จากกระทู้นี้ในพันทิพ กับการตั้งคำถามยิงตรงไปที่นักบวชในพระพุทธศาสนาและนักบวชในศาสนาอื่นโดยตรงว่า พระเหล่านี้ควรได้รับสิทธิพิเศษในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะไทยหรือไม่ ทำไมต้องให้สิทธิด้วย โดยเธอให้เหตุผลว่า....
ลองผังความเห็นของอาจารย์ ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ ตอบประเด็นนี้ว่า
ทำไมพระต้องขึ้นแท็กซี่
เพราะมีโยมที่คิดแบบนี้ คิดว่าพระไปเบียดเบียนโยม พระจึงต้องขึ้นแท็กซี่
พอพระขึ้นแท็กซี่ โยมอีกฝ่ายก็บอกว่า เปลือง จะเอาสะดวกสบายไปถึงไหน
พระขึ้นรถเมล์แล้วนั่งในที่ๆ เขาจัดไว้ให้ โยมส่วนหนึ่งก็คิดว่า พระเอาเปรียบ ทำไมไม่รู้จักยืน
พอพระยืนบนรถเมล์ โยมส่วนหนึ่งก็ติเตียนว่าอาจาระไม่งาม แถมยังไปเบียดกับสีกาอีกด้วย
พอพระขึ้นแท็กซี่ก็ต้องจ่ายค่าแท็กซี่ ถ้าไม่จ่าย คนขับแท็กซี่ก็จะด่าเอา แถมเผลอๆ ยังจะถูกสังคมจับตาว่าที่บวชเป็นพระเพราะอยากขึ้นรถฟรี
จะดีกว่าไหม ถ้าเราอุบาสก อุบาสิกา จะมาช่วยเป็นกัปปิยการกให้พระ อุบาสกสละเวลาและทรัพย์พาพระขึ้นแท็กซี่ อุบาสิกาสละทรัพย์ไว้ให้กับอุบาสกถือไว้เป็นค่ารถ
พระวินัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ชาวพุทธเราทุกวันนี้ พากันด่าพระ ติเตียนพระ โดยไม่คิดจะใช้มือ ใช้ใจ ช่วยอะไรพระเลย
ทิมมี่ขอเพิ่มเติมให้ด้วยนะครับ
นักบวชในพระพุทธศาสนามีทั้งเพศชายและหญิง คือ ภิกษุ สามเณร ภิกษุณี สามเณรี ที่มีศีลต้องรักษาอย่างเคร่งครัด ปกติชายหญิงย่อมมีอารมณ์ทางเพศต่อกัน ยิ่งใกล้กันแล้วข่มใจยากลำบาก เมื่อเป็นนักบวชแล้ว ศีลเป็นตัวตัดปัญหานี้ให้เบาบางลง การถูกเนื้อตัวอยู่ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามไม่ควรทำอยู่แล้ว ถ้าเราปิดช่องทางเหล่านั้นให้ท่านไม่ต้องผิดศีล จะถือว่าเป็นการทำความดีด้วย ศีลเป็นใหญ่กว่ากฎหมาย เงินตรา และอื่นๆ ถ้าเราปกครองดูแลรักษาให้ครบถ้วน ไม่ขาด ไม่ละเมิด สังคมจะมีความสุขมากกว่าบังคับใช้กฎหมายเสียอีก เช่นคนมีศีลย่อมระงับห้ามใจไม่อยากไปข่มขืนลูกเมียคนอื่น แม้จะอยากมากก็ตาม กฎหมายเลี่ยงได้ ต่อให้ข่มขืนไปแล้วก็ตาม ตามปรากฎในสังคมยุคนี้
สิ่งที่คุณพูดมา แสดงออกว่า แค่ศีล 5 คุณไม่มีแล้วพูดให้เข้าใจคงยากล่ะ #บัวใต้น้ำ