"กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน" พระราชนิพนธ์ที่เกิดจากความคนึงหาเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งทรงดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ไม่เพียงแต่จะบรรยายถึงอาหารไทยไว้อย่างสละสลวย แต่ยังแฝงความนัยไปถึงสตรีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ หากแต่ต้องทรงเก็บซ่อนปิดบังไม่ให้ใครรู้เป็นเวลาถึง ๒ ปี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ ๒ )
สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นได้แก่เจ้าฟ้าหญิงบุญรอด พระธิดาของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางของรัชกาลที่ ๑ หรือถ้าพูดกันตามประสาชาวบ้าน เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดก็เป็นลูกสาวของป้านั่นเอง ในหนังสือ "พงศาวดารกระซิบ" เล่าถึงความรักของเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กับเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดไว้ว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๔ กรมพระศรีสุดารักษ์ประชวร เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จไปเยี่ยมพระอาการ จึงได้เกิดรักแรกพบกับเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด ซึ่งเฝ้าไข้พระมารดาอยู่ที่นั่น นับจากนั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็หมั่นไปเยี่ยมสมเด็จป้า บางครั้งก็จะประทับอยู่เป็นเวลานานกว่าจะกลับตำหนัก จนกระทั่งกรมพระศรีสุดารักษ์สิ้นพระชนม์ พระศพถูกเชิญไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดเสด็จไปทำบุญเมื่อใด
กรมหลวงฯ ก็จะทรงตามเสด็จไปช่วยด้วยทุกครั้งไป สองหนุ่มสาวลูกพี่ลูกน้องจึงคุ้นเคยกันจนกลายเป็นความรักขึ้นมา
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (พระยศเดิม : สมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าบุญรอด)
หลังงานถวายพระเพลิงผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็ไม่มีโอกาสจะได้พบเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดอีก เนื่องจากกุลสตรีไทยในสมัยนั้นต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน จะออกจากบ้านก็ต่อเมื่อมีธุระเท่านั้น แต่เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็หาทางออกจนได้ ด้วยการให้กรมหลวงเทพยวดี พระพี่นางของพระองค์เชิญเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดมาเล่นสกาที่ตำหนัก จากนั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็ทำทีเป็นไปเยี่ยมพระพี่นาง เพื่อจะได้ใกล้ชิดเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดนั่นเอง สองหนุ่มสาวแอบพบกันด้วยวิธีนี้ระยะเวลาหนึ่งจนเกือบถูกจับได้คาหนังคาเขา เมื่อสมเด็จพระอัมรินทรามาตย์ พระมารดาเสด็จมาหากรมหลวงเทพยวดีที่ตำหนัก โชคดีกรมหลวงเทพยวดีมีไหวพริบ จึงรีบออกมารับหน้า แล้วพูดเสียดังให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรและเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดได้ยิน สองพระองค์จึงรีบวิ่งเข้าไปแอบในห้องพระบรรทม รอดปากเหยี่ยวปากกาไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากวันนั้น