หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช (18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446-5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549) อดีตนายตำรวจชื่อดังของวงการตำรวจไทย ซึ่งท่านมีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่างๆของไทย ในภาคกลางเช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร ที่พัทลุง ปราบ เสือสังหรือเสือพุ่ม ที่นราธิวาส ปราบผู้ร้ายทางการเมือง ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ “อะเวสะดอตาเละ” จนท่านได้ฉายาว่าจากชาวไทยมุสลิมว่า “รายอกะจิ” ซึ่งแปลว่า อัศวินพริกขี้หนู จากผลงานที่ท่านสามารถปราบโจร เสือร้ายต่างๆ ได้มากมาย จึงได้รับฉายา ดังต่อไปนี้

นายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า
นายพลตำรวจหนวดเขี้ยว
ขุนพันธ์ฯ ดาบแดง (เชื่อกันว่าเป็นดาบที่ตกทอดมาจาก พระยาพิชัยดาบหัก ฝักดาบมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้ม ตัวดาบมีความคมกล้ายิ่งนัก )
รายอกะจิ (อัศวินพริกขี้หนู) ฯลฯ
จอมขมังเวทย์

ประวัติ

พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือชื่อเดิมว่า บุตร พันธรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ที่บ้านอ้ายเขียว หมู่ที่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เริ่มเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดสวนป่าน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เนื่องจากท่านมีความรู้ในวิชาเลขและหนังสืออยู่แล้วก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ดังนั้นเมื่อเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่ 1 ได้ 1 วัน ทางโรงเรียนก็เลื่อนชั้นให้เรียนในชั้นประถมปีที่ 2 และวันรุ่งขึ้นก็เลื่อนชั้นให้เรียนชั้นประถมปีที่ 3 เป็นอันว่าท่านเข้าโรงเรียนได้เพียง 3 วัน ได้เลื่อนชั้นถึง 3 ครั้ง

เมื่อครั้งเรียนชั้นประถมปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสวนป่าน มีพระภิกษุอินทร์ รัตนวิจิตร เป็นผู้สอน เรียนอยู่ประมาณ 2 เดือน โรงเรียนนั้นก็ถูกยุบ ท่านจึงเข้าเรียนในชั้นเดิม ที่โรงเรียนวัดพระนคร ตำบลพระเสื้อเมือง (ปัจจุบันคือตำบลในเมือง) อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช มีครูเพิ่ม ณ นคร เป็นครูประจำชั้น เรียนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน ในปี พ.ศ. 2456 ได้เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (โรงเรียนเบจมราชูทิศในปัจจุบัน)

พอเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะป่วยเป็นโรคคุดทะราด ต้องพักรักษาตัวปีกว่า เมื่อหายจึงคิดจะกลับมาศึกษาต่อที่โรงเรียนเดิมแต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และปีที่ 3 แล้ว จึงเปลี่ยนใจเดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2459 โดยไปอยู่กับพระปลัดพลับ บุณยเกียรติ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า ที่วัดส้มเกลี้ยง (วัดราชผาติการาม) ได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปั้จจุบัน)เข้าเรียน พ.ศ. 2461 เลขประจำตัว บ.บ. 1430 ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ขณะเรียนที่โรงเรียนนี้ท่านได้เรียนวิชามวย ยูโด และยิมนาสติกจากครูหลายคน เช่น ครูย้อย ครูศิริ ครูนก ครูมณี จนมีความชำนาญในเชิงมวย ท่านสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 ในปี พ.ศ. 2467

ต่อมาในปี พ.ศ. 2468 จึงได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ขณะที่เรียนได้เป็นครูมวยไทยด้วย เรียนอยู่ 5 ปี สำเร็จหลักสูตรในปี พ.ศ. 2472

พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นคนสุดท้ายของประเทศไทยที่ได้รับพระราชทานทินนาม ซึ่งพลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้ายโรคชรา ในวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2549 เวลา 23.27 น. ที่บ้านเลขที่ 764/5 ซ.ราชเดช ถ.ราชดำเนิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช


ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช Re: ประวัติขุนพันธรักษ์ราชเดช
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2009, 11:27:43 AM »


ประวัติการทำงาน

หลังจากจบการศึกษาแล้ว ทางราชการได้แต่งตั้งให้ไปรับราชการในตำแหน่งนักเรียนทำการนายร้อย ที่กองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา ในปี พ.ศ. 2473 เป็นนักเรียนทำการอยู่ 6 เดือน ได้เลื่อนยศเป็นว่าที่ร้อยตรี

ในปี พ.ศ. 2474 ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับหมวดที่กองเมืองจังหวัดพัทลุง ที่พัทลุงนี่เองท่านได้สร้างเกียรติประวัติในตำแหน่งหน้าที่ จนเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงราชการและคนทั่วไป โดยการปราบปรามผู้ร้ายสำคัญของจังหวัดพัทลุง คือ เสือสัง หรือเสือพุ่ม ซึ่งเป็นเสือร้ายที่แหกคุกมาจากเมืองตรัง ขุนพันธรักษ์ราชเดช เล่าว่า เสือสังนี้มีร่างกายใหญ่โต ดุร้าย และมีอิทธิพลมาก มาอยู่ในความปกครองของกำนันตำบลป่าพยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง นอกจากนั้นแล้วยังมีคนใหญ่คนโตหลายคนให้ความอุ้มชูเสือสัง จึงทำให้เป็นการยากที่จะปราบได้ แต่ท่านก็สามารถปรามเสือสังได้ในปีแรกที่ย้ายมารับราชการ โดยท่านไปปราบร่วมกับ พลตำรวจเผือก ด้วงชู มี นายขี้ครั่ง เหรียญขำ เป็นคนนำทาง การปราบปรามเสือสังครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก ตอนนั้นจเรพระยาศรีสุรเสนา ไปตรวจราชการตำรวจที่พัทลุงพอดี ผู้ปราบเสือสังจึงได้รับความดีความชอบ คือ ว่าที่ร้อยตำรวจตรีบุตร พันธรักษ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นร้อยตำรวจตรี พลตำรวจเผือก ชูด้วง เป็นสิบตรี และนายขี้ครั่ง ได้รับรางวัล 400 บาท

หลังจากนั้นมาอีก 1 ปี ท่านก็ได้ปราบผู้ร้ายสำคัญอื่นๆ 16 คน เช่น เสือเมือง เสือทอง เสือย้อย เป็นต้น ด้วยความดีความชอบ จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช" และในปี พ.ศ. 2478 ได้รับเลื่อนยศเป็นนายร้อยตำรวจโท และในปีนี้ได้อุปสมบทที่วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีท่านเจ้าคุณรัตนธัชมุนี (แบน) เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชอยู่ได้ 1 พรรษา จึงลาสิกขา ในปี พ.ศ. 2479 ท่านได้ย้ายไปเป็นหัวหน้ากองตรวจ ประจำกองบังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช ประจำจังหวัดสงขลา ได้ปราบโจรผู้ร้ายหลายคน

การปราบโจรครั้งสำคัญและทำให้ท่านมีชื่อเสียงมากคือ การปราบผู้ร้ายทางการเมืองที่นราธิวาส ในปี พ.ศ. 2481 หัวหน้าโจรชื่อ "อะแวสะดอ ตาเละ" นัยว่าเป็นผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน เที่ยวปล้นฆ่าเฉพาะคนไทยพุทธเท่านั้น ในที่สุดก็ถูกขุนพันธ์ฯ จับได้ ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมเป็นอันมาก ท่านจึงได้รับฉายาจากชาวไทยมุสลิมว่า "รายอกะจิ" หรือแปลว่า "อัศวินพริกขี้หนู" และได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจเอกในปีนั้นเอง พ.ศ. 2482 ขุนพันธ์ฯ ได้ย้ายมาเป็นผู้บังคับกองเมืองพัทลุง ปี พ.ศ. 2485 ย้ายเป็นรองผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ปราบปรามโจรหลายราย รายสำคัญ คือ เสือสาย และเสือเอิบ

ขุนพันธรักษ์ราชเดช ถือดาบและเหน็บกริช แสดงลายนายตำรวจมือปราบหนวดเฟิ้มหลังจากนั้นขุนพันธ์ฯ ได้ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดในภาคอื่น คือ ในปี พ.ศ. 2486 ได้ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร ได้ปฏิบัติหน้าที่มีความดีความชอบเรื่อยมา และได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายมากมาย ที่สำคัญคือการปราบ เสือโน้ม หรืออาจารย์โน้ม จึงได้รับพระราชทานยศเป็นพันตำรวจตรี พ.ศ. 2489 ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท ได้ปะทะและปราบปรามเสือร้ายหลายคน เช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ เสืออ้วน เสือดำ เสือไหว เสือมเหศวร เป็นต้น กรมตำรวจได้พิจารณาเห็นว่า ผู้ร้ายในเขตจังหวัดชัยนาทและสุพรรณบุรี ชุกชุมมากขึ้นทุกวันยากแก่การปราบปรามให้สิ้นซาก จึงได้ตั้งกองปราบพิเศษขึ้น โดยคัดเลือกเอาเฉพาะนายตำรวจที่มีฝีมือในการปราบปรามรวมได้ 1 กองพัน แต่งตั้งให้ พ.ต.ต. สวัสดิ์ กันเขตต์ เป็นผู้อำนวยการกองปราบ และ พ.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นรองผู้อำนวยการ กองปราบพิเศษได้ประชุมนายตำรวจที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2489 เพื่อวางแผนกำจัดเสือฝ้าย แต่แผนล้มเหลว ผู้ร้ายรู้ตัวเสียก่อน ขุนพันธ์ฯ ได้รับคำสั่งด่วนให้สกัดโจรผู้ร้ายที่จะแตกเข้ามาจังหวัดชัยนาท

ครั้งนั้นขุนพันธ์ฯ ใช้ดาบเป็นอาวุธคู่มือแทนที่จะใช้ปืนยาว ดาบนั้นถุงผ้าแดงสวมทั้งฝักและด้าม คนทั้งหลายจึงขนานนามท่านว่า "ขุนพันธ์ดาบแดง" ฝีมือขุนพันธ์ฯ เป็นที่ครั่นคร้ามของพวกมิจฉาชีพทั่วไป แม้แต่เสือฝ้ายเองก็เคยติดสินบนท่านถึง 2,000 บาท เพื่อไม่ให้ปราบปราม แต่ขุนพันธ์ฯ ไม่สนใจ คงปฏิบัติหน้าที่อย่างดีจนปราบปรามได้สำเร็จ ท่านอยู่ชัยนาท 3 ปี ปราบปรามเสือร้ายต่างๆ สงบลง แล้วได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรที่อยุธยา อยู่ได้ประมาณ 4 เดือนเศษก็เกิดโจรผู้ร้ายชุกชมที่กำแพงเพชร ขณะนั้นเป็นระยะเปลี่ยนอธิบดีกรมตำรวจ และขุนพันธ์ฯ ก็ถูกใส่ร้ายจากเพื่อนร่วมอาชีพว่าเป็นโจรผู้ร้าย พล.ร.ต. หลวงสังวรยุทธกิจ อธิบดีกรมตำรวจยังเชื่อมั่นว่าขุนพันธ์ฯ เป็นคนดี จึงโทรเลขให้ไปพบด่วน และแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร

