ความสุขจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข..ณ สนามบินนาริตะ ผู้บริหารชาวอเมริกันโบกรถ Taxi คันหนึ่ง
ณ สนามบินนาริตะ ผู้บริหารชาวอเมริกันโบกรถ Taxi คันหนึ่ง
"ไปโรงแรม Four season ครับ!"
ลุงโชเฟอร์โค้งรับอย่างสุภาพ
เมื่อก้าวขึ้นรถ ผู้บริหารแปลกใจมาก ข้างในรถขาวสะอาด มีผ้าลูกไม้สีขาวบริสุทธิ์หุ้มเบาะ แถมลุงคนขับสวมถุงมือสีขาวสะอาด พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม เขาจึงถามคุณลุงว่า "ถุงมือหรือผ้าหุ้มเบาะนี่ บริษัทบังคับให้ซักเหรอครับ"
ลุงยิ้มและตอบว่า "เปล่าครับ ผมซักเอง อยากให้ลูกค้ารู้สึกดีเวลาขึ้นรถผม"
ผู้บริหารอเมริกันยิ้มแห้งๆ และส่ายหน้าเบาๆ ค่าซักพวกนี้ก็เป็นต้นทุนทั้งนั้น เดี๋ยวก็ได้กำไรน้อยลงกันพอดี ....
เมื่อขับไปได้สักพัก คุณลุงก็ชี้ให้ผู้บริหารดูสองข้างทาง
"นั่น พระราชวังโตเกียว สร้างขึ้นเมื่อปี XXXX ส่วนสะพานตรงนั้น ชื่อสะพาน YYY คุณทราบไหม สองแห่งนี้เกี่ยวข้องกันยังไง? เรื่องมีอยู่ว่า สมัยเอโดะ..."
ผู้บริหารฟังอย่างสนอกสนใจ แต่ก็เผลอถามคุณลุงอีกว่า "ทำไมคุณถึงรู้ละเอียดและเล่าได้ขนาดนี้"
ลุงยิ้มและตอบว่า "วันหยุดหรือช่วงเวลาว่าง ผมก็นั่งศึกษาเพิ่มเติมเอง ไปเดินหาซื้อหนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือท่องเที่ยวมาดูบ้าง เวลาลูกค้านั่ง จะได้มีอะไรเล่าให้แขกฟังเพลินๆ"
ระหว่างฟัง ผู้บริหารอเมริกันคำนวณตัวเลขในใจ
ค่าหนังสือก็คงแพงอยู่ เพราะลุงรู้หลายเรื่อง คงจะอ่านหลายเล่ม แถมวันหยุด แทนที่ลุงจะได้พักสบายๆ กลับต้องมานั่งอ่านตำราเยอะแยะ เสียเวลาแกแท้ๆ คนญี่ปุ่นนี่จะทำงานไปถึงไหนกัน
"แล้ววันหยุด คุณทำอะไรอีกบ้าง นอกจากอ่านหนังสือ"
"ก็อยู่กับภรรยาและลูกๆ ครับ ส่วนใหญ่ ก็พาครอบครัวขับรถเล่นในโตเกียว ศึกษาเส้นทางใหม่ๆ ไปด้วยในตัว ผมชอบหาเส้นทางลัด ทางที่สั้นๆ หรือรถไม่ติด จะได้ไปส่งผู้โดยสารได้เร็วๆ ใครๆ ก็อยากถึงที่หมายให้เร็วที่สุด ใช่ไหมครับ"
ผู้บริหารเริ่มคิดต่อ...
ขับรถตัวเองหาเส้นทาง เปลืองน้ำมัน แถมถ้าพาผู้โดยสารไปเส้นทางลัด คนขับก็จะได้ค่าแท็กซี่น้อยลง
ลุงนี่...ช่างไม่รู้อะไรเลย
เมื่อถึงโรงแรม Four Season คุณลุงเปิดหลังรถ และหยิบกระเป๋าของผู้บริหาร ลงมาวางอย่างนิ่มนวล ผู้บริหารประทับใจเรื่องราวและความใส่ใจของคุณลุงมาก จึงตั้งใจจะให้ทิปแก 1 หมื่นเยน
คุณลุงยิ้มและกล่าวปฏิเสธอย่างแข็งขัน "ที่ญี่ปุ่น ไม่มีธรรมเนียมการทิปครับ"
ผู้บริหารอเมริกันยิ่งเกาหัวแกรกๆ...
คุณลุงจะเสียเงินทำความสะอาดรถบ่อยๆ ทำไม
จะซื้อหนังสือมานั่งศึกษาเรื่องโตเกียวหรือจะหาเส้นทางใหม่ๆ ไปทำไม
ทิปก็ไม่เอาอีก...กำไรก็ยิ่งลดลง
คุณลุงเห็นผู้บริหารอเมริกันทำหน้างุนงง จึงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
"แค่คุณมีความสุข แค่คุณประทับใจ แค่คุณรักโตเกียว รักประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น ผมก็มีความสุขแล้วครับ"
ผู้บริหารอเมริกันก็ยังคงไม่เข้าใจ...
ยังไงๆ คุณลุงก็ขาดทุนอยู่ดี
กำไรน้อย ไม่มีเวลาพักเป็นของตัวเอง
เจ้านายก็ไม่รู้ว่าคุณลุงตั้งใจทำงานขนาดนี้
คุณลุงทำงานไปเพื่ออะไร?
ผู้บริหารอเมริกันลากกระเป๋าเดินเข้าโรงแรมไป พร้อมคำถามในใจ
เขาคงไม่ทันสังเกตว่า มีพนักงานโรงแรมหญิงเดินมาหาคุณลุง พร้อมบอกว่า
"ซุซุกิซังคะ คราวที่แล้ว ขอบพระคุณมากนะคะ แขกติดใจคุณกันใหญ่ บอกว่า คุณรู้สถานที่ต่างๆ ในโตเกียวดีมาก อย่างกับเป็นไกด์ทัวร์ ดิฉันอยากให้คุณช่วยไปรับแขก VIP ท่านหนึ่งที่สนามบินค่ะ"
ผู้บริหารอเมริกัน คงไม่ทันสังเกตอีกว่า ในรถ Taxi ของคุณลุง มีแฟ้มสีเหลือง ข้างใน เป็นตารางเวลาไปรับลูกค้าประจำ ตารางแน่นเอี้ยด...
คุณลุงแทบไม่ต้องขับรถวนหาลูกค้าเลย มีแต่คนจะจองตัวคุณลุง เพราะประทับใจในตัวแก แถมยังบอกต่อเพื่อนๆ ให้ใช้บริการคุณลุงอีกด้วย
ถ้าผู้บริหารอเมริกันอ่านถึงตอนจบตรงนี้
เขาคงคำนวณต่อว่า
แล้วลูกค้าเก่ามีกี่ % สร้างรายได้ได้กี่ %
คุ้มกับการลงทุนค่าน้ำมัน ค่าหนังสือ ค่าซักผ้าของคุณลุงไหม
คุณลุงแอบกระซิบบอกว่า
ผู้บริหารลืมบวกตัวแปรไป 3 ตัว
ตัวแปรตัวนี้มีค่ามาก
ถ้าใส่ลงไปในสมการ "กำไร = รายได้-ต้นทุน"
ยังไงๆ กำไรแกก็เป็นบวกมหาศาล
ตัวแปรนั้นคือ...
"ความสุขจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข
ความอิ่มใจกับผลงานที่ตัวเองสร้าง
และความภูมิใจในคุณค่าของตัวเอง"