เผยประวัตินักเลงเมืองไทย 2499
สังคมไทยปัจจุบันมักได้ยินข่าวนักเลงยกพวกตีกัน อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักศึกษาต่างสถาบันไม่พอใจ วิ่งไล่แทงบนถนน หรือข่าวความพอใจแก๊งค์คู่อริจนต้องยกพวกทำร้ายกันถึงเสียชีวิต แต่นั่นเป็นปัญหาที่มีมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เพียงแต่คำว่านักเลงอันธพาลในอดีตไม่ได้เป็นเหมือนปัจจุบัน
หากย้อนไปเมื่อปีพ.ศ.2499 กลุ่มนักเลงอันธพาลที่รู้จักกันดีในเมืองไทยคงต้องยกใ ห้พวกเขาเหล่านี้ นั่นคือ “ปุ๊ ระเบิดขวด” “ดำ เอสโซ่” และ “แดง ไบเล่ย์” พวกเขามีประวัติโชกโชนอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยจ้า
1. แดง ไบเล่ย์ มีชื่อจริงว่า นายบัญชา สีสุกใส เกิดเมื่อปี 2483 ภายในตรอกสลักหิน แม่เป็นเจ้าของร้านซักรีด ชีวิตเขาเคยนำมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวภาพยนตร์ แต่ตัวจริง แดง ไบเล่ย์ไม่เคยฆ่าคน ไม่เคยดื่มเหล้า เขาเป็นเพียงนักเลงวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำขณะกำลังเดินทางไปเป็นลูกน้องกับผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เมื่อปี 2507 ด้วยวัยเพียง24 ปี
2. ปุ๊ ระเบิดขวด มีชื่อจริงว่า นายจพริญ บุญยดิษฐ์ เคยเป็นเพื่อนรักกับ แดง ไบเลย์ ที่มาของฉายาเขา เกิดจากมีเหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นทะเลาะกัน มีการปาระเบิดขวด แต่ ปุ๊ไม่เคยใช้ระเบิดขวดสักครั้งเลยในชีวิต แต่หนังสือพิมพ์กลับถ่ายภาพเขาไว้ได้ชัดที่สุด เลยเป็นที่มาของ ปุ๊ ระเบิดขวด เสียชีวิตเพราะมือขวาของตัวเองยิง
3. ดำ เอสโซ่ มีชื่อจริงว่า นายชาติชาย แจ้งสว่าง มือขวาของ ปุ๊ ระเบิดขวด นั่นเอง เป็นนักเลงคุมซ่องย่านสวนมะลิ ต่อมาได้ร่วมกับปุ๊ ระเบิดขวด เปิดซ่อง แต่เกิดมีปัญหากัน ต่อมาก็โดนเพื่อนฝ่ายคู่อริยิงจนเสียชีวิต
4. “ปุ๊ กรุงเกษม” มีชื่อจริงว่านาย บรรเจิด กฤษณายุทธ ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่และเป็นสามีของคุณแหวน ฐิติมา เป็นนักเลงดังจากฝั่งธน และเป็นคนที่ตีกับพวกของแดง ไบเล่ย์ในศึก 13 ห้างบางลำพู
5. “แหลมสิงห์” เป็นผู้คุมในเรือนจำแต่ชอบมาเที่ยวผู้หญิงที่บริเวณบ้านของแดงบ่อยๆ ก็เลยสนิทกับแม่ของแดง และแม่ของแดงเลยฝากฝังแดงให้แหลมสิงห์ดูแล แหลมสิงห์จึงรักแดงเหมือนน้องแท้ๆ “แหลมสิงห์”ตายเพราะถูกปุ๊กับดำตามมาเอาคืนเพราะโดนแหลมสิงห์นวดจนน่วมตอนที่ติดคุก
เปิดตำนาน นักเลงในยุค พ.ศ. 2499 ของจริง !