กรมหลวงศรีสุนทรเทพก็ไม่กล้าใช้ตำหนักเป็นที่ลอบพบกันของพระอนุชากับเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดอีก เพราะเกรงเสด็จแม่จะสงสัยเอาได้ จึงเปลี่ยนแผนการใหม่ โดยกรมหลวงศรีสุนทรเทพเป็นฝ่ายเสด็จไปเยี่ยมเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดที่ตำหนักแทน แล้วให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรตามไปสมทบ แต่การไปเล่นที่ตำหนักของเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดดำเนินไปได้ไม่นานก็เกิดเรื่องอีกจนได้ วันหนึ่งเจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฆนารี พระพี่นางเธอในเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด เสด็จไปแอบทอดพระเนตรเห็นกรมหลวงฯ กับเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดนั่งอยู่ชิดกัน กำลังช่วยกันทอดสกาแข่งกับกรมหลวงศรีสุนทรเทพ ก็ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า "ท้าวพรหมทัตล่วงลัดตัดแดน มาเท้าแขนเล่นสกาพนัน สูๆ สีๆ อีแม่ทองจันทร์ อีกสองสามวันก็เป็นตัวจิ้งจก" แล้วก็ตรัสเล่นอย่างนั้นเป็นเวลาหลายวัน
เจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฆนารี นั้นมีอีกชื่อหนึ่งที่ชาววังเรียกขานกันสั้นๆ ว่า "เจ้าครอกเสียพระจริต" เพราะทรงมีสติไม่สมประกอบเท่าไรนัก ถ้าหากคนสติดีมาเห็นว่าเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดสนิทสนมกับผู้ชาย ก็ยังพอพูดจาให้ช่วยกันปิดบังเรื่องราวได้ แต่พอถูกคนบ้าพบเข้า เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดก็จนปัญญาที่จะปิดปากเจ้าฟ้ากรมขุนอนัคฆนารีได้ วงสกาของหนุ่มๆ สาวๆ จึงต้องย้ายกลับไปเล่นกันที่ตำหนักของกรมหลวงศรีสุนทรเทพตามเดิม แล้วให้นางกำนัลคอยดูต้นทางอยู่หน้าตำหนัก หากพระญาติผู้ใหญ่องค์ใดเสด็จมา เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจะได้ไปหลบซ่อนได้ทัน
สองหนุ่มสาวลอบพบกันอยู่อย่างนี้ถึงสองปี เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดก็ทรงพระครรภ์ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเห็นว่าถึงอย่างไรก็เก็บความลับไว้ไม่ได้แล้ว และถ้าพระบิดารู้เรื่องเข้าก็จะพิโรธใหญ่ จึงเสด็จไปหาคุณเสือหรือเจ้าจอมแว่น เจ้าจอมของพระบิดา ขอให้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้ เพราะเจ้าจอมแว่นนั้นรับใช้ใกล้ชิดและรู้พระทัยพระเจ้าอยู่หัวดี สามารถเข้านอกออกในกราบทูลเรื่องราวได้ทุกเวลา แต่ขนาดเจ้าจอมแว่นที่คนทั้งวังยกย่องว่าเป็นคนโปรดก็ยังต้องดูทิศทางลมอยู่นาน จนวันหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ กำลังสบายพระราชหฤทัย เจ้าจอมแว่นเห็นเป็นโอกาสจึงเข้าไปทูลว่า
"ขุนหลวงเจ้าขา ดีฉันจะทูลความสักเรื่องหนึ่ง แต่ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา ถ้าขุนหลวงกริ้วดีฉันจะไม่ทูล" เจ้าจอมแว่นเข้ามารับใช้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ตั้งแต่เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ต่อมาแม้จะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าจอมแว่นก็ยังเรียกพระสวามีด้วยคำเดิมมาตลอด
พระเจ้าอยู่หัวเฉลียวพระทัยว่าน่าจะมีอะไรชอบกลอยู่ จึงรับสั่งว่า
"เออ พูดไปเถิด กูไม่โกรธดอก"
เจ้าจอมแว่นยังว่า "ดีฉันไม่เชื่อ ขุนหลวงรับสั่งว่าไม่กริ้ว ครั้งดีฉันทูลขึ้นขุนหลวงก็จะกริ้ววุ่นวายไปถ้าอย่างนั้นขุนหลวงสบถให้ดีฉันเสียก่อน ดีฉันจึงจะทูล"
