ในบรรดาเมียทั้งหมด คนที่น่าสงสารที่สุดเห็นจะเป็น เมียกลางทาสี เพราะถึงจะได้ชื่อว่าเมียแต่ก็เป็นเมียทาส ยังมีหน้าที่หุงหาอาหาร ทำงานบ้านสารพัดเหมือนเดิม ซ้ำพอถึงตอนกลางคืนก็ยังต้องปรนนิบัติสามีอีก เรียกว่าต้องทำทั้งงานราษฎร์งานหลวงจนอ่วมอรทัย แทบไม่ได้มีเวลาพักผ่อนเลย ถ้าสามีเป็นเจ้าขุนมูลนายใหญ่โต เมียทาสก็จะสบายขึ้นหน่อยตรงที่สามีจะให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงานเหมือนบ่าว แต่ในด้านฐานะทางสังคมแล้วยังถือว่าต่ำต้อย เมียอื่นๆ มักจะไม่คบหาสมาคมด้วย เพราะถือว่าเป็นเพียงอดีตสาวใช้ก้นครัว
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา หากเมียทาสคนใดมีชู้ให้ผัวจับได้จะถูกจับโกนหัวเป็นการประจาน หลังจากนั้นถ้ามีโทษหนักถึงถูกไล่ออกจากบ้าน เมียทาสจะพาลูกสาวไปด้วยก็ได้ ส่วนลูกชายต้องทิ้งไว้ให้สามีเลี้ยง เพราะคนไทยในสมัยนั้นถือกันว่าลูกชายเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว โตขึ้นยังสามารถรับราชการสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้ครอบครัวได้ และถ้าอายุครบบวช พ่อแม่ก็จะได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ ส่วนลูกสาวไม่ใคร่จะมีประโยชน์นัก จะอยู่หรือไปก็หาสำคัญไม่
เรื่องของฮาเร็มนี้ ถ้าเทียบไปแล้วต้องบอกว่าทั้งกฎหมายและขนบธรรมเนียมของไทยเรายังพยายามยื่นมือเข้าไปดูแลทั้งสามีภรรยาให้มีความสุขตามอัตภาพมากกว่าฮาเร็มในตุรกีอย่างเช่นสำหรับสามี ซึ่งเป็นฝ่ายได้เปรียบเต็มประตูเพราะจะมีเมียกี่คนก็ได้ ขนบธรรมเนียมของไทยก็บังคับไว้ว่าสามีจะต้องปฏิบัติกับเมีย 5 ประการ หรือ 5 สถานคือ
สถานที่ 1 เลี้ยงดูเมียออกหน้าออกตา ไม่ปิดบัง ไม่ทำประหนึ่งว่าเป็นคนอื่น
สถานที่ 2 ยกย่องเมียเสมอตน ไม่ดูหมิ่นว่าเมียเลวกว่าตน
สถานที่ 3 ไม่ประพฤตินอกใจเมีย คือไม่เป็นคนเจ้าชู้
สถานที่ 4 มอบความไว้วางใจให้เมียเป็นแม่บ้านแม่เรือน รับผิดชอบในครอบครัว
สถานที่ 5 หาเครื่องนุ่งห่มและเครื่องอาภรณ์ให้แก่เมียตามสมควร
แต่ดูท่าขนบนี้จะมีไว้ขู่สามีเฉยๆ เพราะเอาเข้าจริงๆ สามีไทยส่วนใหญ่ก็ทำผิดสถานที่ 3 กันทั้งนั้น จนมีคำว่า"พระยาเทครัว" เกิดขึ้นมา เพื่อใช้เรียกผัวๆ ที่นิยมเอานางทาสในเรือนเบี้ยที่ต้องทำงานอยู่ในครัวมาเป็นเมียน้อย ชนิดว่ามีกี่คนๆ พ่อกวาดเรียบ เหมือนกับการเทครัวทั้งครัวมาไว้ในมุ้งนั่นเอง แต่มาสมัยนี้ความหมายของพระยาเทครัวกลับหมายถึงผู้ชายที่ได้ทั้งแม่ทั้งลูก หรือได้พี่น้องของเมียมาเป็นอนุด้วยจนไม่ค่อยจะมีคนรู้ความหมายดั้งเดิมกันแล้ว
เมื่อจำนวนเมียมีมากแต่สามีมีคนเดียว สามีก็อาจให้ความสุขกับเมียได้ไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้ผู้หญิงบางคนทนความว้าเหว่ไม่ไหว ริไปคบชู้สู่ชาย กฎหมายลักษณะผัวเมียจึงได้วางระเบียบเอาไว้ว่า ถ้าชายใดทำชู้ด้วยเมียกลางเมือง"ให้ไหมจงเต็มโดยพระราชกฤษฎีกา" ทำชู้ด้วยเมียกลางนอก "ให้ไหมโดยพระราชกฤษฎีกาเดิมทำห้าส่วน ยกเสียส่วนหนึ่งเอาสี่ส่วน" ถ้าทำชู้ด้วยเมียกลางทาสี "ให้ไหมโดยพระราชกฤษฎีกาทำห้าส่วน ยกเสียสองส่วน เอาสามส่วน" หรือก็คือใครเป็นชู้กับเมียหลวงมีโทษหนักที่สุด ต้องถูกปรับไหมเต็มจำนวน ส่วนเมียน้อยอื่นๆ นั้นโทษจะลดหลั่นลงมา เพราะถือว่าไม่สำคัญและผู้ชายก็สามารถมีได้หลายคนอยู่แล้ว