(แดง ไบเล่ย์)
แดง ไบเล่ย์ มีชื่อจริงว่า บัญชา สีสุกใส เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2483 ที่ตรอกสลักหิน หรือที่นิยมเรียกว่า ตรอกไบเล่ย์ (เป็นที่ตั้งโรงงานผลิตเครื่องดื่มน้ำหวานไบเล่ย์ปัจจุบันนี้ยี่ห้อนี้ไม่มีแล้วนะครับ) ข้างหัวลำโพง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โดยเป็นลูกของนางโฉมเจ้าของร้านซักอบรีดและห้องเช่าในย่านนั้น โดยพ่อเสียชีวิตไปก่อนที่แดงจะเกิด
แดงเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่นเป็นหัวโจกของบรรดาวันรุ่นทั้งหลายในยุคนั้น จนมีชื่อเสียงโด่งดังว่า แดง ไบเล่ย์ เนื่องด้วยบรรดานักเลงอันธพาลในยุคก่อน พ.ศ. 2500 นั้นล้วนแต่มีชื่อเรียกขานต่างๆเช่น พจน์ เจริญพาศน์, พัน วังหลัง, ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่, แหลมสิงห์, จ๊อด เฮาดี้, แอ๊ด เสือเผ่น, เบ้น เนอร์, พล ตรอกทวาย, เหลา สวนมะลิ เป็นต้น แต่ แดง ไบเล่ ถือเป็นขวัญใจของเหล่าวัยรุ่นตัวจริง เนื่องจากเป็นบุคคลหน้าตาดี กล่าวกันว่า แดง ไบเล่ สามารถกอดคอกับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้นได้เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องราวชีวิตจริงของ แดง ไบเล่ย์ ที่ต่างจากภาพยนต์ก็คือ แดง ไบเล่ย์ ตัวจริงไม่เคยฆ่าคน ไม่ใช่โจร เป็นเพียงนักเลงวัยรุ่นธรรมดา ส่วนในภาพยนต์ที่บอกว่า แดง ไบเล่ย์ ชอบดื่มเหล้านั้นจริงๆแล้วไม่เคยมีใครเห็น แดง ไบเล่ย์ ดื่มเหล้าเลยสักคน แถม แดง ไบเล่ย์ ยังชื่นชออบ "มิล์คเชค"(นมเย็น) ที่สุดอีกต่างหาก
แดง ไบเล่ย์ เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2507 ด้วยวัยเพียง 24 ปี ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำขณะเดินทางไปชลบุรีเพื่อเป็นลูกน้องของผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งที่นั่น (บางตำราที่อ่านมาบอกไม่ได้เป็นคนขับเองด้วยซ้ำไปครับ )
(ปุ๊ ระเบิดขวด)
ปุ๊ ระเบิดขวด มีชื่อจริงว่า นายจำเริญ บุญยดิษฐ์ เป็นนักเรียนโรงเรียนศิริศาสตร์ สีย่าน กทม. มีฉายาเดิมว่า "ปุ๊ ตรอกสาเก"เคยเป็นเพื่อนรักกับ แดง ไบเล่ย์ บู๊เก่งดุดัน ตอนศึก 13 ห้างบางลำพูคนที่ตีกับแดงคือ ปุ๊ กรุงเกษม ไม่ใช่ปุ๊ ระเบิดขวด เพราะตอนนั้นเขายังรักกันดีอยู่ สุดท้ายต้องจบชีวิตเพราะถูก ดำ เอสโซ่ยิงตาย
ปุ๊ ระเบิดขวด ฉายาที่ได้มาทั้งๆที่ไม่เคยใช้ระเบิดขวดเลยสักครั้งในชีวิต
หนังสือพิมพ์รายวันต่างพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเสนอข่าวกันอย่างอึกทึกครึกโครมทุกฉบับ รายงานข่าวละเอียดยิบเกี่ยวกับกรณี วัยรุ่นสองกลุ่มก่อเหตุรุนแรงขั้นจราจลเข้าประจัญบานกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านที่สะพานขาวและปิดท้ายด้วยระเบิดขวดซึ่งสำแดงอานุภาพร้ายกาจ และขาดไม่ได้ก็คือภาพถ่ายของบรรดาเด็กหนุ่มคะนองเลือดที่จนมุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ มันถูกตีพิมพ์หราปรากฎโฉมหน้าเป็นที่รู้จักไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปุ๊ ตรอกสาเก หรือชื่อจริงตามทะเบียนสำมะโนครัวว่า จำเริญ บุญยดิษฐ์ ในฐานะที่เป็นหัวโจกนำขบวนนักบู้ฝ่ายรุก แม้จะไม่ใช่คนใช้ระเบิดร้ายแรงถล่มคู่อริ แต่เขาก็ได้ฉายาใหม่จากหนังสือพิมพ์แทนของเดิม นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าฉบับใดก็เรียกเขาด้วยฉายาเดียวกันว่า "ปุ๊ ระเบิดขวด" และมันก็กลายเป็นฉายาติดตัวจนกระทั่งวาระสุดท้ายทั้งๆที่ปุ๊ไม่เคยใช้ระเบิดขวดแม้แต่ครั้งเดียว
