Yoshio Tachibana เรื่องของญี่ปุ่นกินคน
โพสท์โดย ไก่อ้วน
ความจริงที่โหดร้าย ดีกว่าคำโกหกที่แสนหอมหวาน
หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เหล่าพันธมิตรก็เริ่มมีการลงมือไต่สวนการกระทำผิดหรืออาชญากรรมสงครามของเหล่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามพร้อมกับคู่หูฮิตเลอร์ ผลการสอบสวนสืบสวนพบว่าการกระทำผิดของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นนั้นยาวเป็นหางว่าว
จักรวรรดิญี่ปุ่นที่มุ่งหวังที่จะยิ่งใหญ่ในเอเชีย จึงเปิดศึกรุกรานก่อกรรมทำเข็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคืองว่าจะเป็น เกาหลี, จีน และหมู่เกาะต่างๆ
ในแปซิฟิก อย่างโหดร้าย ไม่ว่าจะเข่นฆ่า สังหารหมู่ ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องรู้ ด้วยวิธีโหดเหี้ยมทุกรูปแบบ ชนิดผิดมนุษย์มนาต่างๆ อย่างไม่รู้จิตสำนึก
ของความเป็นมนุษย์ ยิ่งกว่าอาชญากรรมของฮิตเลอร์ที่กระทำต่อยิวในสงครามเสียอีก
อาชญากรรมของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่โลกรู้จักกันดีก็คือ สังหารหมู่ที่นานกิง การก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ(ในไทย) และการจับมนุษย์
มาทดลองเชื้อโรค แต่กระนั้นก็มีอีกหลายคดีที่โลกไม่เคยรู้ที่เกิดจากเงื่อนมือกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคดีประหลาดที่เรียกว่า
กองทัพญี่ปุ่นกินคนไว้ด้วย และนี่คือเรื่องราวความโหดร้ายของสงครามที่น้อยคนนักที่จะรู้
โยชิโอะ ทาจินะ
โยชิโอะ ทาจินะเป็น พลโท ของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และเป็นผู้บัญชาการทางการทหารญี่ปุ่นในเกาะชิชิในหมู่เกาะโอกะซาวาระซึ่งสถานที่ดังกล่าว
เขามีส่วนร่วมผิดชอบในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "เหตุการณ์ เกาะชิชิ" โดยเป็นเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองเกี่ยวข้องกับ การทรมาน ฆาตกรรม และ
การกินเนื้อพวกเดียวกันเองโดยเหยื่อก็คือเชลยศึกของฝ่ายพันธมิตร
โยชิโอะเกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1890 โดยเป็นคนพื้นเพที่ จังหวัดเอะฮิเมะ ในประเทศญี่ปุ่น ตอนเขาอยู่มัธยมต้นได้เข้าสถาบันการศึกษากองทัพ
จักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโรงเรียนฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ข้าราชการของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งมีโปรแกรมหลักสูตรตั้งแต่มัธยมต้นจนสำเร็จการศึกษาในสี่ปี
โดยเน้นฝึกอบรมศิลปะการต่อสู้และการชำนาญในการขี่ม้าและการฝึกเป็นทหารราบ คุ้นเคยเรื่องอาวุธหนักของกองทัพบก
ซึ่งโยชิเอะได้จบสถาบันดังกล่าวเมื่อ ในปี 1913 และเริ่มต้นด้วยยศจ่า ก่อนที่จะไต่เต้ายศมาเรื่อยๆ ในปี 1924-1925 เขาได้รับมอบหมายเป็นเจ้าหน้าที่
ประสานงานของกองทัพบกแมนจูกัว ในปี 1942 เขาได้รับพลตรีและถูกมอบหมายทำงานในฮิโรชิม่าเพื่อรับคำสั่งป้องกันในระดับภูมิภาค
ต่อมาในเดือนพฤษภาคมปี 1944 เขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการของกองพลที่ 1 IJA 1 รวมถึงยศ พลโท เมื่อ 23 มีนาคม 1945 และได้รับคำสั่งของ
กอง IJA 109 ซึ่งได้รับมอบหมายกับการป้องกันของ หมู่เกาะโบเนีย(ญี่ปุ่นเรียกหมู่เกาะซาวาระ)เพื่อต่อต้านการรุกรานโดยกองกำลังอเมริกัน
ก่อนที่ จะเล่าถึงอาชญากรรมที่โยชิโอะก่อนั้น ก็ขอเล่าประวัติความเป็นมาของสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียก่อน เพื่อให้หลายคนเข้าใจภาพรวมเรื่องราวของโยชิโอะมากขึ้น
หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 1 มีเหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มตั้งเค้าว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามมา อันเนื่องจากสภาพในหลายประเทศของโลกอยู่ในสภาพ
ที่สับสนวุ่นวาย ความแร้งแค้น ความอดอยาก ความนำไปสู่การชิงทรัพยากรของกันและกัน ปี 1931 ญี่ปุ่นบุกเข้ายึดประเทศแมนจูเรีย ในปี 1933 ฮิตเลอร์ขึ้นเป็น
ผู้นำเผล็ดการเยอรมนีเริ่มสะสมอาวุธและกำลังคน ที่อิตาลีเบนิโต มุสโสลินีขึ้นเป็นเผล็ดการ ทั้งหมดนั้นนำไปสู่การบุกยึดประเทศที่อ่อนแอกว่าเพื่อเป็น
อาณานิคมของตนเอง โดยไม่สนประเทศมหาอำนาจ พร้อมฉีกสนธิสัญญาสันติภาพอย่างหน้าตาเฉย โดยเฉพาะฮิตเลอร์นั้นนั้นบ้าอำนาจ มีความคิดว่าเยอรมนี
ภายใต้กองทัพนาซีสามารถเป็นผู้ครองโลกได้ ความทะยานดังกล่าวนำไปสู่การบุกรุกประเทศยุโรปที่เป็นเพื่อนบ้านเพื่อให้อยู่ภายใต้อาณัติตนไม่ว่าจะเป็น
รัสเซีย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น โปแลนด์
ส่วนประเทศญี่ปุ่นเอง ตอนนั้นเพิ่งได้ก้าวไปสู่ลัทธิรัฐทหาร ด้วยความคิดขยายตลาดสินค้า ปล้นชิงวัตถุดิบและเงินทุนจากนอกประเทศ หลังจากที่ได้ยินความแตกแยก
ในยุโรปก็ถือโอกาสตั้งตัวเป็นมหาอำนาจมีแนวคิดก็คือพิชิตจีนและเกาหลีจนกระทั้งขยายไปจนเกือบทุกประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิก
เพื่อปล้นชิงทรัพยากรและสมบัติจากประเทศเล็กๆ ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มขึ้นการใหญ่คือพิชิตโลก
ส่วนอเมริกาเองที่ตอนนั้นวางตัวเป็นกลางตลอด ไม่เข้ายุ่งสงครามครั้งนี้ แต่การกระทำหลายๆ อย่างของอเมริกาทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจ ตั้งแต่ญี่ปุ่นเข้ายึดแมนจูเรีย
ทางอเมริกาได้คัดค้านให้ญี่ปุ่นยกเลิก แต่ญี่ปุ่นไม่ฟัง อเมริกาเลยตอบโต้ด้วยการกักกันเงินและสินทรัพย์ญี่ปุ่น จนเป็นเหตุทำให้ญี่ปุ่นเปิดฉากสงครามแปซิฟิค
หรือมหาสงครามเอเชียบูรพา เริ่มจากโจมตีเพริสฮาเบอร์ที่ฮาวาย จนเป็นเหตุทำให้อเมริกาที่ตอนแรกวางตัวเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาโดยตลอด
ต้องโดดเข้าร่วมสงครามร่วมมือกับประเทศพันธมิตรเพื่อรบกับญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว
ญี่ปุ่นตอนนั้นแสดงความโอหังคิดว่าตนแน่ โดยไม่รู้ว่าตนได้ปลุกยักษ์หลับที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งขึ้นมา เพราะนับจากนั้นเป็นต้นมาญี่ปุ่นพ่ายแพ้มาโดยตลอด
โดยเริ่มจากสงครามทางทะเลครั้งยิ่งใหญ่ที่เกาะมิดเวย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1942 เมื่ออเมริกากลายเป็นฝ่ายชนะเนื่องจากฝ่ายอเมริกาสามารถดักฟังและ
ถอดรหัสลับของญี่ปุ่นว่าจะบุกเกาะมิดเวย์ได้ จึงเตรียมพร้อมรับมือก่อนล่วงหน้า ส่งผลทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นเสียหายเป็นอย่างมาก ทำให้กองทัพเรือญี่ปุ่นหมด
ประสิทธิภาพในภาคพื้นแปซิฟิคนับนั้นเป็นต้นมา และทำให้ฝ่ายพันธมิตรที่ประกอบด้วยอเมริกา อังกฤษ ออสเตรีย เป็นต้น ร่วมมือกันใช้ยุทธวิธีกระโดด
ทีละเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค เพื่อมุ่งไปที่ญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นที่เกาะกัวดาลคาเนลในหมู่เกาะโซโลมอนเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1942 ตามด้วยเกาะอาลูเซียน
เกาะนิวจอร์เจีย เกาะบูเกนวิล เกาะโซโลมอน เกาะกิลเบิร์ต หมู่เกาะมาร์แซล หมู่เกาะคาโรไลน์ หมู่เกาะมารีอันนาส์ ไซปัน กวม เกาะลูซอน