ส่วนการลงโทษผู้หญิงที่มีชู้มีดังนี้ "ส่วนหญิงอันร้ายให้เอาเฉลวปะหน้า ทัดดอกฉบาแดงสองหู ร้อยดอกฉบาเปนมาลัยใส่ศรีษะใส่คอ ให้นายฉม่องตีฆ้องนำหน้าประจานสามวัน ถ้าจะไถ่โทษประจานให้ไถ่ตามเกษียร อายุหญิงเปนค่าหญ้าช้างหลวง ถ้าชายผัวยังรักเมียมัน มันมิให้ประจานไซ้ ให้เอาสินไหมเข้าพระคลังหลวง ถ้าหญิงนั้นทำชู้ด้วยชายผู้เดียวนั้นถึงสองถ้าเล่าไซ้ให้ไหมทวีคูณ ถ้าทำชู้เปลี่ยนชายอื่น ให้ไหมชายผู้นั้นโดยประถมผิดเมีย ส่วนหญิงนั้นให้โกนศรีษะเป็นตะแลงแกงเอาขึ้นขาหย่างประจาน แล้วให้ทเวนรอบตลาดแล้วให้ทวนด้วยลวดหนัง 20 ที ถ้าชายผัวมันยังรักเมียมัน แลบ่มิให้ลงโทษแก่เมียมันไซ้ ให้เอาสินไหมเข้าพระคลังหลวง ถ้าหญิงนั้นทำชู้ด้วยชายอื่นเล่าไซ้ ท่านมิให้ไหมชายชู้นั้นเลย ส่วนหญิงนั้นให้ลงโทษดุจเดียวกัน แล้วศักรูปชายหญิงไว้ ณ แก้ม ถ้าชายผัวยังรักเมียมัน แลมิให้ลงโทษไซ้ ให้ศักทั้งหญิงทั้งชายนั้นแล"
จากกฎหมายนี้แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่มีชู้กฎหมายจะลงโทษสถานหนักมาก และลงโทษผู้หญิงมากกว่าชายชู้เสียอีก ถ้าผู้หญิงมีชู้กับผู้ชายเพียงคนเดียว ก็ลงโทษให้ได้อายโดยการจับทัดดอกชบาแดง พาแห่ประจานในตลาดและสถานที่ชุมชน ส่วนชายชู้เพียงแค่เสียเงินค่าปรับ ไม่เจ็บตัวไม่ต้องอับอาย ยกเว้นถ้าถูกจับได้แล้วยังเป็นชู้กับผู้หญิงคนเดิม ก็ให้ลงโทษปรับไหมผู้ชายให้มากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ถ้าหญิงมีชู้กับชายสองคน กฎหมายให้ลงโทษผู้หญิงด้วยการจับโดนหัวเป็นตะแลงแกง คือโกนผมเป็นรูปกากบาท เอาขึ้นบนขาหยั่งแล้วพาแห่ประจานไปรอบตลาด
แต่ถ้าหญิงคนนั้นมีชู้มากกว่าสองคนขึ้นไป กฎหมายถือว่าเป็นหญิงแพศยา ชายที่มาเป็นชู้ด้วยเลยรอดตัวไม่ถูกปรับไหมหรือลงโทษอะไรทั้งสิ้น เพราะหญิงนั้นสำส่อนชั่วช้าเอง มีแต่ตัวผู้หญิงที่จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง นอกจากถูกโกนหัวแห่ประจานแล้ว ยังจะถูกสักรูปชายหญิงกำลังประกอบกามกิจกันไว้บนแก้ม ไปที่ไหนใครเห็นก็รู้ว่านางนี่เป็นผู้หญิงสำส่อนไม่ควรคบหาให้เป็นกาลกิณี สำหรับผัว ถ้ายังรักเมียที่มีชู้ไม่อยากให้ลงโทษแห่ประจาน ก็สามารถเอาเงินมาเสียค่าปรับแล้วไถ่เอาตัวเมียไปได้ ยกเว้นเมียแพศยาที่มีชู้หลายคน ถ้าผัวยังจะลุ่มหลงเอาเงินมาช่วยไถ่ตัวอีก กฎหมายท่านถือว่าเป็นชายโง่บัดซบ ให้จับตัวมาสักรูปอุบาทว์ไว้บนแก้มไปด้วย เพราะรู้อยู่แล้วว่าเมียไม่ดีแต่ก็ยังจะรับกลับไปครองคู่อยู่กินกัน ในอนาคตก็คงไม่แคล้วต้องมาฟ้องร้องด้วยเรื่องเดิมให้รกศาลเปล่าๆ
ถ้าดูจากกฎหมายนี้จะเห็นว่าสังคมไทยเราไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงเอาเสียเลย ผู้ชายจะมีเมียมากถึงขนาดเป็นฮาเร็ม กฎหมายก็ไม่ว่า แต่หากผู้หญิงทำบ้าง กลับมีโทษหนักถึงขั้นแห่ประจานให้ตายทั้งเป็นไปตลอดชีวิต