"อีอัปรีย์ บ้านเมืองลาวของ...เคยให้เจ้าชีวิตสันดานสบถหรือ กูไม่สบถ พูดไปเถิดกูไม่โกรธดอก"
ที่ทรงตรัสว่า "บ้านเมืองลาวของ..." เพราะเจ้าจอมแว่นท่านเป็นชาวลาวพุงขาวที่ทรงไปพบเข้าเมื่อครั้งนำทัพไปตีเมืองเวียงจันทร์
เจ้าจอมแว่นแสร้งอิดออดต่อไปอีก จนพระเจ้าอยู่หัวรับปากว่าจะไม่เฆี่ยนตีผู้ที่เกี่ยวข้อง เจ้าจอมแว่นจึงกระซิบว่า
"แม่รอด เดี๋ยวนี้ท้องขึ้นมาได้ 4 เดือนแล้ว"
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หากอื้อฉาวออกไปก็จะกลายเป็นที่ติฉินนินทาไปทั่ว มีหรือที่พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังแล้วจะไม่พิโรธ แต่เจ้าจอมแว่นก็รีบทูลแก้ตัวให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรหมายจะให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงเห็นความเหมาะสมของคู่หนุ่มสาวว่าสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
"รักชมสมกันจริงๆ มีลูกมีเต้าออกมาจะอุ้มชูก็ไม่น่ารังเกียจ ขุนหลวงอย่ากริ้วหนา"
"...เห็นดีไปคนเดียวเถิด พี่น้องเขายังอยู่เป็นก่ายเป็นกอง เขาไม่รู้ก็จะว่ากูสมรู้ร่วมคิดเป็นใจให้ลูกทำข่มเหงเขา อนึ่งทำดูถูกเทวดารักษารั้ววังไม่มีความเกรงกลัว ถ้าจะรักใคร่กันก็จะบอกกล่าวผู้ใหญ่ให้เป็นที่เคารพนบนอบแต่โดยดี นี่ทำบังอาจจะเอาแต่ใจไม่คิดแก่หน้าผู้ใด"
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเกรงกรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเชษฐาของเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดจะทรงน้อยพระทัย ทั้งทรงเกรงว่ากรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) และกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) จะดูถูกฝ่ายพระราชวังหลวงเอาได้ จึงมีรับสั่งให้พาเจ้าหญิงบุญรอดออกไปเสียจากพระราชวังในคืนนั้นเลย
เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดจึงต้องไปพักที่ตำหนักของกรมหลวงเทพหริรักษ์ ไม่มีโอกาสได้พบกับเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรอีก เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดเป็นผู้มีฝีมือทางเครื่องคาวหวานจึงมักทำกับข้าวให้คนนำไปถวายเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรอยู่เสมอ
กรมหลวงอิศรสุนทรเสวยแล้วคิดถึงหญิงคนรัก จึงแต่งกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานขึ้นมา เพื่อชมเชยฝีมือทำกับข้าวของเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด พร้อมทั้งรำพันความรักความคิดถึงของพระองค์ลงไปในแต่ละบทด้วย
"มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา"
"ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง"
ล่วงเลยมาประมาณ ๓ เดือน พอคะเนว่าพระบิดาน่าจะคลายความพิโรธลงบ้างแล้ว เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็เสด็จไปเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระอนุชาธิราชของพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงเป็นคนกลางไปช่วยทูลขอพระราชทานอภัยโทษกับพระบิดา พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระราชทานให้เนื่องจากเห็นแก่เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดซึ่งกำลังใกล้คลอดเต็มทน หากคลอดลูกออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เจ้าฟ้าหญิงก็จะได้รับความอัปยศ เสื่อมเสียพระเกียรติยิ่งนัก จากนั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็เสด็จไปเฝ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เพื่อขอรับตัวเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดกลับไปอยู่ในพระราชวังตามเดิม แต่กรมหลวงเทพหริรักษ์ก็ยังไม่วางพระทัย เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจึงทรงให้คำปฏิญาณว่าจะยกย่องเจ้าฟ้าหญิงบุญรอดเหนือกว่านางในและพระราชบุตร พระราชธิดาทุกพระองค์ กรมหลวงเทพหริรักษ์จึงยอมให้เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดกลับมาเตรียมตัวคลอดในพระบรมมหาราชวัง
ต่อมาเมื่อกรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นเสวยราชสมบัติใน พ.ศ.๒๓๕๒ เจ้าฟ้าหญิงบุญรอดก็ทรงได้ดำรงตำแหน่งพระอรรคมเหสี ตามที่กรมหลวงอิศรสุนทรได้ปฏิญาณไว้กับกรมหลวงเทพหริรักษ์ ทรงมีพระราชโอรสสองพระองค์คือ เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ ๔) และเจ้าฟ้าจุฑามณี (พระปิ่นเกล้าฯ)
เรื่องราวความรักจึงจบลงด้วยดี และไทยเรายังได้มีกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานไว้เป็นสมบัติอันทรงคุณค่าของชาติอีกชิ้นหนึ่งจนถึงทุกวันนี้ด้วย
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ ๒ )
ลักษณะคำประพันธ์ : แต่งตามกาพย์เห่เรือคือแต่งเป็นโคลงผสมกาพย์ตอนต้นเป็นโคลงสี่สุภาพ ๑ บท ตามด้วยกาพย์ยานี๑๑ ไม่จำกัดจำนวน กาพย์ยานีบทแรกจะเลียนความจากโคลงสี่สุภาพตอนต้น
เห่ชมเครื่องคาว
แกงไก่มัสมั่นเนื้อ นพคุณ พี่เอย
หอมยี่หร่ารสฉุน เฉียบร้อน
ชายใดบริโภคภุญช์ พิศวาส หวังนา
แรงอยากยอหัตถ์ข้อน อกให้หวนแสวง ๚
๏ มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
๏ ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน้ำส้มโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง
๏ หมูแนมแหลมเลิศรส พร้อมพริกสดใบทองหลาง
พิศห่อเห็นรางชาง ห่างห่อหวนป่วนใจโหย
๏ ก้อยกุ้งปรุงประทิ่น วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
รสทิพย์หยิบมาโปรย ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน ของสวรรค์เสวยรมย์
๏ ความรักยักเปลี่ยนท่า ทำน้ำยาอย่างแกงขม
กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม ชมไม่วายคล้ายคล้ายเห็น
๏ ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ
๏ เหลือรู้หมูป่าต้ม แกงคั่วส้มใส่ระกำ
รอยแจ้งแห่งความขำ ช้ำทรวงเศร้าเจ้าตรากตรอม
๏ ช้าช้าพล่าเนื้อสด ฟุ้งปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ์
๏ ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
๏ เห็นหรุ่มรุมทรวงเศร้า รุ่มรุ่มเร้าคือไฟฟอน
เจ็บไกลในอาวรณ์ ร้อนรุมรุ่มกลุ้มกลางทรวง
๏ รังนกนึ่งน่าซด โอชารสกว่าทั้งปวง
นกพรากจากรังรวง เหมือนเรียมร้างห่างห้องหวน
๏ ไตปลาเสแสร้งว่า ดุจวาจากระบิดกระบวน
ใบโศกบอกโศกครวญ ให้พี่เคร่าเจ้าดวงใจ
๏ ผักโฉมชื่อเพราะพร้อง เป็นโฉมน้องฤๅโฉมไหน
ผักหวานซ่านทรวงใน ใคร่ครวญรักผักหวานนาง ๚
เห่ชมผลไม้
ผลชิดแช่อิ่มโอ้ เอมใจ
หอมชื่นกลืนหวานใน อกชู้
รื่นรื่นรสรมย์ใด ฤๅดุจ นี้แม
หวานเลิศเหลือรู้รู้ แต่เนื้อนงพาล ๚
