กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เปรตหิวน้ำ แต่ไม่มีน้ำให้กิน
ชีวิตของคนเราจะเป็นไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนเองกระทำไว้ หากทำกรรมไว้ดี ก็ย่อมจะได้พบแต่ความสุขความเจริญ หากกระทำกรรมชั่วไว้ ย่อมพบแต่ความทุกข์ยากลำบาก ไม่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แต่กรรมที่เรากระทำจะส่งผลต่อไปถึงชาติหน้าด้วย
คนที่รักสุขเกลียดทุกข์ จึงไม่ควรกระทำความชั่วโดยประการทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นที่ลับหรือที่แจ้ง เพราะกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั้นเที่ยงตรง ไม่มีใครที่จะสามารถโกงกฎของธรรมชาติได้ มีทางเดียวที่จะทำได้คือปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรู้จักสร้างเหตุปัจจัยที่จะส่งผลให้เราได้พบแต่ความสุข หากทำชั่วหรือสร้างเหตุปัจจัยที่จะทำให้ตนเองทุกข์ เราก็จะต้องได้รับความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังเรื่องของเปรตต่อไปนี้
นานมาแล้วในเมืองสาวัตถี มีประชาชนเป็นจำนวนมากที่เป็นคนไม่มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ไม่มีความเลื่อมใส พวกเขาเหล่านี้มีจิตถูกครอบงำด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว หวงแหนสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ไม่รู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น
ในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่นั้น ไม่พากันทำบุญให้ทาน ไม่รู้จักสละทรัพย์สินเงินทองหรือสิ่งของช่วยเหลือคนอื่น ทั้งที่ตนเองมีทรัพย์สมบัติพอที่จะช่วยเหลือเจือจุนได้ เพราะจิตใจเต็มไปด้วยความตระหนี่ พวกเขาพากันดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความตระหนี่ จนกระทั่งแก่ชราและตายจากโลกนี้ไปในที่สุด
หลังจากที่ตายแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นเปรตอยู่ใกล้ๆ เมืองสาวัตถีที่พวกเขาเคยอยู่อาศัยตอนที่ยังมีชีวิต ทั้งนี้ก็เพราะผลกรรมคือความตระหนี่ที่พวกเขาสั่งสมไว้นั่นเอง
เช้าวันหนึ่ง “พระมหาโมคคัลลานะ” ได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ขณะที่กำลังเดินอยู่ ก็มองไปเห็นพวกเปรตซึ่งมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวกลุ่มหนึ่ง จึงได้ถามพวกเปรตเหล่านั้นว่า เป็นใคร ทำไมจึงพากันเปลือยกายและมีรูปร่างผิวพรรณน่าเกลียดน่ากลัว ซูบผอม เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหลือแต่ซี่โครง และทำไมจึงพากันมาอยู่ที่นี่
เปรตจึงเล่าให้พระเถระฟังว่า พวกตนเป็นเปรต ได้รับแต่ความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเพราะเคยกระทำกรรมชั่วไว้มาก มีจิตใจชั่ว ไม่เคยให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ไม่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย พากันทำแต่กรรมชั่ว หลังจากตายจากมนุษยโลกแล้ว จึงมาบังเกิดเป็นเปรต
พระโมคคัลลานะเถระได้ฟังแล้วจึงถามเพิ่มเติมว่า ได้พากันทำความชั่วอะไรไว้ หรือทำชั่วด้วยกาย วาจา และใจอย่างไร ผลแห่งกรรมจึงส่งให้ต้องมาเกิดเป็นเปรต ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน
พวกเปรตจึงได้เล่าเหตุแห่งกรรมชั่วที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ว่า
ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ถึงแม้จะมีสมณพราหมณ์จำนวนมาก ที่เป็นเนื้อนาบุญ เป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ แต่พวกตนก็ไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้เลย ไม่เคยทำบุญให้ทานเลย แม้แต่เงินสักสลึงเดียวก็ไม่เคยบริจาค ถึงแม้ว่าจะพอมีทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ได้พากันสร้างที่พึ่งไว้ให้กับตนเอง ไม่ได้สะสมเสบียงที่จะเดินทางต่อไปในชาติหน้าเลย
เพราะเหตุที่ไม่เคยทำบุญกุศลอะไรไว้เลยตลอดชีวิต ทำให้ต้องมีแต่ความหิวกระหายน้ำแทบใจจะขาด มองเห็นแม่น้ำอยู่ข้างหน้าสายใหญ่ มีน้ำเอ่อล้นเต็มตลิ่ง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้แม่น้ำ กลับพบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีน้ำแม้สักหยดเดียวให้ได้ดื่มกิน !!
