"ยุทธการฮาเตียน"..แผนลับชนาวีไทยเอาคืนกองเรือฝรั่งเศส. "ผู้ปิดทองหลังพระ"
.." คนไทยไม่ควรลืม " แผนยุทธการฮาเตียน " และรับรู้ว่าแผนนี้มีจริงซึ่งปกปิดกันมานานกว่า ๖๐ ปีแล้ว "..
. . . : น้อยท่านนักที่จะรู้จักชื่อนี้ เรามักจะได้ยินได้ดูภาพยนต์แผนยุทธการชื่อแปลกๆ เป็นเหตุการณ์วีรกรรมหรือพวกนักสืบ เกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศชาติบ้านเมือง ยกตัวอย่างให้ท่านดูก็ได้ เช่น ยุทธการกางเขนเหล็ก ยุทธการวันเผด็จศึกป้อมปืนนานวาโลน แผนโทราโทร่าถล่มอ่าวเพิร์ล หรือแม้แต่ยุทธการเอ็นเทบเบ้ชิงตัวประกัน และอีกหลายๆ เรื่อง..
. . . จากเหตุการณ์ครั้งก่อน เมื่อ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ คนไทยคงจะจำกันได้ว่า ครั้งหนึ่งทหารเรือไทยเคยสร้างวีรกรรมไว้จนยากจะลืมเลือน คือ "ยุทธนาวีที่เกาะช้าง" จังหวัดตราด เราต้องสูญเสียเรือรบไปกว่า ๓ ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี แม้เป็นฝ่ายสูญเสีย แต่เรือก็รบจนสุดใจขาดดิ้น สู้อย่างยิบตาไม่เกรงกลัว และสร้างรอยแผลเล็กๆ ไว้ให้ข้าศึกผู้รุกรานเหมือนกัน เช่น เรือลามอตต์ปิเกต์ ซึ่งไปจอดเลียแผลอยู่ที่เมือง ไซ่ง่อน หลังจากการสู้รบไม่นานนัก..
. . . รอยจารึกครั้งนั้น ลูกนาวีไทยเก็บไว้นานวันนับ๑๐ ปีนั้น เราจะต้องทำอะไรฝั่งใจข้าศึก ตาน้ำข้าวให้ได้ และชาวโลกจะได้รับรู้ และแล้ว "แผนยุทธการฮาเตียน" ก็เกิดขึ้น ซึ่ง "ฮาเตียน" เป็นชื่อของเมืองท่าในกัมพูชา ที่ในเวลานั้นตกเป็นของฝรั่งเศส และมีเรือรบของฝรั่งเศสจอดอยู่หลายลำ ซึ่งคาดว่าจะเตรียมเข้าโจมตีไทยอีกระลอกแน่นอน เพระาคราวที่แล้ว ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ ไทยเราไม่ได้เตรียมตัวและไม่ทันตั้งตัว.. ยุทธการฮาเตียนนี้จะถือว่าเป็นการแก้แค้นแก้เผ็ดและสั่งสอนก็ย่อมได้ เพราะยุทธการครั้งนี้มีการวางแผนเพื่อให้ได้ซึ่งชัยชนะเท่านั้น..