๏ ผลชิดแช่อิ่มอบ หอมตรลบล้ำเหลือหวาน
รสไหนไม่เปรียบปาน หวานเหลือแล้วแก้วกลอยใจ
๏ ตาลเฉาะเหมาะใจจริง รสเย็นยิ่งยิ่งเย็นใจ
คิดความยามพิสมัย หมายเหมือนจริงยิ่งอยากเห็น
๏ ผลจากเจ้าลอยแก้ว บอกความแล้วจากจำเป็น
จากช้ำน้ำตากระเด็น เป็นทุกข์ท่าหน้านวลแตง
๏ หมากปรางนางปอกแล้ว ใส่โถแก้วแพร้วพรายแสง
ยามชื่นรื่นโรยแรง ปรางอิ่มอาบซาบนาสา
๏ หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา
คิดความยามนิทรา อุราแนบแอบอกอร
๏ ลิ้นจี่มีครุ่นครุ่น เรียกส้มฉุนใช้นามกร
หวนถวิลลิ้นลมงอน ชะอ้อนถ้อยร้อยกระบวน
๏ พลับจีนจักด้วยมีด ทำประณีตน้ำตาลกวน
คิดโอษฐ์อ่อนยิ้มยวน ยลยิ่งพลับยับยับพรรณ
๏ น้อยหน่านำเมล็ดออก ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย
มือใครไหนจักทัน เทียบเทียมที่ฝีมือนาง
๏ ผลเกดพิเศษสด โอชารสล้ำเลิศปาง
คำนึงถึงเอวบาง สางเกศเส้นขนเม่นสอย
๏ ทับทิมพริ้มตาตรู ใส่จานดูดุจเม็ดพลอย
สุกแสงแดงจักย้อย อย่างแหวนก้อยแก้วตาชาย
๏ ทุเรียนเจียนตองปู เนื้อดีดูเหลือเรืองพราย
เหมือนศรีฉวีกาย สายสวาทพี่ที่คู่คิด
๏ ลางสาดแสวงเนื้อหอม ผลงอมงอมรสหวานสนิท
กลืนพลางทางเพ่งพิศ คิดยามสารทยาตรามา
๏ ผลเงาะไม่งามแงะ มล่อนเมล็ดและเหลือปัญญา
หวนเห็นเช่นรจนา จ๋าเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม
๏ สละสำแลงผล คิดลำต้นแน่นหนาหนาม
ท่าทิ่มปิ้มปืนกาม นามสละมละเมตตา ๚
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน(ผลไม้) อาจารย์วัลลา นาฏประเสริฐ โพสท์โดยคุณ kor pak
เห่ชมเครื่องหวาน
สังขยาหน้าไข่คุ้น เคยมี
แกมกับข้าวเหนียวสี โศกย้อม
เป็นนัยนำวาที สมรแม่ มาแม
แถลงว่าโศกเสมอพ้อม เพียบแอ้อกอร ๚
๏ สังขยาหน้าตั้งไข่ ข้าวเหนียวใส่สีโศกแสดง
เป็นนัยไม่เคลือบแคลง แจ้งว่าเจ้าเศร้าโศกเหลือ
๏ ซ่าหริ่มลิ้มหวานล้ำ แทรกใส่น้ำกะทิเจือ
วิตกอกแห้งเครือ ได้เสพหริ่มพิมเสนโรย
๏ ลำเจียกชื่อขนม นึกโฉมฉมหอมชวยโชย
ไกลกลิ่นดิ้นแดโดย โหยไห้หาบุหงางาม
๏ มัศกอดกอดอย่างไร น่าสงสัยใคร่ขอถาม
กอดเคล้นจะเห็นความ ขนมนามนี้ยังแคลง
๏ ลุดตี่นี้น่าชม แผ่แผ่นกลมเพียงแผ่นแผง
โอชาหน้าไก่แกง แคลงของแขกแปลกกลิ่นอาย
๏ ขนมจีบเจ้าจีบห่อ งามสมส่อประพิมพ์ประพาย
นึกน้องนุ่งจีบกราย ชายพกจีบกลีบแนบเนียน
๏ รสรักยักลำนำ ประดิษฐ์ทำขนมเทียน
คำนึงนิ้วนางเจียน เทียนหล่อเหลาเกลากลึงกลม
๏ ทองหยิบทิพย์เทียมทัด สามหยิบชัดน่าเชยชม
หลงหยิบว่ายาดม ก้มหน้าเมินเขินขวยใจ
๏ ขนมผิงผิงผ่าวร้อน เพียงไฟฟอนฟอกทรวงใน
ร้อนนักรักแรมไกล เมื่อไรเห็นจะเย็นทรวง
๏ รังไรโรงด้วยแป้ง เหมือนนกแกล้วทำรังรวง
โอ้อกนกทั้งปวง ยังยินดีด้วยมีรัง
๏ ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง
๏ งามจริงจ่ามงกุฏ ใส่ชื่อดุจมงกุฏทอง
เรียมร่ำคำนึงปอง สะอิ้งน้องนั้นเคยยล
๏ บัวลอยเล่ห์บัวงาม คิดบัวกามแก้วกับตน
ปลั่งเปล่งเคร่งยุคล สถนนุชดุจประทุม
๏ ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไลคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
๏ ฝอยทองเป็นยองใย เหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์ เย็บชุนใช้ไหมทองจีน ๚
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
ซ้ำขออภัยค่ะ
หนังสือประชุมกาพย์เห่เรือ กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร