ธรรมเนียมการล้างกระดูกแห่งญาติผู้ตายเป็นของเลว
การจัดการศพไร้ญาตินั้น ได้บุญเพราะเป็นการกระทำที่สร้างประโยชน์ ทำสิ่งที่ไม่สะดวก ให้สะดวก (ไม่ให้ศพเน่าเหม็น รบกวนผู้อื่น)
...ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า "ชน ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นประมุข
ทำกรรมอะไรไว้ พระเจ้าข้า"
พระศาสดา ตรัสว่า "แม้ชน ๕๕ นั้น ปรารถนาพระอรหัต
ในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทำกรรมที่เป็นบุญไว้มากแล้วภายหลัง
เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น เป็นสหายกัน ทำบุญร่วมเป็นพวกกัน
เที่ยวจัดแจงศพคนไร้ที่พึ่ง...
(เล่ม 40 หน้า 134 บรรทัด 18)
และการจัดการศพผู้ตายที่ถูกต้องตามศาสนาพุทธ คือ เผา เพราะร่างกายพระพุทธเจ้าก็เผา และไม่มีพระมาสวดอ้อนวอน สวดส่งวิญญาณ สวดรับตังค์แต่อย่างใด เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน จะไปนารกหรือสวรรค์ มันไม่เกี่ยวกับการสวดของพระ มันเกี่ยวกับกรรมของใครของมัน
[๕๙๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปาวาริก-
อัมพวัน ใกล้เมืองนาฬันทา ครั้งนั้นแล นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มีคณโฑน้ำติดตัว
ประดับพวงมาลัยสาหร่ายอาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟ พราหมณ์เหล่านั้น
ชื่อว่ายังสัตว์ที่ตายทำกาละแล้วให้ฟื้นขึ้นมา ให้รู้สึกตัว จูงให้ขึ้นสวรรค์
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้า สามารถการทำให้สัตว์โลกทั้งหมด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ได้หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนายคามณี ถ้าอย่าง
นั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ปัญหาควรแก่ท่านด้วยประการใด ท่าน
พึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นด้วยประการนั้น ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉน บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท
มีความเห็นผิด หมู่มหาชนมาประชุมกันแล้ว พึงสวดวิงวอน สรรเสริญ
ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่า คือบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลก
สวรรค์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึง
สุคติโลกสวรรค์เพราะเหตุการสวดวิงวอน เพราะเหตุการสรรเสริญ หรือ
เพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบดังนี้หรือ
คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
[๕๙๙] พ. ดูก่อนนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อน
หนาใหญ่ลงในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน
สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบหินนั้นว่า ขอจงโผล่ขึ้นเถิดท่าน
ก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหินท่าน
จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือ
พึงขึ้นบก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญ ประณมมือเดินเวียน
รอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ
คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
พ. ดูก่อนนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูด
เพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชน
พึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบ
บุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็จริง แต่บุรุษ
นั้นเมื่อตาย พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก…
(เล่ม 29 หน้า 190 บรรทัด 15)
และไม่มีการเก็บกระดูกหรือล้างกระดูก แต่พระพุทธเจ้าให้สร้างสถูปเก็บกระดูกบุคคล 4 เหล่านี้ไว้บูชา อันได้แก่ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า สาวกของพระตถาคต พระเจ้าจักรพรรดิ และการบูชานั้น ก็ต้องน้อมจิตให้ถูกต้อง ให้ยังจิตให้เลื่อมใส เชื่อกรรมและผลของกรรม ไม่ใช่ให้ไปอ้อนวอน ขอให้ขลัง ขอหวย ให้คุ้มครอง ให้เป็นสิริมงคล ไปหลงใหลในวัตถุนั้น เห็นวัตถุนั้นเป็นตัวแทนของท่าน (แทนคำสอน)…อันนี้เป็นการน้อมจิตแบบผิด
[๑๓๔] ดูก่อนอานนท์ ถูปารหบุคคล ๔ เหล่านี้. ถูปารหบุคคล ๔
เป็นไฉน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ๑
สาวกของพระตถาคต ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑
ดูก่อนอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร พระตถาคตอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล ชนเป็นอันมาก ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส
ว่า นี้เป็นพระสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ชนเหล่า
นั้น ยังจิตให้เลื่อมใสพระสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อม
เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์…
(เล่ม 13 หน้า 310 บรรทัด 15)
ส่วนการขุดศพไร้ญาติขึ้นมาล้างนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นการกระทำที่เลว ยิ่งผู้ไปร่วมพิธีมีความคิดอย่างนี้ว่า การล้างกระดูกนั้นจะเป็นสิริมงคล จะนำโชคลาภมาให้ แทนที่จะเชื่อเรืองกรรม กับเป็นการดูถูกกรรมของตนเอง นี้ก็เป็นการเชื่อมงคลแบบผิด ไม่เชื่อเรื่องกรรม เป็นการเห็นผิด เชื่อโดยถือผิด
[๑๐๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทักษิณาชนบท มีธรรมเนียมการ
ล้างกระดูกแห่งญาติผู้ตาย ในธรรมเนียมการล้างกระดูกนั้น มีข้าวบ้าง
น้ำบ้าง ของขบเคี้ยวบ้าง ของบริโภคบ้าง เครื่องลิ้มบ้าง เครื่องดื่มบ้าง
การฟ้อนบ้าง เพลงขับบ้าง การประโคมบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม-
เนียมการล้างนั้นมีอยู่ เรามิได้กล่าวว่า ไม่มี แต่ว่าการล้างนั้นแลเป็นของ
เลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่เป็นของพระอริยะ ไม่ประกอบ
ด้วยประโยชน์ ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด
เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน...
(เล่ม 38 หน้า 347 บรรทัด 9)
จาก: พระไตรปิฎก ชุด 91 เล่ม มหามกุฏราชวิทยาลัย