(ดำ เอสโซ่)
ดำ เอสโซ่ มือขวาของ ปุ๊ ระเบิดขวด ชื่อจริงเท่าที่ค้นมาได้คือ. ชาติชาย เเจ้งสว่าง (อันนี้ไปหามาครับ) เป็นคนที่เรียกว่ารักพวกพ้องมากๆ เป็นนักเลงคุมซ่องย่านสวนมะลิก่อนจะมารู้จักกับปุ๊ พูดน้อย ต่อยหนัก ฉายา "ผู้เงียบขรึม" หลังจากออกจากคุกพร้อมปุ๊ ระเบิดขวด ก็ร่วมกันเปิดซ่องพร้อมกับเพื่อนสนิทคนอื่นๆ แต่ปุ๊เกิดผิดใจกับเพื่อนของดำจึงยิงใส่เพื่อนของดำ ดำจึงยิงปุ๊ตายหลังจากนั้นเจ้าตัวก็โดนอริยิงจนพิการและเสียชีวิตไปในที่สุดครับ
(ปุ๊ กรุงเกษม )
ปุ๊ กรุงเกษม มีชื่อจริงว่า บรรเจิด กฤษณายุทธ ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่ เป็นตำนานมีชีวิตและเป็นสามีของคุณแหวน ฐิติมา นักเลงดังจากฝั่งธนฯ คนนี้แหละที่ตีกับพวกของแดง ไบเล่ย์ในศึก 13 ห้างบางลำพู และแต่งหนังสือชื่อ "เดินอย่างปุ๊" ซึ่งบอกเล่าเรื่องเท็จจริงของนักเลงยุคหลังวังทั้งหมด
(แหลมสิงห์ )
แหลมสิงห์ ไม่เชิงวัยรุ่นเสียทีเดียว เป็นผู้คุมในเรือนจำแต่มาเที่ยวผู้หญิงที่บ้านของแดงบ่อยๆ ก็เลยสนิทกับแม่ของแดง (และทีบอกว่าแม่ของแดง ไบเล่ย์ เป็นโสเภณี แต่เรื่องจริงแม่เขาทำงานบ้านในบ้านของโสเภณีเท่านั้น ในหนังเขาทำเอามาสร้างเรื่องผิดพลาดจนกลายเป็นชีวิตของมาเฟียไป) แม่ของแดงเลยฝากฝังแดงให้แหลมสิงห์ดูแล แหลมสิงห์จึงรักแดงเหมือนน้องแท้ๆ และก็ไม่ได้ตายในงานบวชของแดงเหมือนในหนัง แต่ตายเพราถูกปุ๊ ระเบิดขวดกับดำ เอสโซ่ ตามมาคิดบัญชีเพราะโดนแหลมสิงห์นวดจนน่วมตอนที่ติดคุก
(จ๊อด เฮาดี้ )
จ๊อด เฮาดี้ เป็นเพื่อนซี้ของแดง ไบเล่ย์ ที่ได้ฉายาว่าเฮาดี้เพราะสมัยนั้นน้ำอัดลมไบเล่ย์จะคู่กับเฮาดี้ เป็นนักเลงระดับแถวหน้าในยุคนั้นเช่นกัน (ปัจจุบันไม่แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ) และเป็นศิษย์เก่าช่างกลปทุมวัน
(เปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์)
สุริยัน ศักดิ์ไธสง หรือ "เปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์" มีชื่อจริงว่า “ถาวร ภู่ประเสริฐ” เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2481 ที่กรุงเทพมหานคร เคยศึกษาอยู่โรงเรียนช่างกลปทุมวัน มารดาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก และบิดาชื่อ "นายผาด" หลังจากนายผาดพ้นโทษจากเรือนจำบางขวางแล้ว สุริยัน ศักดิ์ไธสง หรือ "เปี๊ยก" จึงได้ย้ายจากนนทบุรีมาอยู่กับบิดาที่บ้านพานถมและนายผาดก็บวชเป็นพระ ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนช่างกลปทุมวัน
กลุ่มเพื่อนในระแวกนั้นที่เติบโตมาพร้อมๆกับเขามี "แดง ไบเล่" "ปุ๊ ระเบิดขวด" "ดำ เอสโซ่" "แหลมสิงห์" "พล ตรอกทวาย" "พัน หลังวัง" "จบ หลังวัง" "เก๊าตี๋" เมื่อการเรียนไม่สามารถตอบโจทย์ของชีวิตเขาได้ จึงเบนเข็มทิศชีวิตด้วยปณิธานของตน "จะเอาดีในหนทางชั่ว" หลังถูกไล่ออกจากโรงเรียนแล้ว เมื่อ พ.ศ.2500 เกิดการปฏิวัตรัฐประหารรัฐบาล จอมพล ป. โดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กลุ่มบุคคลเช่นพวกเขา ก็ถูกทางการหมายหัวไปตามๆกัน ก็ต่างแยกย้ายกระจัดกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ อาทิเช่น "นิตย์ บางลำภู" "ล้อ วงเวียน22" "ชัยโพธิ์สามต้น" "ขาว เฉลิมเขตร" "ยูร อินทรี" "สุมาอี้" "เก๊าตี๋" "โอเหล่" "แอ๊ด เสือเผ่น" และ " เหลา สวนมะลิ "(คนนี้คือ เจ้าพ่อวงการมวย แคล้ว ธนิคกุล เจ้าพ่อแม่กลองบ้านเรานี่แหล่ะครับ เสียชีวิตไปแล้ว.)