ในช่วงเวลาเที่ยงวันที่ร้อนจัดแดดจ้าก็ถูกแดดแผดเผา ร้อนจวนเจียนจะไหม้ ใจก็แทบขาด มองเห็นต้นไม้ชายคาที่มีร่มเงาอยู่ใกล้ๆ อยากจะเข้าไปพักอาศัย แต่เมื่อวิ่งเข้าไปหาร่มไม้เหล่านั้น ต้นไม้กลับหายไปหมด มีแต่ความร้อนระอุที่แผดเผาเพิ่มมากขึ้น
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีลมที่มีสีเหมือนกับไฟพัดผ่านมาแผดเผาให้เร่าร้อนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ทั้งลมร้อน ทั้งแดดที่ร้อนระอุแผดเผาร่างกายอยู่อย่างนั้น ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
นอกจากลมและแดดที่แผดเผาแล้ว พวกตนยังถูกความหิวแผดเผาให้ทุกข์ทรมานหิวจนกระทั่งท้องกิ่ว พากันเดินทางไปแสวงหาอาหารตามที่ต่างๆ มากมาย แต่ถึงจะเดินทางไปไกลหลายร้อยหลายพันโยชน์ ก็ไม่สามารถหาอาหารได้แม้แต่นิดเดียว จึงพากันเดินโซซัดโซเซกลับมาด้วยความหิวอย่างแสนสาหัส และพากันสลบล้มลงที่พื้นดิน กลิ้งเกลือกดิ้นรนไปมาอย่างอย่างทุรนทุราย ต่างคนต่างเอาศีรษะชนหน้าอกกันและกัน ด้วยความทุกข์ทรมานจากความหิว
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็เป็นการสมควรแล้วที่พวกข้าพเจ้าได้เสวยทุกข์ มีความกระหาย ความเร่าร้อน เป็นต้นเหล่านี้ รวมถึงทุกข์อย่างอื่นอันชั่วช้าหนักหน่วงทั้งหลาย เพราะเมื่อทรัพย์สินเงินทองมีอยู่ พวกข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน ไม่ได้ทำบุญให้ทาน ไม่ได้สะสมบุญกุศลอะไรไว้ หากว่าพวกข้าพเจ้าหลุดพ้นจากผลกรรมนี้ไปแล้ว มีโอกาสได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง พวกข้าพเจ้าจะทำแต่บุญกุศล ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา อย่างเต็มที่แน่นอน”
“พระมหาโมคคัลลานะ” ได้ฟังเรื่องที่เปรตเล่าให้ฟังแล้ว ก็ได้นำมากราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธองค์จึงได้ทรงนำเรื่องนั้นมาเป็นอุทาหรณ์ แสดงธรรมแก่ชนทั้งหลาย ซึ่งเมื่อได้ฟังธรรมเรื่องนี้แล้ว ต่างก็สามารถละมลทินคือความตระหนี่ออกไปจากจิตใจได้ และเป็นผู้มีจิตใจอิ่มเอิบ เลื่อมใสศรัทธา ตั้งตนอยู่ในความดี รู้จักให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น
คนจำนวนมากในปัจจุบันก็เป็นเช่นกับเปรตในเรื่องนี้นั่นเอง ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็มักจะดำเนินชีวิตไปด้วยความประมาท ไม่รีบสั่งสมบุญกุศลไว้ ถึงจะมีทรัพย์สมบัติก็มักจะนำไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น เที่ยวกลางคืน ซื้อสุรามาดื่ม เล่นการพนัน เป็นต้น คนที่มีปัญญาเท่านั้นที่รู้จักแสวงหาความสุขอันประเสริฐ รู้จักให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพราะสิ่งเหล่านี้นอกจากจะทำให้มีความสุขอยู่ในปัจจุบันแล้ว ยังส่งผลให้มีความสุขไปถึงโลกหน้าด้วย เราทั้งหลายจงอย่าปล่อยให้โอกาสอันประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หลุดลอยไป จงรีบสั่งสมบุญกุศลก่อนที่จะไม่มีโอกาส หากเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะไม่มีโอกาสได้มาสั่งสมบุญกุศลเช่นนี้อีก ต้องรอรับผลบุญที่คนอื่นอุทิศไปให้เท่านั้น
หากเราตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปเกิดเป็นเปรต แล้วไม่มีคนอุทิศบุญกุศลไปให้ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นเวรกรรม เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงไม่ควรรอคอยบุญจากคนอื่นเพียงอย่างเดียว ต้องสร้างความดีด้วยตัวของเราเองในชาตินี้ตอนนี้ ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ อย่าปล่อยให้วันเวลาล่วงผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์เลย จงใช้วันเวลาให้มีค่ามากที่สุดให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ
โพสท์โดย: ทาม