. . . เราเคยเก็บกดจากเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ หรือ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๓๖ ครั้งนั้นยุทธนาวีที่ปากน้ำเจ้าพระยา เราต้องเสียเปรียบคู่ต่อสู้มาครั้งหนึ่งแล้ว เป็นข้าศึกศัตรูเจ้าเก่าซะด้วย คราวนี้ลูกทหารเรือไทยตัวเล็กๆ แต่ร้ายกาจ กล้าหาญยิ่ง จะลุกขึ้นมาแก้เผ็ด สั่งสอนซะบ้างแล้ว เรียกว่า " ลูกประดู่สู้ตายก็ย่อมได้ "
. . หลังจากราชนาวีไทยได้ลาดตระเวนดูลาดราวอย่างเงียบๆ ไม่ถึง ๑ อาทิตย์ แผนนี้ก็ได้เริ่มขึ้นทันที.. โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ เห็นมีแต่พวกนายทหารระดับผู้บังคับการ หรือ เสนาธิการเท่านั้น
. . . ราชนาวียังคงเงียบกริบ ไม่ตระโตกกระตากอะไรทั้งสิ้น มันเป็นความลับและแผนลึกๆ ในใจของทหารเรือไทยชั้นสูงเสมอ ภายในกองบัญชาชั่วคราว(เฉพาะกิจ) ณ อ่าวเตยงาม ฐานทัพเรือสัตหีบ..ยามนั้นเป็นเวลาดึก ท่านผู้บัญชาการทหารเรือ "พลเรือตรีหลวงสินธุสงครามชัย" (ยศในขณะนั้น)..ยกบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างช้าๆ มีนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่อีก ๒-๓ ท่าน เบื้องหน้าเป็นโต๊ะยุทธการ บนนั้นเป็นแผนที่ สมุดบันทึก สไลด์รูลและอะไรอื่นอีก ๒-๓ อย่าง..ทั้งนี้เพื่อหาระยะทางและเวลาที่แท้จริง ซึ่งเทียบแล้วเวลาลงมือดูๆไปไม่มีอะไรผิดกับ "นายพลเรือ ยามาโมโต้" ที่วางแผนถล่มอ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ ที่มลรัฐฮาวาย..
. . . และแล้วเวลาอันควรจะเป็นก็มาถึง วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๔๘๔ เรือรบทุกลำในอ่าวสัตหีบ ก็ได้รับคำลังให้เตรียมพร้อม โดยเฉพาะเรือตอปิโดใหญ่ ๖ ลำ อาทิเช่น เรือหลวงภูเก็ต เรือหลวงปัตตานี เรือหลวงระยอง เรือหลวงชุมพร ได้รับคำสั่งให้ติดไฟหม้อน้ำ เตรียมพร้อมที่จะออกเรือได้ ลูกเรือลำละ ๙๐ คน อาวุธเต็มอัตราศึก ที่สำคัญทั้ง ๖ ลำ ได้รับการติดอาวุธที่คาดไม่ถึง คือ ทุ่นระเบิดชนิดเบาแบบกระทบแตก มันถูกส่งขึ้นมาวางตรงท้ายเรือ ทั้ง ๒ กราบ ลำละ ๒๕ ลูก รวมแล้วเรือรบ ๖ ลำ ขนของขวัญพิเศษ รวม ๑๔๔ ลูก และสำหรับเรือ ๓ ลำ ที่นำทุ่นระเบิดนี้ไปฝาก นายเศส นั้น ครั้งนี้ต้องขอจารึกไว้เพื่อเป็นเกียรติประวัติ คือ เรือหลวงบางระจัน เรือหลวงหนองสาหร่าย และเรือหลวงคราม (ลำเก่า)..
. . . เรือรบ ๖ ลำ ในยุทธการนี้ถือว่าทันสมัยมากยุคนั้น ฉายาที่ได้รับคือ "ฉลามทะเล" หรือ ฉลามหนุมผู้คะนองศึก ซึ่งลูกเรือล้วนแล้วเป็นคนวัยหนุ่ม อยู่ในวัยฉกรรจ์ทั้งนั้น และเรือพวกนี้เพิ่งถูกสร้างและรับมาจากอิตาลี เรียกได้่ว่าไฟแรงทั้งคนและของจริงๆ..
. . . ในที่สุด วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๘๔ "เจ้าฉลามทะเล" ทั้ง ๖ ลำ ที่บรรทุกหนักจนหัวเรือเชิดไปตามๆ กัน พากันค่อยๆ ถอนสมอเคลื่อนตัวไปช้าๆ ออกสู่ทะเล เมื่อได้ออกมาไม่ไกลนัก ก็มีเรือรบไทยเขามาสมทบอีก ๒ ลำ คือ เรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงแม่กลอง จึงได้จัดกองเรือเป็น ๒ ขบวน โดยให้เรือรบที่มาสมทบใหม่เป็นผู้นำขบวนอย่างละลำ..พอเวลารุ่งสาง เหล่าลูกเรือนั้นก็พอรู้ว่าขบวนเรือ ๒ ขบวนนี้มุ่งไปยังทิศใหน แต่ว่าจะพากันไปไหน ทำอะไรอย่างไรนั้น ไม่รู้มากนัก..