เกาะโอกินาวา ฯลฯ ซึ่งญี่ปุ่นพ่ายแพ้ตามลำดับ แม้ญี่ปุ่นจะสู้ยิบตาแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะว่าอเมริกานั้นมีอาวุธและทหารมีประสิทธิภาพมากกว่า
และนั้นเองทำให้ญี่ปุ่นต้องเสียทหารไปหลายแสนจากการสู้รบตามเกาะต่างๆ
นี้คือประวัติคร่าวๆ ของสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนทางด้านของโยชิเอะนั้น ตอนนั้นเขาประจำเกาะชิชิในหมู่เกาะโอกะซาวาระ เมื่อปี 1945 โดยหมู่เกาะซาวาระนั้น
เป็นหมู่เกาะกึ่งเขตร้อนขนาดใหญ่ มีเกาะกว่า 30 เกาะ อยู่ทางตอนใต้ของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเกาะดังกล่าวมีประชาชนอาศัยอยู่
หากแต่เมื่อเกิดสงครามขึ้นก็มีการอพยพประชากรให้ออกจากเกาะไป และทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาเกาะแห่งนี้เพื่อต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรเพราะถือว่าเกาะดังกล่าว
เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ หากพันธมิตรยึดมาได้โตเกียวของญี่ปุ่นจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ซึ่งแน่นอนว่าทหารญี่ปุ่นต้องพยายามปกป้องเกาะแห่งนี้สุดชีวิตเท่าที่จะทำได้
หมู่เกาะโอกะซาวาระ
แต่กระนั้นอย่างไรก็ตามในช่วงปี 1945 นั้นเป็นช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จะยุติลง ซึ่ง ทางด้านฝ่ายประเทศอักษะของญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดล้วนจุดจบไม่สวย
ไล่ตั้งแต่อิตาลีมุสโสลินีถูกประหารชีวิตในข้อหาทรยศต่อชาติ ร่างของมุสโลลินี เมียน้อย และผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์คนอื่นๆ กว่า 15 คนได้ถูกแขวนประจานต่อหน้า
สาธารณชนเมื่อวันที่ 28 เมษายน 1945 ที่เยอรมันทางด้านฮิตเลอร์เองก็ถึงคราวล่มสลาย เพราะนับจากปี 1943 เป็นต้นไปเยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามมาโดยตลอด
เริ่มจากชัยชนะของโซเวียตที่สตาลินกราดซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เยอรมันสูญเสียกำลังทหารและอาวุธเป็นจำนวนมากจนทำให้กองทัพนาซีของฮิตเลอร์จำเป็น
ต้องถอยทัพมารบใสดินแดนของตนเองตลอด ส่วนสนามรบแอฟริกาก็พ่ายไม่เป็นกระบวน ทางด้านตะวันตกเองก็ถูกอเมริกาและอังกฤษยึดชายหาดนอร์มังดี
จนฝ่ายเยอรมันต้องถอยร่นไปในดินแดนของตนเอง นำไปสู่เบอร์ลินถูกทัพโซเวียตตีแตก ส่งผลทำให้ฮิตเลอร์เลือกจุดจบตนเองด้วยการยิงตัวตาย ทำให้เยอรมัน
ยอมแพ้โดยปราศจากเงือนไขเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1945
ทางด้านญี่ปุ่นเอง ในปี 1945 ก็เต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ ไล่จากการเสียเกาะลูซอนในฟิลิปปินส์จนสามารถปลดปล่อยมะลิลาจากกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในที่สุด
ต่อก็ก็ยกพลขึ้นบกอิโวจิมา ที่เกิดเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจมเรือประจัญบานยามาโตะสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นลง การต่อสู้
กับฝูงบินกามิกาเซ ฯลฯ อย่างไรก็ตามฝ่ายญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมแพ้พยายามต่อสู้ฝ่ายอเมริกันอย่างยิบตา แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่น่ากลัวสำหรับของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น
กำลังจะเริ่มขึ้น เมื่อเสบียงอาหารของกองทัพใกล้จะหมดเลย เนื่องจากอเมริกาใช้โอกาสที่ตนยึดท้องทะเลได้ ใช้ยุทธการปิดล้อมด้วยกองทัพเรือ พยายามตัดอาหาร