เมื่อปี พ.ศ. 2490 ขุนพันธ์ฯ ได้ปรับปรุงการตำรวจภูธรของเมืองนี้ให้มีสมรรถภาพขึ้น และได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายต่างๆ ที่สำคัญคือ เสือไกร กับ เสือวัน แห่งอำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ทำให้ฝีมือการปราบปรามของขุนพันธ์ฯยิ่งลือกระฉ่อนไปไกล

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

ย้ายกลับพัทลุง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 ทางจังหวัดพัทลุงมีโจรผู้ร้ายกำเริบชุกชุมขึ้นอีก ราษฎรชาวพัทลุงนึกถึงขุนพันธ์ฯ นายตำรวจมือปราบ เพราะเคยประจักษ์ฝีมือมาแล้ว จึงเข้าชื่อกันทำหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมตำรวจ ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอตัวขุนพันธ์ฯ กลับพัทลุงเพื่อช่วยปราบปรามโจรผู้ร้าย กรมตำรวจอนุมัติตามคำร้องขอ ขุนพันธ์ฯ จึงได้ย้ายมาเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุงอีกวาระหนึ่ง ได้ปราบปรามเสือร้ายที่สำคัญๆสิ้นชื่อไปหลายคน ผู้ร้ายบางรายก็หนีออกนอกเขตพัทลุงไปอยู่เสียที่อื่น นอกจากงานด้านปราบปรามซึ่งเป็นงานที่ท่านถนัดและสร้างชื่อเสียงให้ท่านเป็นพิเศษแล้ว ท่านยังได้พัฒนาเมืองพัทลุงให้เป็นเมืองท่องเที่ยว โดยปรับปรุงชายทะเลตำบลลำปำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และให้มีตำรวจคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารรถไฟที่เข้าออกเมืองพัทลุง ทำให้เมืองพัทลุงในสมัยที่ท่านเป็นผู้กำกับการตำรวจ มีความสงบสุขน่าอยู่ขึ้นมาก ตำรวจที่ทำหน้าที่ดังกล่าวได้เลิกไปเมื่อกรมตำรวจจัดตั้งกองตำรวจรถไฟขึ้น ด้วยความดีความชอบในหน้าที่ราชการ ท่านจึงได้รับพระราชทานเลื่อนยศ เป็นพันตำรวจโทในปี พ.ศ. 2493 ท่านอยู่พัทลุงได้ 2 ปีเศษ จนถึง พ.ศ. 2494 จึงได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2503 จึงดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลตำรวจตรี จนกระทั่งเกษียณอายุในปี พ.ศ. 2507

ครั้งหนึ่งเคยมีคำขวัญอันคมคายของกรมตำรวจอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" นี่เป็นถ้อยคำที่เกิดขึ้นในยุคอัศวินแหวนเพชรเฟื้อง ในสมัยของท่านอธิบดีฯ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ปกครองกรมตำรวจ วีรบุรุษผู้สร้างเกียรติประวัติให้กรมตำรวจนั้นมีอยู่มาก มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่ในยุคสมัยที่ท่าน อธิบดีกรมตำรวจหลวงอดุลย์เดชจรัสนั้นนามของ"ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ระบือลือลั่นสุดยอดแผ่นดินด้ามขวานทอง แม้ท่านขุนพันธ์จะปลดเกษียณราชการไปนานปี แล้วก็ตาม แต่ชื่อของท่านยังอยู่ในความทรงจำของกรมตำรวจและประชาชนทั่วไป นั่นเป็นเพราะผลงานอันน่าอัศจรรย์ของท่าน กลายเป็นผลงานอันยากยิ่งที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ควรค่าแก่การบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนเมืองใต้และคนของแผ่นดิน

พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ที่บ้านในซอยราชเดช ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุได้ 108 ปี

เกียรติประวัติ

ชีวิตของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นชีวิตที่มีค่าของแผ่นดินเมืองใต้และเมืองไทย ลมหายใจของท่านเคยโลดแล่นอยู่ท่ามกลางหมู่โจรผู้ร้าย ไม่เฉพาะแต่ผู้ร้ายในภาคใต้เท่านั้น แต่ที่ไหนประชาชนเดือดร้อนจากโจรผู้ร้ายชุกชุม ตำรวจคนอื่นปราบปรามไม่สำเร็จ กรมตำรวจจะต้องส่งตัวขุนพันธ์ฯ ไปปราบปรามทุกถิ่นที่มีครั้งหนึ่ง พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 ท่านเคยเดินทางมาตรวจสืบราชการลับที่เกาะสมุย ขุนพันธ์ฯท่านชอบดูมวย วันนั้นท่านไปยืนดูมวยอยู่ข้างเวที บังเอิญถอยหลังไปเหยียบเท้านางพล้อยเข้าโดยไม่ตั้งใจ ป้าพล้อยแกเป็นคนปากจัด ใครแตะเป็นด่าไม่ไว้หน้า แกก็ด่าขุนพันธ์ฯ ขุนพันธ์ฯก็วางเฉยไม่โต้ตอบอะไร มีคนรู้จักกันเข้าไปเตือนสติป้าพล้อยว่า "คนที่ป้าด่าอยู่นั้นรู้มั๊ยว่าเป็นใครนั่นแหละขุนพันธ์ฯ" พอได้ยินชื่อขุนพันธ์ฯเท่านั้น ป้าพล้อยแกเงียบเป็นเป่าสาก รีบก้มหน้างุดๆ เดินมุดผู้คนหนีไปโดยไม่เหลียวหลังมาอีกเลย คำบอกเล่าสั้นๆนี้ทำให้เห็นว่า ขุนพันธ์ฯ ท่านมีตบะสูง เพียงได้ยินว่าเป็นขุนพันธ์เท่านั้น ใครๆก็ขยาดทั้งนั้น เพราะรู้กิตติศัพท์ของท่านมาก่อนนั่นเอง

สมัยที่ขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ก็มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนนั้นมีเสือใหญ่อยู่ 10 ตัว ในจำนวนเสือร้าย 10 ตัวนั้น มีเสือข่อย เสือจ้อย เสือหวน ฯลฯ รวมอยู่ด้วย เสือทั้ง 10 คนนั้น ล้วนเคยเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย เมืองนครศรีธรรมราช ผู้ซึ่งเป็นพระมีวิชาเก่งกล้าทางไสยศาสตร์ หรือกฤตยาคม ขุนพันธ์ฯ เคยเรียนวิชาด้วยผู้หนึ่ง เมื่อท่านขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญระดับภาค ท่านมีประกาศิตสั่งให้ผู้ร้ายทั้ง 10 คนนั้น เลิกประพฤติเยี่ยงโจร ให้กลับใจเลิกเป็นเสือเสีย โดยให้บวชเป็นพระภิกษุ ถ้าหากไม่ทำตามคำขอร้องนั้น ขุนพันธ์ฯ ก็จะยิงทิ้งทุกคน เล่ากันว่าประกาศิตของขุนพันธ์ฯทำให้เสือร้ายส่วนใหญ่ปฏิบัติตามแต่โดยดี มีเพียงเสือข่อยเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมทำตามคำของขุนพันธ์ฯ เสือข่อยไม่ยอมเลือกทางเดินที่ขุนพันธ์ฯเลือกให้ ซ้ำร้ายยิ่งท้าทายอำนาจของกฎหมายบ้านเมือง ด้วยความเชื่อว่า ตนนั้นเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย ผู้เรืองวิชาอาคมแก่กล้า เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกับขุนพันธ์ฯ จึงคิดว่าขุนพันธ์จะยกเว้นไว้สักคนหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ขุนพันธ์ฯ ทำตามที่พูด ว่ากันว่าท่านยิงเสือข่อย แต่ยิงไม่เข้า จึงสั่งให้ลูกน้องฆ่าด้วยศูลแทงสวนทวารจนถึงแก่ความตาย คำเล่าลือเหล่าเสือร้ายในหมู่บ้านของชาวเมืองปักษ์ใต้ มีทั้งเรื่องจริงบ้าง หรือต่อเติมเสริมแต่งของผู้เล่าอ่านเองบ้าง มันคือตำนานอมตะของวีรบุรุษเล็กพริกขี้หนู ที่มีนามว่า "นายร้อยบุตร์ พันธรักษ์ราชเดช" หรือขุนพันธรักษ์ราชเดช ขุนพันธ์ฯ เป็นบุคคลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าตำแหน่งใด ยศใด ยกย่อง นับถือ และกล่าวถึง เนื่องจากท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของตำรวจนั่นเอง

ขุนพันธ์ในฐานะนักการเมือง

ขุนพันธ์รักษ์ราชเดช เคยเป็น ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ จ.นครศรีธรรมราช ในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2512[1]

ขุนพันธ์ในฐานะนักวิชาการ

ขุนพันธ์กับบุตรชาย คุณณสรรค พันธรักษราชเดชนอกจากเกียรติคุณทั้งในและนอกตำแหน่งหน้าที่ราชการดังกล่าวมาแล้ว ขุนพันธ์ฯ ยังมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สำคัญซึ่งควรกล่าวถึงคือ เป็นนักวิชาการที่สำคัญคนหนึ่ง ท่านเป็นทั้งนักอ่านและนักเขียน ได้เขียนเรื่องราวต่างๆ ลงพิมพ์ในหนังสือและวารสารต่างๆ หลายเรื่อง ขุนพันธ์ฯ เป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจในเรื่องไสยศาสตร์อยู่มาก เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ นอกจากนั้นก็มีเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั้งประวัติบุคคลและสถานที่ ตำนานท้องถิ่น มวย และเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง ข้อเขียนต่างๆของท่าน เช่น ความเชื่อทางไสยศาสตร์ในภาคใต้ สองเกลอ ช้างเผือกงาดำ หัวล้านนอกครู ศิษย์เจ้าคุณ มวยไทย เชื่อเครื่อง กรุงชิง เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่องกรุงชิงนั้น ท่านเล่าว่าเป็นเรื่องที่ท่านเขียนทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันตามพระบรมราชโองการ และต่อมามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีได้ขออนุญาตนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใน "รูสมิแล" วารสารของมหาวิทยาลัยปีที่ 6 ฉบับที่ 3 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม พ.ศ. 2526 งานเขียนของท่านส่วนมากจะลงพิมพ์ใน สารนครศรีธรรมราช หนังสืองานเดือนสิบวิชชา (วารสารทางวิชาการของวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช) รูสมิแล (วารสารทางวิชาการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) และหนังสือที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ ของโรงเรียนและหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมทั้งเป็นผู้ริเริ่มให้มีการบวงสรวงพระธาตุนครศรีธรรมราช อันเป็นที่มาของการสร้างจตุคามรามเทพรุ่นแรกในปี พ.ศ. 2530 ด้วย

ในด้านชีวิตครอบครัว ขุนพันธ์ฯ มีภรรยาคนแรกชื่อ เฉลา ตอนนั้นท่านมีอายุได้ประมาณ 30 ปี ขณะที่รับราชการอยู่ที่จังหวัดพัทลุง มีบุตรด้วยกัน 8 คน ต่อมาภรรยาเสียชีวิต ท่านจึงได้ภรรยาใหม่ชื่อ สมสมัย มีบุตรด้วยกัน 4 คน