. . . ลูกราชนาวีไทยทุกนายต่างก็ไม่ถามอะไรกันมากนัก ว่าจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ก็ได้แต่พากันฮัมเพลงและร้องเพลงปลุกใจของเหล่าลูกประดู่ในลำคอไปพลางๆ ซึ่ง"เสด็จเตี่ย" หรือ "พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพลเขตอุดมศักดิ์" ผู้ซึ่งเป็นบิดาแห่งกองทัพเรือไทย ได้ทรงนิพนธ์ไว้..
. . ."อนาคตเราไม่รู้ ถึงไม่รู้ก็ต้องเดินไป จะกลัวไปใย มันก็ล่วงไปตามเวลา ไม่ตายวันนี้ก็คงไมซี้เอาวันข้างหน้า" บ้างก็ทำใจให้ฮึกเหิมตามวิสัยลูกประดู่ "หนึ่งพัน ห้าร้อยไมล์ทะเลไทยมี นาวีนี้เฝ้า" "ราชนาวีไทย คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล" ฯลฯ
. . . เวลาต่อมาทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ดาดฟ้าของเรือลำหนึ่งใน ๘ ลำ ตอนนั้นเป็นตอนค่ำ หลังจากเวลาที่ทุกคนรับประทานข้าวปลาอาหารเรียบร้อยแล้ว เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม นายทหารเรือยุทธการท่านหนึ่งก็ได้เดินออกมาที่หัวเรือ พร้อมเป่านกหวีดเรียกพล และเมื่อทุกคนเข้าแถวตามหัวเรือกันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ประกาศด้วยเสียงอันดังฉาน และเด็ดเดี่ยวขึ้นว่า..-->.
. . . "พี่น้องทหารที่รักทั้งหลาย อันเป็นเพื่อนร่วมชีวิต ร่วมเป็น ร่วมตาย ทุกคน เรารับคำสั่งให้ไปปฏิบัติการ เดินหน้าวางทุนระเบิด ปิดล้อมบริเวณหน้าอ่าวฐานทัพเรือฝรั่งเศส ที่ฮาเตียน โดยมีกำหนดออกเดินทางในคืนนี้ โดยจะต้องถึงบริเวณและเริ่มปฏิบัติการทางยุทธวิธี ในเวลา ๒๔.๐๐ ของวันที่ ๒๘ มกราคม หลังจากวางทุ่นระเบิดเสร็จสิ้น ขบวนเรือตอปิโดทั้ง ๖ ลำ จะแล่นตีวงโอบอยู่ภายนอก ต่อไปจะเป็นหน้าที่ของเรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงแม่กลอง จะระดมยิงชายฝั่ง โดยมีเรือหลวงศรีอยุธยาที่เลียบฝั่ง เพื่อบีบให้เรือรบฝรั่งเศสในฐานกำลังที่เมืองฮาเตียนออกมาจากอ่าว เข้าสู้สนามทุ่นระเบิดที่เราวางไว้ และเรือตอร์ปิโดใหญ่จะระดมยิงเข้าซ้ำที่เดิม พอใกล้รุ่งสาง กองกำลังนาวิกโยธินซึ่งมากับเรือหลวงศรีอยุธยา จะยกพลขึ้นบก ยึดฐานทัพเรือฮาเตียนของข้าศึก การปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันยากนี้ ขอให้พวกเราทุกคน จงยึดมั่นปฏิบัติหน้าที่จนสุดความสามารถ หากตายจะขอตายด้วยกันทุกลำ เหมือนกับดอกประดู่ ที่พากันโรยไปทั้งต้น ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ ที่นี้ ในเรือลำนี้ พร้อมด้วยคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองเราทุกคน". . .
. . .พอสิ้นเสียงประกาศ ก็มีเสียง"ไชโย"กระหึ่มไปทั่วทั้งกองเรือ และบัดนี้ก็ได้ทราบกันทั่วแล้วว่าภารกิจอันสำคัญนี้คือภารกิจอะไร...และมีเสียงของทหารคนหนึ่ง พูดดังขึ้นว่า " ถึงเวลาแก้มือแล้ว " ...