หลังจากร่วมทำธุรกิจเถื่อนกับหมู่เชียร(อดีตตำรวจรถถัง) ที่นิวแลนด์ อู่ตะเภาได้ไม่นาน หมู่เชียรก็ถูกฝ่ายตรงข้ามยิงเสียชีวิต หลังจากงานศพ ทั้งเขาและแดงกับกลุ่มเพื่อนๆ ก็ถูก"ผู้ใหญ่เต็ก" นายทุนใหญ่จากแดนใต้ชักชวนเขามาทำธุรกิจเถื่อนกันอีกครั้ง ชลบุรีขณะนั้นมีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง จึงถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกวาดล้างอีกครั้ง และจำต้องแยกย้ายเปลี่ยนที่อยู่อาศัยกันอีก เขาเลือกที่จะกลับไปเยี่ยมหลวงพ่อผู้เป็นบิดาที่วัดปรินายก และถูกเจ้าหน้าทีตำรวจจับกุม ขณะที่เขาถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำลาดยาวนั้น ก็ได้พบปะเพื่อนฝูงหรือพี่ในวงการนักเลงไม่น้อย ภายหลังหันมาเป็นนักเขียน ประเภทเรื่องราวด้านมืดของสังคม เคยอ่านกันบ้างไหมครับ ..
(ส่วนหนึ่งจากหนังสือขังเดียวและเส้นทางมาเฟียเขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)
สุริยัน ศักดิ์ไธสง เสียชีวิตลงด้วยโรคตับแข็งและมะเร็งร่วมด้วย เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2547
(พจน์ ช่างกล)
เป็นนักเลงรุ่นใหญ่จากช่างกลพระนครเหนือที่ฝั่งธนฯ เป็นที่เคารพเกรงใจของพวกรุ่นน้องอย่าง แดง ไบเล่ย์พอสมควร
(ป.วาฬ หรือจ่าวาฬ)
เป็นนักเลงรุ่นใหญ่กว่าพวกของแดง ไบเล่ย์ ซึ่งปุ๊ ระเบิดขวดเคยไปลูบคมครั้งนึงเลยโดนลูกน้องของจ่าวาฬไล่ยิงเอาแต่รอดมาได้
นักเลงในรุ่นนี้เท่าที่ทราบจะมี เกชา เปลี่ยนวิถี (อดีตดาราตัวร้ายที่ชีวิตจริงเคยเป็นเจ้าพ่อ และถูกจับสัญญาว่าจะล้างมือจากวงการ กับนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งไว้ว่างๆ ผมจะโพสต์นะ และเป็นพ่อของ นาตาชา เปลี่ยนวิถี ภรรยา ตุ้ย ธีรภัทร งัยครับ )
และ ธาดา สู้ทุกทิศ
และนี่คืออีกท่านหนึ่งที่คนนึกไม่ถึงแน่ๆ คือ..
(เปี๊ยก เจริญพาสน์ )
หรือที่ปัจจุบันคนทั้งประเทศรู้จักกันในนาม พิศาล อัครเศรณี (ผู้สร้างภาพยนตร์ และกำกับการแสดงชื่อดัง คุณพ่อของ อ้อม) เปี๊ยก เจริญพาสน์เป็นนักเรียนมัธยมวัดบวรนิเวศน์ ในสมัยนั้น และเป็นเพื่อนรักกับแดงไบเล่ ในชีวิตจริง..