อ้างอิง .http://th.wikipedia.org/wiki

ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

ดาบแดงหรือดาบเหล็กน้ำพี้
ประการแรก ดาบเล่มนี้เป็นของพระยาพิชัยหรือไม่

ประการที่สองเป็นดาบคู่ที่ใช้รบ หรือดาบเดี่ยวที่ใช้ถือ

ประการที่สาม ใครเป็นผู้ปลุกเสกและลงอาคมในดาบ

ประการที่สี่ ท่านขุนพันธ์ ท่านได้รับดาบเล่มนี้มาจากใคร และมีจำนวน กี่เล่มกันแน่

และประการสุดท้าย เจาะลึกเรื่องเหล็กน้ำพี้ มีพลังอำนาจเร้นลับ ในการนำมาสร้างดาบ อย่างไรบ้าง

ที่มาของการเรียก ดาบเหล็กน้ำพี้นี้ว่าดาบแดง มาจากการที่ท่านขุนพันธ์เห็นว่าดาบเหล็กน้ำพี้ เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ จึงนำผ้าแดง มาเย็บเป็นถุง หรือซองผ้า สวมทับดาบ ไว้อีกชั้น

หากไม่จำเป็นท่านก็จะไม่นำดาบออกมาจากซองผ้าสีแดง อีกทั้งเป็นการป้องกันสิ่งสกปรก ที่ไม่ควรให้เกิดแก่ดาบอาคม ซึ่งท่านอาจจะเผลอเรอ นำไปวางไว้ที่ใดที่หนึ่ง โดยไม่ตั้งใจ

สาเหตุที่ใช้ผ้าสีแดงนั้น มีผู้รู้ได้อธิบายไว้ว่า หากเราต้องการเพิ่มความเข้มขลัง ให้กับเครื่องรางของขลัง

ตามตำรา ในอาถรรพเวท ของอินเดียโบราณจะใช้ผ้าสีแดงเป็นหลัก อาจจะใช้สีขาวบ้าง สุดแท้แต่ว่าเครื่องราง ของขลังนั้นจะเป็นอะไร เราจะเห็นว่า แม้แต่ผ้ายันต์ หรือเสื้อยันต์ก็นิยม ใช้ผ้าสีแดง

สำหรับผ้าสีเหลือง ที่นิยมนำมาใช้ในตอนหลังนั้น น่าจะมาจาก ความเชื่อตามคตินิยม ของชาวพุทธที่ว่าสีเหลือง เป็นสีของธงชัยพระอรหันต์

สำหรับประเด็นแรกที่ว่า ดาบแดงนี้ เป็นดาบ ของพระยาพิชัยดาบหักหรือไม่ ..เรื่องนี้ มีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่า จากข้อมูลที่ตรงกัน ท่านขุนพันธ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับบุคคลหลายท่านว่า ดาบนี้ เป็นดาบ ที่ท่านได้รับมาจาก หลวงกล้า กลางณรงค์ ที่เดินทางมารับราชการที่พิจิตร ในสมัยเดียวกับท่านขุนพันธ์

โดยท่านขุนพันธ์ ได้ฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรมกับหลวงกล้า กลางณรงค์

ก่อนที่หลวงกล้า ท่านจะมอบดาบแดง หรือดาบเหล็กน้ำพี้ ซึ่งเป็นดาบประจำตระกูล เล่มนี้ ให้กับท่านขุนพันธ์ไว้เป็นที่ระลึก

ซึ่งตามธรรมเนียมโบราณหากใครเป็นลูกบุญธรรม ผู้เป็นพ่อก็จะมอบของสำคัญของตน ตามความเหมาะสม ของฐานะ ของผู้ให้ และผู้รับ

และจากการสืบข้อมูล หลวงกล้า กลางณรงค์ผู้นี้ ท่านเป็นผู้สืบเชื้อสาย มาจากต้นตระกูล ของพระยาพิชัยดาบหัก จังหวัดอุตรรดิตถ์

โดยมีตระกูลเดิมว่า วิชัยขัขันทคะ

ซึ่งเป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่6 ที่พระราชทานให้กับ ผู้ที่สืบเชื้อสาย ของพระยาพิชัย

หากเป็นดังนี้จริง ดาบแดงก็น่าจะเป็นดาบของพระยาพิชัยดาบหัก แน่นอน

ประเด็นที่สอง ที่ว่า ดาบแดงเป็นดาบคู่ หรือดาบเดี่ยว จากข้อมูลที่สืบค้นจากจังหวัดพิจิตร และมีบุคคลยืนยันว่าดาบแดงเล่มนี้ เป็นดาบเหล็กน้ำพี้จริง แต่เป็นดาบเดี่ยว หรือดาบเล่มเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ดาบคู่ อย่างที่เข้าใจกัน

ดาบเหล็กน้ำพี้ของแท้นั้นจะไม่เป็นสนิมง่าย และถ้าจะให้ดี ต้องใช้ดาบสะกิด ดื่มเลือดผู้ที่เป็นเจ้าของก่อน เป็นเคล็ดที่ทำให้ดาบ มีความเข้มขลัง เมื่อออกศึกมามากเท่าใด ก็จะทำให้สีของดาบ มีสีเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น เป็นสีเขียวคล้ำ คมวาว เป็นสีน้ำตาลอมดำฝังแน่น บาง ทีเรียกว่าสีปีกแมลงทับ

ใครที่จับดาบน้ำพี้แล้ว จะฮึกเหิม อยากจะใช้งาน หรือออกศึกเป็นอาวุธที่ทรงพลังมากแม้แต่ นักรบของอยุธยาก็ยังใฝ่หาดาบที่สร้างจากเหล็กน้ำพี้ เพราะไม่เพียงใช้เป็นอาวุธ ยังสามารถ ใช้เป็นเครื่องรางได้ด้วย

หากเวลา มีภัย มาถึงตัว ดาบจะสั่น หรือบางทีขยับ เลื่อนออกจากฝัก บอกให้เจ้าของรู้ตัว การตีดาบ ต้องกระทำกลางแจ้ง และเนื่องจากอณูมวลสาร ของดาบเหล็กน้ำพี้โดยธรรมชาติ จะขยับหนี หรือแยกตัวออกในขณะที่โดนความร้อน ดังนั้นผู้ตีดาบ จึงต้องมีคาถาอาคมกำกับ มิฉะนั้นจะตีดาบ ทำดาบไม่สำเร็จ

ประการสำคัญบ้างก็ว่าดาบเหล็กน้ำพี้ของพ่อหลิม หรือเสือไท ได้มอบให้แก่ลูกศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งไปแล้ว แต่จะเป็นท่านขุนพันธ์หรือไม่ไม่มีใครทราบ

จึงทำให้ยังไม่แน่ใจด้วยว่าดาบของท่านขุนพันธ์นี้เป็นของหลวงกล้ากลางณรงค์ หรือ พ่อหลิมอาจารญของท่านขุนพันธ์กันแน่

และประการสุดท้าย ใครเป็นผู้ปลุกเสกดาบลงอาคมให้ท่านขุนพันธ์ ในสมัยที่อยู่ที่จังหวัดพิจิตร หลวงตาแวว ลูกศิษ์ ก้นกุฎิ ของหลวงปู่ศุข ท่านเป็นผู้ปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ ให้แด่ท่านขุนพันธ์

แต่คุณฉันทิพย์ ลูกสาวของท่านขุนพันธ์ ได้เล่าไว้ว่า สมัยที่ท่านขุนพันธ์ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเล่าไว้ว่า ท่านผู้ที่ปลุกเสกดาบให้ท่านขุนพันธ์ คือ พระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ดาบเหล็กน้ำพี้ ซึ่ง เข้าใจว่าน่าจะเป็นดาบของพระยาพิชัยนี้ ก็จะได้ผ่านการปลุกเสกมาถึงสองครั้ง จากสองเกจิอาจารย์ ผู้เป็นลูกศิษย์ ของหลวงปู่ศุขดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งไม่ใช่การปลุกเสกของหลวงปู่ศุขเองแน่นอน เพราะท่านได้มรณะภาพไปก่อน นานแล้ว..

ท่านขุนพันธ์ เรียกวิญญาณ มาจับโจร

ท่านขุนพันธ์ ท่านได้เคยให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ ไว้อย่างชัดเจนว่าปาฎิหารย์มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เรื่องล่องหนหายตัว เป็นเรื่องที่มีผู้ที่กระทำได้จริง

ซึ่งคำพูดของท่านขุนพันธ์ อาจทำให้ผู้บังคับบัญชา รวมทั้งตำรวจสมัยใหม่ หลายๆคนเกิดความสับสน ไม่แน่ใจ

แต่ทุกครั้ง ที่มีคนถามเรื่องนี้ ท่านขุนพันธ์ ก็จะยืนยันทุกครั้ง ว่าไสยศาสตร์มีจริง หมื่นเปอร์เซ็นต์

เช่นเดียวกับการเรียกวิญญาณคนตาย หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่าวิชาหมอผี ก็เป็นเรื่องจริง ที่ท่านขุนพันธ์ได้ใช้ วิชานี้ ในการจับโจรมาหลายต่อหลายครั้ง

จนถึงขนาดว่ามีลูกน้องใต้บังคับบัญชา พากันเรียก และขนานนามท่านว่า ขุนพันธ์ หมอผี

ท่านขุนพันธ์ จึงเป็นจึงเป็นนักไสยศาสตร์ครบเครื่องเพราะไม่เพียงแต่จะอยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียว กระดูกดี แต่ท่านยังรอบรู้วิชาโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์แบบอื่นๆอีกด้วย

มองไปชีวิตของท่านขุนพันธ์ก็ดูจะไม่ต่างไปจากชีวิตของ ขุนแผน เพราะสามารถทำอะไร ในทางไสยศาสตร์ได้สารพัด ซึ่งในตำนาน ขุนแผนก็เคยใช้วิชา โหงพราย -ผีพราย ในการรบทัพจับศึกที่ได้ผลมาแล้วเช่นกัน

และที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของการใช้วิญญาณ มาช่วยจับโจรผู้ร้าย ที่ขุนพันธ์ท่านเคยทำมาแล้วจริงๆ

ในปีพ.ศ. 2485 ซึ่งเป็นช่วงต้นๆ ของสงครามโลกครั้งที่2 ท่านขุนพันธ์ ท่านย้ายจากพัทลุง ไปดำรงค์ตำแหน่ง รองผู้บังคับกองตำรวภููธร ที่จังหวัดสุราษร์ธานี

และที่นี่เองเป็นที่ๆเกิดเหตุของเรื่องราว มีคดีสำคัญเกิดขึ้น เสือสาย โจรร้ายภาคกลาง ที่อพยพมาจาก จังหวัดปทุม พร้อมกับพรรคพวก ราวๆประมาณ 30ครอบครัว มาตั้งรกรากอยู่ที่ หมู่บ้านบางใบไม้ ตำบลมะขามเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

โดยเสือสายเป็นผู้ที่มีวิชาไสยศาสตร์พอตัว หลายๆคนเล่าลือกันว่าเป็นไสยศาสตร์ของชาวมอญ

เสือสายเป็นผู้ที่มีจิตใจเหี้ยมโหด ไม่เกรงกลัว ต่อกฏหมาย ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นกลุ่มโจรที่มาอาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นจำนวนมาก ทำให้เสือสาย สามารถแผ่อิทธิพลได้มาก และไม่เกรงกลัวใคร

ความเหิมเกริมของเสือสาย ถึงขั้นลงมือ ฆ่าตำรวจผู้เเป็นลูกน้องของท่านขุนพันธ์ ที่มีชื่อว่า พลฯ สังวรณ์ถึงแก่ความตาย ขณะนำหมายศาลไปส่งให้กับเมีย ของเสือสาย

เรื่องนี้ สร้างสร้างความโกรธแค้นให้กับขุนพันธ์เป็นอย่างมาก ถึงกับออกตามล่าเสือสายด้วยตนเอง และสาบานว่าจะต้องนำตัวเสือสาย มาลงโทษให้ได้

การฆ่าตำรวจตายนั้น เกิดจากเสือสาย เข้าใจผิดคิดว่าตำรวจท่านนั้น เป็นท่านขุนพันธ์ เขาจึงจ้วงแทงไม่นับ กะให้ตายคามือ โดยกระหน่ำแทงนับสิบแผล

หลังจากนั้นเมื่อทราบว่าตำรวจที่ถูกฆ่าตายนั้นไม่ใช่ ท่านขุนพันธ์ อย่างที่เข้าใจ เสือสายก็หนีไปหลบซ่อนตัวที่อื่น

แต่ยังไม่วายปากดี ท้าทายให้ท่านขุนพันธ์ ตามไปจับ โดยประกาศว่าหากเจอตัวขุนพันธ์เมื่อใด จะใช้ขวานประจำตัว ทุบศีรษะ ให้ตายคามือ

คำท้าทายนี้ยิ่งสร้างความโกรธแค้น ให้กับขุนพันธ์เป็นทวีคูณ

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงตัดสินใจ ใช้เคล็ดวิชา เรียกวิญญาณผีตายโหง มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นครั้งแรก

โดยท่านขุนพันธ์ ได้ประกอบพิธีเรียกวิญาณของพลฯสังวรณ์ ผู้ที่ถูกเสือสาย ฆ่าตาย ให้มาร่วมตามล่าเสือสายด้วยกัน

เพราะท่านรู้เคล็ดลับวิชา ในการเรียกผีตายโหง ซึ่งเป็นวิญญาณที่ตายก่อนอายุขัย ย่อมมีความแค้น และเสียดายชีวิต ของตนเอง ที่ไม่มีโอกาส ไปผุดไปเกิดได้ทันที และต้องทนทุกทรมานอย่างมาก

ท่านขุนพันธ์เล่าว่า นอกจากจะต้องใช้เครื่องเซ่น พวกอาหารคาวหวาน ข้าวปากหม้อ และปลาเป็นตัว มาเซ่นผีตายโหงแล้ว ยังต้องใช้วิชากำกับ เรียกเชิญให้มา โดยต้องดูฤกษ์ยามด้วย

ผลของการเรียกผีตายโหงในครั้งนั้น ถึงกับทำให้ตำรวจหลายๆคน จับไข้หัวโกร๋น เพราะในขบวนตามล่าเสือสาย มีผู้พบเห็นวิญญาณของพลฯสังวรณ์ ติดตาม นำขบวนไปด้วย

ไม่ว่าจะเดินทาง ทางบก หรือทางน้ำ เดินทางทางบกก็มีคนเห็นพลฯสังวรณ์ เดินนำหน้า ไปทางเรือ ก็มีคนเห็นพลฯสังวรณ์ นั่งสงบอยู่ที่หัวเรือ เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดเวลาที่ตามล่าเสือสาย

จนในที่สุดวิญญาณของ พลฯสังวรณ์ก็ดลจิตดลใจ ให้ท่านขุนพันธ์ ได้ติดตามไปจนพบเสือสาย เกิดการต่อสู้ และสามารถจับเสือสายได้ ในสภาพบอบช้ำ จากการต่อสู้

จนเสือสายถึงกับเป็นไข้ แต่ด้วยความใจเด็ด เสือสายไม่เคยจะร้องโอดโอย หรือแสดงความเจ็บปวดใดๆเลย และได้เสียชีวิต ในเวลาต่อมาภายหลังจากท่านขุนพันธ์ส่งตัวเสือสายเข้าห้องขังแล้ว ไม่นาน

ท่านขุนพันธ์ ได้นำกระโหลกของเสือสาย มาทำ ที่เขี่ยบุหรี่ ซึ่งอาจจะเป็นความแค้นไม่หาย ที่เสือสายบังอาจมาฆ่าตำรวจ

หรืออาจจะเป็นเคล็ดลับ สะกดวิญญาณของเสือสาย โจรร้ายที่มีวิชาไสยศาสตร์ ของมอญก็อาจจะเป็นได้

ท่านขุนพันธ์ ได้เเคยเขียนถึงเรื่องการเรียกผีหรือวิญญาณ ไว้ในหนังสือความเชื่อทางไสยศาสตร์ ของชาวปักษ์ใต้ ตีพิมฑ์ในหนังสือวิชชาของวิทยาลัยครูพระนครศรีธรรมราชว่าการเรียกผี ต่างจากการทรงเจ้า

โดยการทรงเจ้าเป็นการทำพิธี เพื่อเชิญมาด้วยความเคารพ

แต่การเรียกผี เป็นการใช้อำนาจ เพื่อเรียกผีมาใช้ ทำตามคำสั่ง หรือเรียกวิญญาณ มาสอบถามเรื่องราวที่อยากรู้

ท่านขุนพันธ์ ยังได้เล่าถึงผีนางไม้บางชนิด เช่นผีนางตะเคียน ผีนางตานี และผีนางประดู่ว่า ผีนางตะเคียนมีจริง แต่มีอยู่ในต้นตะเคียน บางต้น

ผีนางตะเคียน มีรูปร่างผิวกายค่อนข้างคล้ำ หรือมีผิวสองสี ดุมาก

ผีนางประดู่ มีผิวขาวเหลือง ใจดี

ในขณะที่ผีนางตานี มีความสวยงาม และใครก็ตามที่ได้ร่วมประเวณี กับผีเหล่านี้ จะขาดใจตาย กลายเป็นผัวผีทันที

สุดยอดของขลัง ให้แม่เหยียบหัว สยบไสยดำ

ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของช่วงหนึ่งในชีวิต ของท่านขุนพันธ์ ที่ถือเป็นจุดที่สำคัญ
อะไรคือสุดยอดของขลังที่ท่านขุนพันธ์ใช้สยบไสยดำ ของ อะแวสะดอ ตาและ ขุนโจรชาวมุสลิม ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์ มนต์ดำ ผู้มีสันดานโจน ใจคอโหดร้ายจนไม่มีผู้ใด กล้าแตะต้อง

สิ่งที่ท่านขุนพันธ์ท่านใช้ในการแก้เคล็ด สยบไสยดำนี้ คือการให้มารดาบังเกิดเกล้าของ ท่านใช้เท้าขยี้ลงไปบนศีรษะของตนเองสามรอบ เพื่อเป็นศิริมงคล และเพื่อเป็นการ ทำลายความอาถรรพ์ในตัว ของอะแวสะดอ ตาและ

ด้วยเหตุนี้ จอมวายร้าย อย่างอะแวสะดอตาและ จึงไม่อาจสู้ท่านขุนพันธ์ได้ ไสยเวทมนต์ดำ ที่มันมีอยู่ เครื่องราง ของขลังหลายอย่าง ที่มันใช้ติดตัว จึงมีอันเสื่อมสลายไป เพราะถึงแม้กระสุนปืน ของท่านขุนพันธ์จะทำอะไร อะแวสะดอ ตาและไม่ได้ แต่มันก็หมดเรี่ยวแรง เปลี่ยนสภาพ จากเสือร้าย กลายเป็นแมว ยอมให้จับกุม ในที่สุด

การให้แม่ใช้เท้าขยี้ศีรษะนี้ เพราะท่านขุนพันธ์ถือความกตัญญูเป็นสิ่งสูงสุด ฝ่าเท้าของแม่ เทียบเท่าฝ่าเท้าของพระอรหันต์หรือ พระพรหม วิชาความรู้ใดๆที่เรียนมาย่อมต่ำกว่าเสมอ

วิธีการถือเคล็ดแบบนี้ มีมาแต่โบราณกาล นักรบโบราณขอเศษชายผ้าถุงแม่ หรือขอชานหมากของพ่อติดตัวไป ก่อนไปออกสนามรบ ก็ล้วนเกิดปาฎิหารย์มากมาย

ย้อนกลับไปช่วงเวลา ที่ท่านขุนพันธ์ ต้องปราบโจร อะแวสะดอ ตาและ ตรงกับปี พ.ศ. 2481ซึ่งเป็นช่วงเวลา ที่ท่านขุนพันธ์ จัดว่ามีความรู้ทางด้าน ไสยศาสตร์เต็มตัว ส่วนอะแวสะดอ ตาและ เป็นจอมโจร แห่งเทือกเขาบูโด มีความเชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ อย่างหาตัวจับ ยาก

ทั้งๆที่เป็นชาวมุสลิม เขาสามารถรูดโซ่ตรวน สะเดาะกุญแจ แคล้วคลาด คงกระพัน ตัวเขามีของขลังติดตัวอยู่5ชนิด คือ ตับเหล็ก เคราทองแดง ช้องหมูป่า ผ้าประเจียด และกริชอาคม

อะแวสะดอตาและ มีพฤติกรรมการปล้นฆ่าที่น่ากลัวมาก เลือกปล้นเฉพาะคนไทย ฆ่าเจ้าทรัพย์ทุกราย โดยวิธีใช้กริชแทงคอ หมุนเอาหลอดลมออกมา และบางรายเขาก็จะใช้กริช ขว้านท้องดึงไส้ออกมา ซึ่งเขาจะเลือกฆ่าเฉพาะคนไทยพุทธเท่านั้น กว่าทางตำรวจจะจัดการกับเขาได้ ต้องใช้เวลาตามจับอยู่นาน

ท่านขุนพันธ์ เล่าไว้ว่าตอนที่ยิงต่อสู้กันนั้น อะแวสะดอ ตาและ แกล้งทำเป็นตาย เพราะถูกตำรวจ ล้อมไว้ แต่พอถูกจับได้ เขากลับอ้าปากคลายกระสุน ออกมาให้ดู9นัด หน้าตาเฉย

เขาจึงเป็นโจรไสยศาสตร์อีกคนหนึ่งที่อาวุธของท่านขุนพันธ์ไม่สามารถ ทำอะไรได้

ว่ากันว่าอะแวสะดอตาและนี่ เวลาเกิดคุ้มคลั่งของขึ้นๆมา เขาจะให้ลูกน้องรุมยิงด้วยอาวุธปืน นาๆชนิด แต่กระสุนปืนก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้

ที่น่าสังเกตุคือ แม้จะเป็นมุสลิม แต่ อะแวสะดอ ตาและ นับถือเครื่องรางของขลัง ของไทย ทุกชนิด และเขาแขวนผ้ายันต์ติดคอเขาไว้ตลอด แม้กระทั่งเวลาถูกจับกุม

