หินรูปหมูสามชั้น สมบัติล้ำค่าจากพิพิธภัณฑ์วังกู้กงที่ไทเป เป็นอะไรมากกว่าก้อนหิน
หินหมูสามชั้น นี้ถูกค้นพบในสมัย ราชวงศ์ชิง ราวศตวรรษที่19 เป็นสมบัติล้ำค่ามาก จนจัดเป็น “สามมหาสมบัติแห่งกู้กง” (故宮三寶) ซึ่งอีกสองอย่างคือ ผักกาดขาวหยก (翠玉白菜) และ กระถางสำริดของเหมากง (毛公鼎)
หินรูปหมูสามชั้น (肉形石) สมบัติล้ำค่าจากพิพิธภัณฑ์วังกู้กงที่ไทเป ซึ่งทำเอาคนที่ได้เห็นต่างต้องแปลกใจไปตามๆกันเพราะมันช่างคล้ายกับเนื้อหมูสามชั้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าจริงๆแล้วมันเป็นเพียงแค่ก้อนหินเท่านั้น และที่สำคัญเราๆท่านๆในเมืองไทยไปเชื่อกันว่านี่คือ ฝีมือของธรรมชาติรังสรรค์
มีเรื่องตลกที่เกี่ยวกับ หินหมูสามชั้นนี้จากผู้เชี่ยวชาญวัตถุโบราณพิพิธภัณฑ์กู้กงของไต้หวันมาเล่าว่า มีอยู่วันหนึ่ง เฉียนหลงฮ่องเต้ไปพบจอกๆหนึ่งทำด้วยหยก สีสันแปลกตา เพ่งพิศอยู่นานก็รู้สึกว่านี่คงเป็นจอกล้ำค่าสมัยราชวงศ์ฮั่นสืบมาเป็นแน่แท้ ด้วยความอยากหาข้อมูลหลักฐานยืนยันเนื่องจากพบว่าลักษณะเนื้อและสีสันมีบางอย่างเพี้ยน เลยได้ให้คนไปเบิกตัว นายเหยาจงเหริน ซึ่งทำงานอยู่ในสำนักหรูอี้ของพระราชวัง (ชื่อดีนะ ชื่อสำนักสมหวัง ฮ่าๆ) นายเหยาจงเหรินเข้าเฝ้าและพิจารณาจอกนั้น อดกลั้นหัวเราะไมได้ หัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวว่า
ทูลฝ่าบาท นี้ไม่ใช่จอกหยกสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นจอกหยกที่ปู่ของข้าพระองค์ใช้เทคนิคการย้อมสีหยกของสกุล ย้อมออกมาให้เป็นดั่งนี้
เรื่องเล่าเรื่องนี้บอกให้ทราบว่า หินหมูสามชั้น ที่เห็นนี้ไม่ได้เป็นความงดงามของรูปทรงและสีสันที่เกิดจากธรรมชาติแต่ประการใด แต่เป็นของที่สำนักภายในราชสำนักจักรพรรดิราชวงศ์ชิงประดิษฐ์ขึ้นมา
จางลี่ตวน ผู้เชี่ยวชาญฯ เล่าว่า หินนี้จริงๆชื่อว่า ไต้จ้วงปี้สือ 帶狀碧石 เป็นหินที่จะแสนธรรมดา เสร็จแล้วก็ทำกระบวนการย้อมสีด้วยการฉีดเข้าไปในรูเล็กๆ ทำให้คนเข้าใจว่า รูเล็กๆที่ หินหมูสามชั้น เป็นรูขุมขนของเนื้อหมู ช่างน่าอัศจรรย์เหมือนจริงยิ่ง จัดแจงย้อมสีแต่งสีทีละชั้นๆ ชั้นบนสุดก็เอาสีออกแดงแต้มนิดหน่อยฉาบไว้ด้านบนให้ดูเหมือนมีน้ำมันเคลือบ ทำให้ดูแล้วรู้สึกเหมือน หมูสามชั้น ชื่อว่า หมูตงพอ คล้ายๆว่าหมูพะโล้ นั้นหละ 東坡肉
ทำให้นึกไปถึง หินรูปผักกาดขาวนะครับ ที่ก็เหมือนกัน เทคนิคฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง (เทียนเหรินเหออี) ก็คือว่า ฝีมือและความสามารถคนนี่หละ เข้าไปย้อมสีหิน ให้เกิดมาเป็นรูปลักษณ์เช่นนั้น แล้วทำการแกะสลักให้เหมือนจริง
อ่านตรงนี้เราจะทราบได้ว่า ไม่ว่าจะประวัติศาสตร์จีนหรือตำราจีน อาศัยว่าอ่านแต่ตัวหนังสือหรือจากกระดาษไม่พอ ทุกสิ่งมีเคล็ดลับที่ต้องอาศัยครูบาอาจารย์หรือผู้รู้บอกเล่า อย่าได้ทนงตนว่ารู้ดีแล้ว