นี่คือส่วนนึงของนักเลงในยุค พ.ศ. 2499
เอาแต่ตัวเลขศักราช 2499 ก็ยังไม่ตรงกับเวลาที่เป็นจริง (จากบทความข้อเขียนของปุ๊ กรุงเกษม ปัจจุบันยังคงมีชีวิตอยู่ เป็นตำนานมีชีวิตและเป็นสามีของคุณแหวน ฐิติมา นักเลงดังจากฝั่งธนฯ ของจริงๆ ว่าไว้ )
เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด การบิดเบือนประวัติศาสตร์หนนี้ จะด้วยความมักง่ายเห็นแก่ได้ หรือหลงใหลเพ้อเจ้อโง่เซ่อบ้าอะไรก็ตามที มันไม่เพียงแต่จะเป็นการป้อนข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชนเท่านั้น มันยังทำลายภาพลักษณ์ของวัยรุ่นยุคหลังพุทธศักราช 2500 ให้ยับย่อยป่นปี้หนกกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ก็พลอยได้รรับผลกระทบต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปตามๆกัน
บางส่วนก็ยังไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหนถึงกับตบะแตก ทั้งๆที่อุตส่าห์ถอดเขี้ยวเล็บ ปลดดาบวางทวนลงจากหลังม้าเร้นตัวอยู่อย่าง สมถะมาเนิ่นนานกว่าสามทศวรรษ และยังเผยโฉมหน้าออกมาโต้แย้งทั้งเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง ตลอดจนครอบครัว วงศาคณาญาติ และเพื่อยืนยันประวัติศาสร์หน้าเดิมที่เป็นจริง ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น คือ บรรเจิด กฤษณายุทธ ผู้เคยเดินเคียวไหล่ กับปุ๊ระเบิดขวด แดง ไบร์เล่ย์ ดำ เอ๊สโซ่ และขุนรบระดับพระกาฬคนอื่นๆ กรำศึกกันมาอย่างโชกโชน ภายใต้ฉายา “ปุ๊ กรุงเกษม” เองนี้แหละครับ
และเมื่อเขายอมรื้อฟื้นอดีตที่พยายามเก็บฝัง แผ่ออกมาเพื่อเรียกร้องความถูกต้องชอบธรรม “ปุ๊ กรุงเกษม” ได้เขียนระบายไว้ที่หนังสือ "เดินอย่างปุ๊" หาอ่านเอาเองนะครับ ..
ยังมี..พัน หลังวัง หัวโจกของเด็กหลังวัง แดงมักเรียกว่า โต้ โผ๋ใหญ่
เอ็ม หลังวัง เคยตีกับแก๊งค์ไบเล่เกือบตาย /อ๊อต หลังวัง /จบ หลังวัง /ดิน เชื้อเพลิง /พล ตรอกทวาย /แอ๊ด เสือเผ่น /เก๋า ม้าเก๊ง/ล้อ วงเวียน /หนอง บ้านบาตร/ ชัยขาว/มัด บ้านแขก/พจน์ ช่างกล /เล็ก โพธิ์ดำ /อู๊ด บางกระบือ /หล่อ สะพานขาว/ปุ๊ วงเวียนเล็ก หรือ ปุ๊ วัดมอญ /เจตน์ หลังวัง /แมว หลังวัง /แดน ตีนโต /เจมส์ ขาม้า/อาร์ม ขาเดฟ /อ้น เฉาก๊วย อาศัยอยุ่กับปู่ทีร้านขายเฉาก๊วยเป็นอาชีพเลยได้ฉายามา
บอล สปาต้า ไม่ใช่ว่าใช้มีดนะบ้านเขาขายมีดเลยเป็นฉายา
เบล หมาใน ได้ฉายาหมาในเพราะเวลาโมโหทำได้ทุกอย่าง
ทั้งหมดนี้ ชื่อที่ใช้เรียกขานกันจะมาจาก ถิ่น เสียส่วนใหญ่ แต่ บุคลเหล่านี้ ไม่ได้มีนิสัยอันธพาล เหมือนเด็กวัยรุ่นในปัจจุบันนี้นะครับ พวกนี้เป็นนักเลงจริงที่เค้ารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ..
และนี่คือ นักเลงในยุค พ.ศ. 2499 หรือ ยุคหลังพุทธศักราช 2500 ที่“ปุ๊ กรุงเกษม” ได้เขียนบอก
.............................