ภายหลังถูกจับกุม เครื่องรางของขลังต่าง ๆถูกยึดไว้เป็นหลักฐาน

ยกเว้นกริช ประจำตัวของอะแวสะดอ ตาและ ที่ท่านขุนพันธ์ ขอไว้เป็นที่ระลึก โดยให้เหตุผลว่าเป็นของมีอาคม หากตกไปอยู่กับคนอื่น อาจสร้างปัญหาขึ้นอีก ดังนั้นกริชนนั้นจึงตกเป็นของท่านขุนพันธ์ตั้งแต่นั้นมา

หลังจากอะแวสะดอตาและถูกจับได้ไม่นาน เขาก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย ในห้องขังนั้นเอง

จากการปราบโจร อะแวสะดอตาและ ในครั้งนั้น ทำให้ท่านขุนพันธ์ ท่านได้รับการขนานนาม จากชาวไทย มุสลิมว่า รายอกะจิ หมายถึง มือปราบพริกขี้หนู หรือ อัศวินตัวเล็ก อะไรทำนองนั้น

นอกจากนี้ ท่านขุนพันธ์ ยังได้รับรางวัล จากเจ้าเมือง รัฐกลันตัน ประเทศ มาเลเซีย ส่งมีดพกเล่มหนึ่ง มาให้ ซึ่ง ท่านขุนพันธ์ ถือเป็นเกียรติอย่างสูง ในชีวิต

ในสมัยที่ท่านรับราชการอยู่ที่เมืองพิจิตร ท่านจะพกกริชของอะแวสะดอ ตาและ ไว้ที่เอวซ้ายตลอดเวลา และพกปืนเมาเซอร์ ต่อด้ามเหล็ก ไว้ที่เอว ด้านขวา อยู่ตลอดเวลาเช่น
กัน

เสือกลับ คำทอง ผู้กำเคล็ดลับ วิชา หายตัว

เรื่องของการล่องหนหายตัว เป็นเรื่องที่เราคงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง ว่าคนโบราณที่มีวิชาเก่งกล้า บางท่าน ท่านมีวิชาล่องหนหายตัวได้ ส่วนจะจริงหรือไม่ก็ยังไม่มีใครรู้และแน่ใจ แต่เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องราว อีกส่วนหนึ่งในชีวิต ของท่านขุนพัน์อีกเช่นกัน ที่ท่านได้กล่าวบอกเล่าไว้ด้วยตัวท่านเอง กับคนใกล้ชิด ว่าเรื่องล่องหนหายตัวนี้มีจริง

วิชาหายตัวนี้ เป็นสุดยอดวิชาไสยศาสตร์ ที่ได้รับคำยืนนัน จากผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ และจากพระเกจิอาจารย์หลายท่าน ว่ามีอยู่จริง และทำได้จริง โดยมีการอ้างอิงถึงอรรถกถา หรือเรื่องราวในตำนาน ศาสนาพุทธด้วย

หรือแม้แต่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านก็มีเคล็ดลับวิชานี้ และได้เคยถวายการสอนวิชานี้ ให้แด่เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ มาแล้วเช่นกัน โดยถวายการสอนเบื้องต้นไว้ว่าเมื่อใครต้องการจะหนีใคร หรือไม่ต้องการให้ใครเห็น ให้หาต้นไม่ใหญ่ ยึดไว้ แล้วกำหนดสมาธิให้ได้ แล้วให้ว่าคาถาตามที่ท่านสอนไว้ให้ เป็นคาถาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็จะ ไม่มีใครเห็นเราแม้จะเดินเข้ามาใกล้แค่ไหนก็ตาม

ซึ่งเรื่องราวการล่องหนหายตัวนี้ ท่านขุนพันธ์ก็ได้เล่าไว้ตรงกันว่า แม้ท่านจะไล่ตามหา เสือ กลับ นานแค่ไหนก็มองไม่เห็น แต่เสือกลับ คำทอง กลับมองเห็นท่านขุนพันธ์ และได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ท่านขุนพันธ์ พูดทั้งหมด

และเมื่อท่านขุนพันธ์และลูกน้อง นายตำราจขึ้นไปค้นหาหลักฐานแต่ไม่พบ ทั้งๆที่เสือกลับ ซ่อนของไว้บนบ้าน นั่นย่อมแสดงว่าเสือกลับ มีวิชากำบังกาย และกำบังสิ่งของ ไม่ให้คนเห็น

เสือกลับ นี้เป็นผู้ร้าย รุ่นเดียวกับ ดำ หัวแพร และร่ง ดอนทราย เสือร้ายสมัยรัชกาลที่6 และ รัชักาลที่ 7ทางการพยายามจับตัว เสือกลับ หลายครั้ง เคยจับได้ครั้งหนึ่งแล้วแต่เสือกลับ แหกคุกที่จังหวัดตรัง แล้วหนีรอดไปได้ เล่ากันว่า เสือกลับ ใช้วิธีสะเดาะกุญแจ และโซ่ตรวน แล้วหนีออกจากคุกไป

เสือกลับ เป็นเพียงโจรลักเล็กโขมยน้อย ไม่ใช่เสือร้ายที่ปล้นฆ่าแบบคนอื่น ที่เสือกลับต้องเป็นโจร เพราะเกิดบันดาลโทษะ ฆ่าคนตาย เนื่องจากถูกพี่เขยตบหน้า และด่าบุพการี เข้าทำนองเป็นโจร เพราะจำใจ เสือกลับ เลืกปล้นเฉพาะบ้านผู้มีอันจะกินเท่านั้น

และด้วยสำนึกว่าตนเองเป็นชาวพัทลุง และเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ทองเฒ่า และสำนักเขาอ้อ พัทลุง เขาจึงไม่เคยปล้น หรือลักเล็กขโมยนน้อย ในบ้านเกิดของตนเอง ไม่สู้ ไม่ทำร้ายตำรวจ ไม่ฆ่าเจ้าทรัพย์ ปล้นเอาแต่พอกินเท่านั้น

พฤติกรรมของเสือกลับ จึงถือว่าเป็นโจรคุณธรรม และเพราะคุณธรรมนี่เอง คือเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ วิชาของเสือกลับ แก่กล้า เข้มขลัง

ซึ่งนอกจากจะล่องหนหายตัวได้แล้ว ยังอยู่ยง คงกระพันยิงแทงไม่เข้า เสือกลับ เคยถูกตำรวจ ลูกน้องของท่านขุนพันธ์ ยิงถึง2นัด แต่กระสุนปืน ไม่สามารถ ทำอะไรเขาได้

และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เสือกลับ ไม่ไว้ใจ ท่านขุนพันธ์ อีกเลย เพราะเขาเชื่อว่า ท่านขุนพันธ์เป็น ผู้ลงมือยิงตนเอง ถึงกับไม่ยอม ให้ท่านขุนพันธ์ ได้พบตัว จนตายจากกันไปในที่สุด

เคล็ดลับวิชาไสยศาสตร์และวิชาล่องหนหายตัวนี้ นอกจากจะเป็นวิชาที่เรียนยากแล้วยังรักษายาก

บางคนทำได้แค่ครั้งเดียว แล้วทำไม่ได้อีก

บางคนฝึกฝนตลอดชีวิต แต่ทำไม่ได้ เพราะต้องใช้สมาธิจิตขั้นสูง

วิชาล่องหนหายตัวนี้ จัดเป็นสุดยอดวิชาไสยศาสตร์ ที่เชื่อกันว่าหากนำไปใช้ในทางที่ผิดเพียงครั้งเดียว วิชาจะเสื่อมทันที และทำอีกไม่ได้

ผู้ใช้ต้องมีคุณธรรมและพลังจิตที่สูงมาก

ไสยศาสตร์ ไม่ได้สำคัญที่คาถาอย่างเดียว แต่สำคัญที่พลังจิต ของผู้ใช้ด้วย อย่างที่เขาว่ากันว่า ของจะขลังหรือไม่อยู่ที่คนใช้ ..

เสือไท..จอมดาบ ที่ท่านขุนพันธ์ ยอมก้มกราบ

เล่ากันว่าเสือไท หรืออดีตทหารมหาดเล็กไท คนนี้ อดีตเป็นทหารคนสนิท ของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากในจำนวนทหารมหาดเล็ก ที่ใกล้ชิดทั้งหมด มหาดเล็กไท เป็นผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ และมีคาถาอาคม ถูกพระทัย เสด็จในกรมเป็นอย่างยิ่ง

ต่อมาในช่วงสมัยรัชกาลที่6 มหาดเล็กไท ประสบวิบากกรรม ต้องหาคดีอาญาร้ายแรง ต้องระหกระเหิน หลบหนี กลายเป็นเสือ ที่ทางราชการต้องการตัวเป็นอย่างมาก

จนแผ่นดินไท นี้ไม่กว้างขวางพอให้เสือไท ได้หลบซ่อนตัว เขาจึงต้องข้ามเขตชายแดนไปหลบซ่อน ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ลาว เขมร มาเล สิงคโปร์

ในช่วงนี้เอง ที่เสือไท ได้ใช้วิชาไสยศาสตร์ที่มีอยู่ ทั้งวิชา อยู่ยงคงกระพัน ล่องหน หายตัว หลีกหนี การจับกุม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เนื่องจากเสือไท มิใช่เสือร้าย โดยกมลสันดาน ท่านจึงหลีกเลี่ยงไม่ต้องการที่จะปะทะ กับ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เสือไท ไม่เคยปล้นคนดี ไม่เคยฆ่าเจ้าทรัพย์ หรือข่มเหงชาวบ้าน

เสือไท จึงเป็นเสือร้าย ที่หนี คดีอาญา มากกว่าเป็นเสือปล้น

แต่ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดัง จนคับฟ้า ในสมัยนั้น ทำให้มีผู้ นำชื่อเสือไท ไปใช้ ในทางที่ไม่ดี ไปก่อคดีปล้นฆ่า ในหลายจังหวัด

ทำให้เสือไทตัวจริง ทนอยู่ไม่ไหว จึงต้องออกไปจัดการกับเสือไทตัวปลอมโดยการฆ่าตัดหัว ทุกราย จนไม่มีใครกล้า นำชื่อเสือไท ไปปล้นฆ่าใครอีก

ท่านขุนพันธ์ ทานได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเสือไทดี ตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเข้ามารับตำแหน่ง ผู้บังคับกองตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร

เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลลับ กับท่านขุนพันธ์นั้น คือข้าราชการระดับสูงทางภาคใต้ ซึ่งเป็นอดีตทหารมหาดเล็กของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และเป็นหนึ่งในทหารเสือ ของเสด็จในกรมฯ และเป็นผู้ที่รู้จักกับเสือไท เป็นอย่างดี

เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ เสือไทได้หลบหนี หลบซ่อนตัวในหลายจังหวัด จนคดี หมดอายุความเสือไท ได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ เดินทางเข้ามาใช้ชีวิต ในบั้นปลาย ที่จังหวัดพิจิตร

ด้วยเหตุนี้ ชาวพิิจิตร จึงไม่รู้จักเสือไท ทราบกันแต่ว่า ที่หมู่บ้านจรเข้ผอม ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตรมีผู้เรืองอาคม และมีวิชาแก่กล้า มาอาศัยอยู่ ทุกคนเรียกชายสูงอายุนี้ว่าพ่อหลิม