อ่านตรงนี้เราจะทราบได้ว่า เทียนเหรินเหออี ที่เป็นสำนวนโวหารใช้กันอย่างแพร่หลายในทางฮวงจุ้ยว่า ฟ้าดินรวมเป็นหนึ่ง จริงๆเป็นโวหารที่เน้นถึง ความสามารถของคน มาอันดับหนึ่ง ว่าสามารถดึงเอาฟ้าเอาดินมาเป็นประโยชน์ต่อชีวิตคนได้อย่างไร
อ่านตรงนี้เราจะทราบว่า สิ่งของบางอย่างหากอยู่ในมือบางคนก็ดูเหมือนจะอัศจรรย์ขึ้นมา ถ้าอยู่ในมือคนธรรมดาอาจจะไม่คิดว่าเป็นหินมาจากธรรมชาติล้ำค่าก็ได้ นี่อยู่ในมือจักรพรรดิ ของล้ำค่าต้องอยู่ให้ถูกที่ ถูกทาง สมมูลค่าตนเอง คนก็เช่นเดียวกัน
อ่านตรงนี้ทำให้นึกถึงวลีจีนที่ว่า
地之穢者多生物,
水至清者常無魚
แปลว่า เพราะดินมันสกปรกนี่หละถึงได้เจริญเกิดสรรพชีวิต
น้ำที่ใสสะอาดเกินไปย่อมไร้มัจฉา
ธรรมชาติไม่มีความเนี้ยบความเป๊ะ ความกริ๊บๆ ความไฮโซ ครับ ธรรมดาชาติจะมีสูงมีต่ำมีบิดเบี้ยว มีคดมีงอ เหมือนกินเหมือนผักนี่ ถ้าทำให้สวยงาม คบกริบ คนคงไม่เชื่อว่าเหมือนเนื้อ อันนี้ด้วยศิลปินที่รังสรรค์ไว้อย่างดียิ่ง เข้าใจหลักธรรมชาติว่า ไม่มีความเพอร์เฟคสมบูรณ์ในตัวเอง หากเข้าใจกฎธรรมชาติข้อนี้ ชีวิตอย่างน้อยก็ปล่อยวางได้มาก ไม่หวังเครียดคั้นให้ต้องเพอร์เฟคมากไป
สุดท้ายของข้อคิดวันนี่ ขนาดเป็นจักรพรรดิ ก็ยังรู้จักสังเกต และเมื่อไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของตน ก็จะไม่กล่าวตู่ หรือนึกเอา คิดเอาว่าเป็นตามนี้หละ กลับพยายามหาผู้รู้ แม้นต่ำต้อยแต่ก็รับฟัง เนื่องจากความเชี่ยวชาญในหยกจักรพรรดิย่อมสู้ช่างหยกไม่ได้
คนเราเช่นกัน เกิดมาไม่มีใครเก่งไปเสียทุกเรื่อง การมีมิตรสหายที่ดีไว้คบหา และคอยเป็นที่พึ่งที่ปรึกษาได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และควรทำ
ดังพุทธพจน์ที่ว่า อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัง จ เสวนา พุทธเจ้าสอนว่า หากอยากได้ความเจริญความเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างสูงสุด ท่านตรัสตอบเทวดาผู้ตั้งปุจฉานี้ว่า ให้เริ่มที่การหาคนดีคบ เป็นอันดับแรก พูดจาไม่เพราะ ให้อยู่ใกล้คนพูดเพราะๆ เป็นคนสับเพร่าบกพร่องบ่อยให้อยู่ใกล้ๆคนรอบคอบ เป็นผู้ไม่รู้ก็ให้อยู่ใกล้ๆผู้รู้ ขงจื้อก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้ว่า ซานเหรินสิงปี้โหยวหว่อซือ ไม่ว่าประกอบกิจการร่วมกันใดๆก็ตาม หากว่า สามคนขึ้นไปแล้ว ท่านย่อมพบคนที่เป็นครูสอนให้ท่านได้คิด อย่างน้อย หนึ่งคน เสมอ
อ่านจบละก็อย่าไปกินหมูเยอะ เพราะหมูไม่ได้หมู หมูมันหิน แก่แล้วอายุเยอะแล้ว เนื้อสัตว์เบาๆลงบ้าง อันนี้ไม่ว่าลัทธิหรือศาสนาใด ตำราแพทย์ใดๆก็สอนสั่งแบบนี้
ด้วยความห่วงใยในสุขภาพ และขอให้ท่านสุขภาพกายใจแข็งแรง
ซินแสหลัว
Xinxae Luo