. . . เช้าวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๔๘๔ จะเป็นวันที่เหมือนวัน D-DAY ก็ว่าได้ โดยขณะนี้ลูกเรือทุกคนรับทราบกันแล้ว ว่าจะต้องทำอะไร ต่างก็มีใจฮึกเหิม ไม่เป็นอันกินอันนอนกันเลยทีเดียว เพราะอยากให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ ดูแล้วยิ่งกว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะพาเข้าหอเสียอีก ซึ่งทหารทุกนายเตรียมพร้อมสู้อย่างเต็มที่ ต่างมีพระห้อยคอกันแทบทุกนาย เป็นเวลาที่เรียกว่า "เครื่องรางของขลังถูกปลุก สิ่งศักดิ์สิทธิถูกอาราธนา " กันเลย และขณะเดียวกันก็ได้พากันตรวจเช็คความพร้อมของอาวุธปืนประจำของตนจนเสร็จก่อนเที่ยง..
. . . และหลังจากเที่ยงวันนั้น ลูกเรือที่เป็นเจ้าหน้าที่สรรพวุธ ก็ได้พากันมาเตรียมทุ่นระเบิด ปืนทุกระบอก ตอปิโด และทุกอย่างพร้อมที่จะปฏิบัติการได้ทันที..
** - . . แล้วเหตุการณ์อันน่าสงสัยก็บังเกิดขึ้นจากการแล่นของเรือนำขบวน คือ เรือหลวงแม่กลอง และเรือหลวงท่าจีน ได้ลดความเร็วลง ปรับหัวเรือเลียวซ้าย และขวาออกจากันตามลำดับ ตามลำดับ แล้วเรือนำขบวนทั้ง 2 ลำ ก็ส่งสัญญาณสั่งให้เรือลูกหมู่ทุกลำ ปฏิบัติตามในรูปขบวนตามเดิม..
(. .ไม่มีใครเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะอีก ๑๒ ชั่วโมงก็จะได้ลงไม้ลงมือกันแล้ว แต่ทว่าคำสั่งก็ต้องเป็นคำสั่ง . .)
. . . ต่อมาสักพักหนึ่ง นายทหารยุทธการคนหนึ่ง ก็เดินออกมา แจ้งให้ทุกคนได้ทราบ ว่าได้รับคำสั่งด่วนที่สุดทางสัญญาณวิทยุจากกองบัญชาการกองทัพเรือ ว่ากองทัพเรือให้ระงับแผนยุทธการ ที่กำลังจะลงมือไว้ก่อน เนื่องจากเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ วันนี้ ..รัฐบาลไทยได้รับเงื่อนไขของรัฐบาลของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรรรดิ์ญี่ปุ่น ได้เสนอและยื่นมือเข้ามาเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยในการ "ระงับกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส" โดยให้กองเรือไปรวมพลที่เกาะพะงัน ซึ่งผลของการไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่นคราวนี้..ทำให้เราได้ดินแดนกลับคืนมา คือ เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสเภณ และ จำปาศักดิ์ แต่ก็ต้องหลุดมือเสียไปอีกภายหลัง เพราะผลของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม..
. . . อย่างไรก็ตามที่มีผู้คนบางคนคางส่วนไม่รู้ กล่าวหาว่ากองทัพเรือไทยถูกข้าศึกจู่โจมจนไร้บทบาทนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะยุทธการฮาเตียนยังไม่บรรลุผลเหตุเพราะยกเลิกปฏิบัติการณืเสียก่อน ราชราวีไทยเป็นเสมือนผู้ปิดทองหลังพระก็ว่าได้ ด้วยเหตุผลที่เล่ามานี้ ซึ่งในขณะนั้นกองทัพเรือไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใดๆ ให้ใครรู้อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่มีความจำเป็น หรือ อาจจะเป็นการปฏิบัติการลับก็ไม่มีใครล่วงรู้..
. . . สรุปแล้ว "ราชนาวีไทย" เปรียบเสมือนดาบเล่มหนึ่ง ซึ่งดาบเล่มนี้มีคุณค่าเสมอ พร้อมที่จะลงดาบกับข้าศึกที่เข้ามารุกรานประเทศชาติตลอดเวลา และจะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดี รวมทั้งการดูแลพี่น้องประชาชนด้วย..