และชื่อพ่อหลิมนี้ก็คือ ชื่อใหม่ของเสือไท

ท่านขุนพันธ์ ใช้เวลานานสองปี กว่าจะได้พบพ่อหลิม โดยขุนพันธ์ต้องพิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง ให้พ่อหลิม เชื่อใจ ก่อนที่จะรับท่านขุนพันธ์เป็นศิษย์ และสอนวิชาให้

เป็นที่ทราบกันดี ว่าพ่อหลิม หรือเสือไท เป็นผู้มีวิชาแก่กล้า ได้ร่ำเรียนวิชา มาจากพระเกจิอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน รวมทั้งอาจารยที่เป็นฆารวาส อีกหลายคน

กล่าวกันว่า วิชา ที่ท่านขุนพันธ์ ยังขาดอยู่และมีความประสงค์ อยากที่จะเรียนมากๆ คือวิชา คัดของ คัดธาตุทั้ง4ออกจากตัวคน ที่มีวิชาอาคม หรือคัดออกจากเครื่องรางของขลัง

เนื่องจากท่านขุนพันธ์เห็นว่ามีคนที่มีวิชาอาคม หลายๆคน ที่ท่านใช้ปืนจัดการกับเขาเหล่านั้นไม่ได้

วิชาคัดของนี้เป็นสุดยอดวิชา คงกระพันชาตรี ที่เกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมสอนให้ศิษย์โดยตรง ๆเนื่องจากถือว่าเป็นวิชาฆ่าคน ผิดศีล5ข้อที่1ที่ผู้สอนอาจถึงกับเสื่อมวิชา ที่มีอยู่ในตัวได้

นอกจากวิชานี้แล้วยังมีวิชากระสุนคด ที่เกจิอาจารย์จะไม่อยากสอนให้ใครง่ายๆ กระสุนคดเป็นวิชา ที่ยิงปืนเพียงนัดเดียว สามารถฆ่าคนได้ทั้งกองทัพ

ซึ่งวิชานี้ เสด็จในกรม ท่านเคยกราบขอเรียนกับหลวงปู่ศุข แต่หลวงปู่ศุขท่านไม่ยอมสอน แต่เมตตา แสดงให้เสด็จในกรมได้เห็นว่าวิชานี้ เป็นวิชา ที่ทำได้จริง

โดยเมือหลวงปู่ศุขใช้วิชานี้ ยิงปืนไปที่สระบัวใบ ที่วังนางเลิ้ง เพียงครั้งเดียว ทำให้ใบบัวนั้น ทะลุได้หมดทุกใบเลยทีเดียว

แต่วิชานี้ เสือไท หรือพ่อหลิม เรียนได้สำเร็จ และทำได้จริงเรียนมาจากอาจารย์ท่านใด ไม่เป็นที่เปิดเผย

เกี่ยวกับวิชาคัดของคือ เมื่อผู้ใช้วิชานี้ ว่าคาถา และเล็งปืนไปยังร่างคนที่เราจะฆ่า หากคาถาได้ผล ร่างที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นมารับศุนย์ปืน แต่ถ้าไม่ได้ผล ร่างนั้นก็จะย่อเล็กลง แสดงว่าผู้ที่เป็นเป้าหมายนั้น มีของดีคุ้มตัว

ชื่อเสียงของพ่อหลิม ในเรื่องของวิชาคัดของนี้ มีอยู่ว่า ที่วัดจรเข้ผอม ที่ริมแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามบ้านพ่อหลิม มักจะมีพวกร้อนวิชา นำพระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง ของตนเอง แต่ละคน มาทดสอบกัน เป็นประจำ เสียงปืน สร้างความรำคาญให้แก่พระเณร และชาวบ้าน และหลวงพ่อหลิมด้วย

จนหลวงพ่อหลิมทนไม่ไหว เข้าไปดู แล้วบอกพวกร้อนวิชาเหล่านั้นว่า จะลองของไปทำไม กัน ของดีก็คือของดี ถึงเวลาก็รู้เอง

แต่คนเหล่านั้น ก็ยังยืนยัน ว่าของขลังของตนแน่ และจะลองของกันต่อไป พ่อหลิมเลยขอลองบ้าง โดยบอกให้เอาของขลังที่ว่าแน่ๆ มาวางรวมกัน แล้วให้เจ้าของเครื่องรางคนหนึ่ง ไปหยิบปืนลูกซอง ที่พวกเขาว่ายิงของขลังไม่ได้ ทำยังไงก็ยิงไม่ออกนั่นเอง มาใช้เป็นอาวุธ

หลวงพ่อหลิมพนมมือ กันหายใจว่าคาถา คัดของ คัดธาตุ แล้วเล็งกระบอกปืน ไปที่ของทั้งหมด แล้วเหนี่ยวไก ปืนลั่น ดังสนั่นเลย ของขลัง ทั้งกมด แตกกระจาย กระเด็นหายไปในอากาศ ท่ามกลาง ความตกตะลึง ของทุกคน เจ้าของ ของขลังบางคนถึงกับร้องไห้ เสียดาย ของขลังของตนเอง

จากนั้นก็ไม่มีใครมาลองของให้หนวกหู พ่อหลิม อีกเลย

รอยสัก บนรอยเสือกัด รางวัลจากการจับตาย เสือสัง พัทลุง

ภายหลังการจบการศึกษาจากโรงเรียน นายร้อยตำรวจห้วยจรเข้ จังหวัดนครปฐมเมื่อปี 2472แล้ว นักเรียนนายร้อย บุตร พันธรักษ์ ได้ถูกส่งตัว ไปฝึกงานตำรวจ ที่กองบังคับการตำรวจภูธร มณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา ในฐานะ นักเรียนนายร้อยตำรวจ ทำการเป็นเวลานาน 5เดือน

จากนั้นจึงได้รับคำสั่งให้ไปดำรงตำแหน่ง เป็นผู้บังคับหมวด ที่สถานีตำรวจภูธรที่จังหวัดสุราษฎร์ แต่จะด้วยความผิดพลาด ในการพิมฑ์ คำสั่ง หรือเป็นเพราะว่าที่ร.ต.ต. บุตร พันธรักษ์ ใช้เวทมนต์คาถาบทไหน ก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้ข้อความในคำสั่ง เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นว่า มีคำสั่งให้ว่าที่ ร.ต.ต. บุตร์ ไปประจำการเป็นผู้บังคับหมวด ที่สถานี ตำรวจภูธร จังหวัดพัทลุง สมความตั้งใจ ของเจ้าตัว ที่อยากจจะไปเรียนวิชา ไสยศาสตร์ ที่สำนักเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง

ความที่เป็นคนตัวเล็กนี่เอง ทำให้ ร.ต.ต.บุตร์ ต้องพิสูจน์ฝีมือ ให้ประจักษ์ แล้วสวรรค์ก็ส่ง บทเรียนแรก มาให้พิสูจน์ การตามล่าตัว โจรร้ายที่มีชื่อว่าเสือสัง ที่ออกปล้นผู้คนในจังหวัดพัทลุง และจังหวัดใกล้เคียง จนเป็นผู้ร้าย หมายเลขหนึ่ง ที่ทางการ ต้องการตัว ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย

ร.ต.ต. บุตร์ จึงอาสา ออกติดตามเสือสัง ทันที ที่เดินทางถึงพัทลุง จนวันที่ 31 ก.ค. 2473ผู้หมวดบุตร์ ได้เผชิญหน้ากับเสือสัง ที่บ้านห้วยกราด ตำบลป่าพยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว

แต่มวยคู่นี้ ไม่ยุติธรรมนัก เพราะร.ต.ต.บุตร์ นั้นตัวเล็กกว่าเสือสัง มากมาย ระดับรุ่นฟลายเวท กับรุ่นเฮฟวี่เวท นั่นเลยทีเดียว ก่อนจะประชิดตัวกันนั้น เกิดการดวลปืน กันซึ่งๆหน้า ห่างกันไม่ถึงหนึ่งวา ต่างฝ่าย ต่างลั่นไก

ผู้หมวดบุตร์ ใช้อาวุธปืนพกประจำกาย คือปืนเมาเซอร์ต่อด้ามเหล็ก ในขณะที่เสือสัง ใช้ปืนยาว แบบปืนแก๊ป แต่ยิงกันไม่ออก กระสุนไม่ทำงาน ต่างฝ่าย ต่างมีขอองดีว่างั๊นเถอะ ยิงกันไป ยิงกันมา ห่างกันราวคืบเดียว แต่ก็ไม่มีเสียงปืนด้วยกันทั้งคู่

จนสุดท้าย เมื่อปะทะกันจริงๆ แล้ว หมวดบุตร์ถึงรู้ว่าตนเองเสียท่าซะแล้ว เพราะเสือสัง ตัวใหญ่มาก การต่อสู้ แบบมวยวัด จึงเกิดขึ้น ผู้หมวดบุตร์ งัดทุกกลยุทธ์ที่เคยร่ำเรียนมา ออกมาใช้ ทั้งขี่คอ หักคอ ชกต่อย ควักลูกตา และบีบไข่

ในขณะเดียวกัน เสือสัง ที่แม้จะได้เปรียบรูปร่าง แต่ ก็อายุแก่กว่า หมวดบุตร์เท่าตัว แต่ได้เปรียบรูปร่าง พยายามจะหักคอหมวดบุตร์ให้ได้ มันพยายามพลิกขึ้นคร่อมร่างหมวดบุตร์ แต่ก็ยังไม่ถนัด เพราะถูกกดไว้ด้วยข้อศอก และน้ำหนักตัว

เสือสังจึงใช้วิชามาร โดยทันที โดยการกัดหมับ เข้าที่แขนซ้าย ของผู้หมวดบุตร์ เมื่อเจอลูกนี้ ผู้หมวดบุตร์ ไม่ยอมเสียเปรียบ และกัดตอบทันที ต่างคนต่างอ้าปากกัดงับแขนฝ่ายตรงข้าม

แต่หมวดบุตร์มีหนัง ที่ดีกว่า เหนียวกว่า เสือสังโดยท่านมีแค่รอยฟัน และเลือดออกซิบๆเท่านั้น แต่ของเสือสัง ถึงกับเลือดกระฉูดคาปาก จะปล่อย จะคายก็ไม่ได้ หมวดบุตร์ จึงจำใจดื่มเลือดเสือสังไปหลายอึก

ต่อสู้ปล้ำฟัดกันไปมา หลายตลบ เสือสังพยายามใช้มีดพก ปาดคอหมวดบุตร์ แต่ไม่เข้า ผู้หมวดบุตร์จวนจะหมดแรง แต่ยังแข็งใจ ใช้นิ้วหัวแม่เท้า และนิ้วชี้ เท้าขวาหนีบไข่ของเสือสังไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยทั้งหนีบ ทั้งกัด จนเสือสัง ไข่แตก หน้าเขียว ขาดใจตาย และอุจจาระแตกเรี่ยราดไปหมด

กว่าตำรวจ ที่ตามมา คือพลตำรวจ เผือก ด้วงชู และนายขี้ครั่ง เหรียญขำ จะตามมาช่วย ว่า ที่ร.ต.ต. บุตร์ ก็เผด็จศึก โจรยักษ์ใหญ่รุ่นเฮฟวี่เวท เรียบร้อยโรงเรียนขุนพันธ์ไปแล้ว

แต่การจับเสือสัง ครั้งนี้ ความดีกลับไม่ใช่ ความชอบ ญาติมิตร ของเสือสังมาร้องเรียน ที่กรมตำรวจ ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เป็นการเจตนาฆ่า ทั้งๆที่เสือสัง ยอมมอบตัวแล้ว บัตรสนเท่ห์ร้องเรียน หนาเป็นปึก

ซึ่งทำให้หมวดบุตร์มีความเสียใจมากจึงตัดสินใจ สักทับลงบนรอยฟัน หรือเขี้ยวของเสือสัง ที่แขนตอนบน ด้านซ้าย เพื่อเป็นอนุสรณ์ เตือนใจตนเองที่ไม่เพียงจะเกือบถูกเสือร้ายฆ่าตาย ยังเกือบจะถูกจับเข้าคุก ในข้อหา ฆ่าคนโดยเจตนาอีกต่างหาก

เดชะบุญ ที่กรมตำรวจสมัยนั้น ฟังหูซ้าย แล้วปล่อยให้ทะลุหูขวา หมวดบุตร์จึงรอดพ้นจากความผิด เข้าทำนอง ชั่วไม่มี ดีไม่ปรากฎ

จากการสักทับ บนรอยเสือกัดนี้ ทำให้เราได้เห็นบุคคลิกของท่านขุนพันธ์ ว่าท่านเป็นคนจริงจัง ตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้ เป็นคนรักแรง แค้นแรง เมื่อรักใครก็รักจริง เมื่อเกลียดใครก็จดจำ ซึ่งเป็นลักษณะนิสัย ของคนใต้ ขนานแท้

นอกจากรอยสักบนรอยฟันของเสือสังแล้ว ท่านขุนพันธ์ยังมีรอยสักอื่นๆอีกเต็มตัว จากประวัติการสักยันต์ของท่านี้ พบว่าท่านสักยันต์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ อาจารย์ที่สักให้ท่านมีทั้งพระสงฆ์ และฆารวาส เท่าที่สืบค้นชื่อได้ ก็มี อาจารย์หรุ่น ใจภารา อาจารย์ปลั่ง บางลำภู อาจารย์ใย สามเสน และอาจารย์ยัง วัดประทุมคงคา

สำหรับลวดลายการสัก ก็มีทั้งหมู หนุมาน ลิงลม บัวแก้ว พาลี และรูปอักขระขอมต่างๆ

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทั้งหมู หนุมาน ลิงลม พาลี มีอิทธิฤทธิ์ ทำให้ทรงพลัง ซึ่งอาจเป็นเพราะ ท่านขุนพันธ์ เป็นคนตัวเล็กจึงต้องเตรียมพร้อมในทุกสถานการ ที่จะเผชิญหน้ากับคนตัวใหญ่ๆ แบบเสือสัง

ซึ่งท่านขุนพันธ์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รอยสักหนุมาน พาลี และหมูโทน ของอาจารย์ สามารถล้มยักษ์ ได้จริง


ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช Re: ประวัติขุนพันธรักษ์ราชเดช
« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 04, 2010, 04:51:46 PM »


สี่เสือสุพรรณ

เราจะย้อนอดีตกลับไปถึง ประวัติ อันโชกโชนของ ขุนพันธ์ เมื่อประมาณ 70-80 ปีที่แล้ว สู่ยุค “ไอ้เสือบุก!!” อีกครั้ง เวลานี้หากเอ่ยชื่อ “พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช” นายตำรวจร่างเล็กใจใหญ่ อันมีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แต่นอกจากชื่อจริงดังกล่าวแล้ว ขุนพันธ์ ยังมีฉายาอันสื่อถึงความกล้าหาญพ่วงท้ายอีกมากมาย อาทิ ขุนพันธ์ดาบแดง ขุนพันธ์ดาบคู่ ขุนพันธ์จอมขมังเวท ขุนพันธ์หนังเหนียว วีรบุรุษตำรวจแดนใต้ มือปราบสิบทิศ เป็นต้น ฉายาต่าง ๆ นั้น เกิดขึ้นจากการทำงานด้วยความสำนึกต่อหน้าที่บนพื้นฐานของความทรหดอดทน ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ที่สำคัญ ความกล้าหาญไม่เกรงกลัวหรือตกอยู่ใต้อิทธิพลนอกกฎหมายทุกรูปแบบ เรียกว่าได้มาเพราะฝีมือและการเสียสละทุ่มเททำงานในหน้าที่อย่างแท้จริง !!

ในอดีต บรรดาเสือร้าย หรือขุนโจรชื่อดังจะกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ รวมตัวกันเป็น “ชุมโจร” จุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก ปล้น ปล้น ปล้น แล้วก็ปล้น !!! โจรดังภาคใต้ เช่น เสือสังข์ เสืออะแวสะดอตา และ ส่วนเสือในภาคกลาง เรียกว่า “สี่เสือสุพรรณ” ประกอบด้วย เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และ เสือดำ เสือร้ายเหล่านี้เคยมีชื่อเสียงในทางปล้นฆ่า มีอิทธิพลจนไม่รู้จะเอาใครไปปราบ ไม่มีตำรวจหน้าไหนหาญกล้าจะต่อกรด้วย เรียกว่าเป็นยุค “โจรครองเมือง” ก็ว่าได้ ขุนพันธ์จึงถูกส่งตัวไปปราบชุมโจรร้ายที่ว่า จนราบคาบ วงการตำรวจและชาวบ้าน ต่างยกย่องชื่นชมขุนพันธ์อย่าง กว้างขวาง

นายณสรรค์ พันธรักษ์ราชเดช บุตรชายคนที่ 9 ของ ขุนพันธรักษ์ราชเดช เปิดเผยวีรกรรมที่บิดาเคยเล่าให้ฟังว่า โจรหรือเสือร้ายในสมัยก่อนมีพฤติกรรมปล้นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา เช่น ขุนโจรอะแวสะดอ ตาและ หรือ “เจ้าพ่อเขาบูโด” ทั้งกระสุนปืน คมหอก คมดาบ ที่ตำรวจระดมสาดเข้าใส่ร่างของมัน แต่ทำอะไรมันไม่ได้ พอ กระสุนหมดทั้งคู่ คุณพ่อก็วิ่งไล่จับขุนโจรชื่อก้องได้ด้วยมือเปล่า กระโจนเข้าไปชกต่อยพัลวัน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็จับเจ้าพ่อเขาบูโดใส่กุญแจมือ ลากคอเข้าคุกได้ และจากการตรวจสอบพบว่ากระสุนที่ยิงใส่ตามลำตัวไม่ถูกมันเลย และที่ยิงบริเวณปาก 9 นัด มันอมกระสุนไว้ในปากโดยไม่มีร่องรอยบาดแผลใด ๆ ฟันก็ไม่หัก มันคายหัวกระสุนทั้ง 9 เม็ดลงกลางโต๊ะสอบสวน !!?? นับเป็นเรื่องที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้จนทุกวันนี้

การสยบขุนโจรแห่งขุนเขาบูโดด้วยมือเปล่า โดยไม่รู้ว่าใช้คาถาอาคมอะไร ทำให้ขุนพันธ์ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากคนไทยมุสลิม และพวกแขกมลายู (มาเลเซีย) เสียงดังกระหึ่มไปทั่ว จึงตั้งสมญานามให้ขุนพันธ์ ว่า “รายอกะจิ” หมายถึง ราชาร่างเล็ก หรืออัศวินพริกขี้หนู

“คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าการปราบเสือแต่ละคนไม่ง่ายเลย สมัยก่อนต้องใช้เวลาติดตามด้วยความยากลำบาก ไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ เพราะต้องบุกป่าฝ่าดงไล่ล่ากันเป็นเดือนเป็นปี พ่อบอกว่าเสือภาคใต้ปราบยากกว่าเสือภาคกลางเพราะเสือภาคใต้มีวิชา มีของดี ของขลังติดตัว ผิดกับเสือภาคกลางที่อาศัยสมัครพรรคพวกมากเป็นสำคัญ บรรดาชุมโจรหรือขุนโจรที่เกรงกลัวขุนพันธรักษ์ราชเดช เนื่องจากเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการปราบปราม ไม่ท้อ จิตใจทรหดอดทน หากมันไม่ตายเราก็ตาย” บุตรชายคนที่ 9 ของขุนพันธ์ กล่าว

ปี พ.ศ.2485 ขุนพันธรักษ์ราชเดช ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจเมืองสุราษฎร์ธานี ก็ดำเนินการปราบ “เสือสาย” ผู้มีอิทธิพลในเมืองสุราษฎร์ฯ มานานกว่า 8 ปี จากนั้นบุกทลายซ่อง “ไม้ไผ่งาช้าง” ของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จนถูกย้ายไปเป็นผู้บังคับกองเมืองพิจิตร พอไปอยู่เมืองพิจิตร ก็ปราบเสือโน้ม อ.พรานกระต่าย และได้รู้จักกับ “หลวงกล้ากลางณรงค์” นายทหารลูกหลานตระกูล “พระยาพิชัยดาบหัก” ที่มารับราชการที่เมืองพิจิตร ขุนพันธ์จึงฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรม หลวงกล้ากลางณรงค์ได้มอบดาบคู่เหล็กน้ำพี้ให้กับขุนพันธ์ จนกลายเป็นอาวุธประจำตัว ดังฉายา “ขุนพันธ์ดาบคู่”

ถัดมาในปี พ.ศ.2489 ขุนพันธ์ย้ายไปเป็นผู้กำกับการตำรวจเมืองชัยนาท ลุยปราบชุมโจรสุพรรณบุรี โดยเฉพาะ “เสือฝ้าย” ถือเป็นก๊กเสือร้ายที่มีอิทธิพลมากที่สุด มีสมุนอยู่ทั่วใน จ.สุพรรณบุรี ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักคือ 4 เสือสุพรรณ ประกอบด้วย เสือฝ้าย เสือใบ เสือมเหศวร และเสือดำ ทางกรมตำรวจจึงคัดเลือกนายตำรวจ เพื่อตั้งเป็น “กองปราบปรามพิเศษ” ต่อสู้กับเสือร้ายภาคกลาง มี พ.ต.อ.สวัสดิ์ กันเขต เป็นผู้อำนวยการ และขุนพันธ์ เป็นรองผู้อำนวยการ จนชุมโจรเมืองสุพรรณถูกปราบปรามอย่างราบคาบ ส่วนเสือฝ้ายตัดสินใจเข้ามอบตัวในที่สุด

เมืองพัทลุงร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งในปี พ.ศ.2490 ปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุม คดีปล้นฆ่าผุดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ชาวบ้านเดือดร้อนอย่างหนัก จึงมีการทำหนังสือขอตัวขุนพันธ์กลับพัทลุง มาต่อกรกับโจรร้ายก๊กใหม่ กระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 จ.นครศรีธรรมราช และเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ. 2511
ตลอดชีวิตรับราชการในอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ทำทุกอย่างในคำว่า “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” จะแปลความหมายได้ แม้จะอยู่ในวัยเกษียณ แต่ชื่อยังถูกจารึกไว้ในจิตใจของตำรวจทุกยุคทุกสมัย และเคยได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี พ.ศ.2512 โดยได้รับการบันทึกว่าเป็น ส.ส.ที่มีคะแนนสูงสุดของประเทศในสมัยนั้น !! จวบจนขุนพันธ์ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราที่บ้านพักเลขที่ 764/5 ซอยราชเดช ถนนราชดำเนิน ต.คลัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ด้วยวัย 108 ปี

ในฐานะที่ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นปูชนียบุคคลที่ได้ประกอบคุณงามความดีต่อประเทศชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไว้เป็นอย่างมาก สมควรที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลของแผ่นดิน นอกจาก พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช จะได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบของตำรวจน้ำดีแล้ว ท่านยังเป็นต้นแบบของผู้ที่ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม จารีตประเพณี กฎกติกาของบ้านเมือง ตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้จัดสร้าง อนุสาวรีย์ ของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช ประดิษฐานไว้ ณ บริเวณหน้าที่ทำการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อเป็นที่เคารพสักการบูชาของตำรวจและประชาชนทั่วไป ที่สำคัญเพื่อกระตุ้นเตือนจิตสำนึกของผู้ที่เป็น “ตำรวจ” ให้ประพฤติปฏิบัติตนอย่างสมศักดิ์ศรีของการเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อย่างแท้จริง.


ประวัติและเรื่องราวที่มากด้วยพุทธคุณปราบเสือร้ายของท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช

พระขรรค์โสฬส สุดยอดของขลัง ของกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์

พระขันธ์โสฬส คือศาสตราวุธ ที่หลวงปู่ศุข ท่านได้อัญเชิญทวยเทพ ทั้ง16ชั้นฟ้า มาอำนวยพร ในการทำพิธีกรรมในการจัดสร้างที่มีพิธีเข้มขลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา

พระขันธ์โสฬส จึงจัดเป็นเทพศาสตราวุธ อย่างแท้จริงโดยจำลองรูปแบบมาจากพระขรรค์โบราณของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเสด็จในกรมได้นำมาจากในวัง เพื่อเป็นต้นแบบ ซึ่งมีลักษณะที่สวยงามมากๆ

อีกทั้งมีพิธีกรรมในการจัดสร้างที่เร้นลับ ซับซ้อน ยิ่งกว่ามีดหมอ และเครื่องรางของขลังใดๆ ที่เคยมีการจัดสร้างมา ซึ่งเชื่อกันว่า มีเพียงแค่ 7เล่มเท่านั้น

เมื่อสร้างเสร็จแล้ว เสด็จในกรม ท่านได้ถวายคืนให้ หลวงปู่ศุขหนึ่งเล่ม ซึ่งพระขรรค์เล่มนี้เองได้สร้างความมหัศจรรย์ให้ปรากฎแก่สายตา ของผู้ที่ได้พบเห็นมามากแล้ว และหนึ่งในนั้นก็คือ ท่านขุนพันธ์ นั่นเอง

ก่อนอื่นขอเล่าถึงประวัติ และการจัดสร้างพระขรรค์โสฬส ที่ยิ่งใหญ่ และลึกลับมหัศจรรย์ นี้ก่อนนะคะ

พระขรรค์โสฬสนี้ มีความยาว 7นิ้ว ถ้ารวมด้ามด้วยก็จะยาว 11นิ้ว ตัวพระขรรค์ ทำจากยอดเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงปู่ศุข ท่านได้รวบรวมไว้นานแล้ว ผสมกับโลหะมงคล และวัสดุอาถรรพ์ อีกหลายชนิด

โดยในการหล่อโลหะ ก่อนนำมาตีเป็นพระขรรค์นั้น เสด็จในกรมท่านได้ ทรงนำเครื่องทองนากส่วนพระองค์ เทผสมลงไปเป็นมงคลอีกต่างหาก ผสมกับแผ่นทองคำ เงิน และะนาก ที่จารึกอักขระโดยหลวงปู่ศุข ทำพิธีปลุกเสก ข้ามพรรษา

ที่ตัวพระขรรค์ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง จารึกอักระ และเลขยันต์ ประจำตัว ของหลวงปู่ศุขมีผู้ถอดความเป็นภาษษขอม ออกมามีความหมาย บอกเล่า ความเป็นมา ของพระขรรค์ ลึกซึ้งมาก

ด้ามพระขรรค์ ทำจากฝักคูน ตายพราย ภายในแก่นพระขรรค์ บรรจุกระดูกผีและเส้นผม ผีตายโหง7ป่าช้า กับของอาถรรพ์อีกหลายอย่าง เมื่อสร้างพระขรรค์เสร็จเป็นเล่มสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ศุขท่านได้ทำพิธีปลุกเสกเดี่ยว นานตลอดพรรษาก่อนที่จะนำมาถวายให้แด่เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

ทั้งนี้เป็นที่เข้าใจกันว่า พระขรรค์โสรฬสนี้ อยู่ที่เสด็จในกรมฯหนึ่งเล่ม หลวงปู่ศุขหนึ่งเล่ม ส่วนเล่มที่เหลือ อีก5 เล่ม อยู่กับพระบรมวงศานุวงษ์ ซึ่งไม่มีใครได้พบเห็นพระขรรค์ทั้ง5เล่มนั้นอีกเลย

ในขณะที่พระขรรค์ประจำพระองค์ เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ นั้นมีผู้พบเห็นทรงใช้ เป็นศาสตราวุธ ประจำพระองค์ ในบางครั้งโดยเฉพาะเวลาทรงเดินทางออกทะเล

ส่วนพระขรรค์โสฬสเล่มที่อยู่กับหลวงปู่ศุขต่อมาได้ตกทอด มาอยู่ในครอบครอง ของหลวงตาแววลูกศิษย์ก้นกุฎิ ของหลวงปู่ศุข

เมื่อหลวงปูู่ศุขได้มรณะภาพแล้วหลวงตาแววได้นำพระขรรค์โสฬส ติดตัวออกจากวัดปากคลองมะขามเฒ่ามาด้วย และพระขรรค์นี้เป็นเครื่องรางของขลังที่หลวงตาแววรักกและหวงแหน มากที่สุด โดยจะนำใส่ย่าม หรือพกไว้ที่เอว ตลอดเวลา

ความอัศจรรย์ของพระขรรค์นี้มีมากมาย สามารถใช้ได้สารพัดนึก มีความคงกระพัน สามารถแก้ไข และป้องกันคุณไสย ทำน้ำมันมนต์ไล่ภูติผี ปีศาจ และที่สำคัญเป็นมหาอุด ปกป้องคุ้มครองอันตราย ได้ทั้งหมู่คณะ

หลวงพ่อหลิมเคยเล่าว่าเมื่อคราวที่เกิดพายุกลางทะเล เสด็จในกรมฯ ท่านเคยอธิษฐานใช้พระขรรค์นี้กวัดแกว่งเพื่อสลายคลื่นลม ได้ผลมาแล้ว

ภายหลังจากหลวงตาแววมรณะภาพไป พระขรรค์เล่มนี้ ตกทอดไปยังลูกศิษย์ จนเกิดการ ยื้อแย่งกันและน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงหนึ่งพระขรรค์นี้ได้ตกไปอยู่ในหมู่โจร ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ท่านขุนพันธ์เดินทางกลับจากภาคใต้แล้ว

ขุนพันธ์ท่านเคยขอดาบเล่มนี้จากหลวงตาแวว แต่ท่านผัดผ่อนไว้ก่อน จนท่านมรณะภาพ ขุนพันธ์ได้เพียรพยายามหาพระขันธ์ที่เหลืออยู่แต่ก็ไม่พบ ทั้งได้ให้เพื่อนสนิทที่พิจิตรช่วยตามหาพระขรรค์เล่มของหลวงปู่ศุขด้วย ซึ่งทราบมาภายหลังว่าลูกศิษย์ ของหลวงตาแววซึ่งเอาดีทางนักเลง เป็นผู้ขโมย ต่อๆกันไป จนในที่สุด ไปตกอยู่ที่ชุมโจรแห่งหนึ่ง

จากคำบอกเล่าของเสือออง ซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ (ได้กลับตัวเป็นคนดีแล้ว) ได้เล่าไว้ว่าตนเองและพรรคพวกโจรได้ผลัดกันถือพระขรรค์นำหน้ากองโจร เวลาออกปล้น เคยปะทะกับเจ้าทรัพย์และตำรวจ แต่กระสุนปืน ไม่สามารถ ทำอะไรพวกเขาได้ หากโดนจ่อยิงใกล้ๆ ปืน ก็จะไม่ลั่น หรือไม่ดังหากอยู่นอกรัศมีออกไป กระสุนก็จะพลาดเป้าหมายไปหมด

เสืออองเล่าถึง การลองของความศักดิ์สิทธ์ของพระขรรค์เล่มนี้ ด้วยการใช้ปืนนานาชนิดมายิงเพื่อทดสอบ แต่กระสุนปืนไม่ลั่น แม้แต่นิดเดียว

การที่พระขรรค์ไปอยู่ในมือโจรนั้น ต้องใช้เวลานานหลายปีเลยทีเดียว กว่าจะแย่งเอากลับคืนมาได้

โดยหลวงพ่อหลิมได้ให้ศิษย์รุ่นน้องของท่านขุนพันธ์ ผู้หนึ่งซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจมือปราบ ชาวพิจิตร ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว ออกติดตามหา เกิดการปะทะต่อสู้กัน อยู่นานหลายปีจึงยึดพระขรรค์นี้มาจากมือโจรได้

และหลังจากนายตำรวจท่านนี้เกษียณอายุราชการแล้วพระขรรค์นี้ก็ตกไปเป็นของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ต่อไป

และจนในวาระสุดท้าย ท่านขุนพันธ์ท่านก็ยังไม่มีโอกาสได้ครอบครองพระขรรค์โสฬสเล่มนี่ อยู่นั่นเอง

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
มารคัส's profile


โพสท์โดย: มารคัส
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
4 VOTES (4/5 จาก 1 คน)
VOTED: สำนึกดีมีมั้ย..สาส
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
รวบแล้ว 1 มือวางเพลิงป่วนใต้10 เคล็ดลับในการฮีลใจตัวเอง สามารถทำได้อย่างไรบ้าง มาดูกันจ้า“กางเกงท้องถิ่นไทย” คุณประโยชน์ด้าน Sustainable Fashion
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อ่านนิยายไร้สาระจริงหรือ"ซีอิ๊วแบบเม็ด" ฉีกทุกกฎของซอส..นวัตกรรมใหม่จาก "เด็กสมบูรณ์""บิ๊กเต่า" รับหลักฐาน "ทนายตั้ม" ลั่น ใหญ่แค่ไหนก็จับ ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง9 โรงเรียนหญิงล้วนที่น่าสนใจในประเทศไทย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
แม่น้ำที่อันตรายที่สุดในโลก“กางเกงท้องถิ่นไทย” คุณประโยชน์ด้าน Sustainable Fashionปัญหาใหญ่ที่สุดในลาวตอนนี้ ที่อาจจะไม่สามารถเเก้ไขได้disgusting: น่าขยะแขยง น่ารังเกียจ
ตั้งกระทู้ใหม่