วัสดุ อาวุธ การสื่อสารทั้งหมดจากพื้นที่สนามรบของฝ่ายศัตรู ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยความหิวโหยเพื่อบีบให้ศัตรูยอมแพ้หรือไม่มีแรงทำศึก
ทางด้านกองทัพของโยชิเอะที่เกาะชิชิในหมู่เกาะโอกะซาวาระเองก็ประสบปัญหาดังกล่าวอย่างเช่นกัน ทหารชั้นผู้น้อยได้ถูกทหารชั้นผู้ใหญ่สั่งให้อดอาหาร
และช่วยกันหาอาหารไม่ว่าจะเป็นไส้เดือนหรือหนอนอะไรก็ตามที่กินได้มาให้ตน หากแต่บนเกาะดังกล่าวนั้นอาหารไม่ค่อยมี ประกอบกับการรุกคืบของทหารอเมริกัน
และด้วยสถานการณ์อันเลวร้ายที่ต้องการเอาตัวรอดนี้เอง ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องประกอบอาชญากรรมอันสยดสยองด้วยการเป็นมนุษย์กินคนเพื่อความอยู่รอด
จนนำไปสู่ การก่ออาชญากรรมของโยชิเอะในที่สุด
จากคำให้การเวลานั้นเล่าว่าโยชิเอะในนี้นิสัยเลือดร้อน ชอบทารุณและโหดร้าย คนหลายคนเรียกขานว่า "เสือแห่งเกาะชิชิ" ในตอนที่ทหารอเมริกันปิดล้อมเกาะ
ทำให้ไม่มีอาหาร ยิ่งไม่มีเนื้อสดไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเลยสักชิ้น สำหรับโยชิเอะแล้วเขาขาดเนื้อสดไม่ได้ เขาเชื่อว่าหากขาดมันจะเกิดอาการปวดท้อง ดังนั้นเพื่อ
เป็นการบรรเทาเขาได้ตัดสินใจออกคำสั่งให้ทหารชั้นผู้น้อยให้ทำการฆ่าเชลยทหารอเมริกันซึ่งเป็นนักบินสองคนด้วยการตัดศีรษะด้วยดาบซามูไรและเสียบประจาน
ทันทีที่เชลยสงครามตาย เขายังออกคำสั่งให้พวกทหารญี่ปุ่นผ่าท้องดึงตับออกจากร่างในขณะที่ยังอุ่น และนำตับ เครื่องในและเนื้อแขนขาบางส่วนดังกล่าวมาปรุง
เป็นอาหารด้วยการตัดเป็นเส้นแล้วเอามาทำเป็นสุกี้ยากี้ เพื่อนำมาเลี้ยงให้กับทหารชั้นผู้ใหญ่ ว่ากันว่าเมื่อโยชิเอะได้กินเนื้อดังกล่าวเขาก็ได้อุทานว่า อร่อยสุดยอด
โดยนำมากินกับแกล้มกับเหล้าสาเก ท่ามกลางการโจมตีทางอากาศของกองทัพอเมริกาอย่างหนักหน่วง
นอกจากนั้นโยชิเอะยังเชื่อว่าหากเขากินเนื้อศัตรูเขาจะรอดพ้นจากระเบิด เมื่อข่าวทั้งหมดแพร่กระจาย ผู้บัญชาหน่วยทหารหน่วยอื่นๆ ที่ต้องการขวัญกำลังใจ
แก่ทหารชั้นผู้น้อย ก็เริ่มทำตาม โดยการจัดพิธีการประหารเชลยก่อนนำชิ้นส่วนต่างๆ ไปทำอาหารด้วยการทำน้ำซุปเลี้ยงบรรดาทหารเพื่อให้อิ่มหน่ำ
จากรายงานพบว่ามีเชลยแปดคนที่ถูกสังหารวิธีคล้ายๆ กันทางใต้การนำของโยชิเอะ
หลังสิ้นสุดสงครามโยชิโอะและพรรคพวกถูกจับกุมโดยทหารพันธมิตรและถูกเนรเทศไปยังเกาะกวมเพื่อลงนามเอกสารยอมแพ้และถูกไต่สวนในฐานะอาชญากรสงคราม
โดยเอาเรื่องกินเนื้อคนเมื่อเดือนสิงหาคม 1946 มาพิจารณาโดยใช้กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ผลคือโยชิเอะผิดจริงในข้อหาปฏิบัติต่อเชลยอย่างไม่ให้เกียรติ
ส่งผลทำให้เขาและจำเลยสี่คนต้องผุ้พิพากษาประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในที่สุด
ปัจจุบันเรื่องราวของโยชิเอะนั้นไม่ค่อยรู้ในหมู่คนทั่วไปนัก จนกระทั้งนิตยสารไทม์ได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาเปิดเผยทำให้คนทั่วไปรู้กันบาง แต่กระนั้นคนญี่ปุ่นหลายคน
ยังคงไม่รู้ว่าทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกเป็นยังไง หิวโหยถึงขั้นกินเนื้อคนจริงหรือ บางคนเห็นเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญเล่ากันตามรอบกองไฟเท่านั้น
Under the Flag of the Rising Sun 1972
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผู้เขียนได้ดูภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งชื่อเรื่อง ล่านักรบกองร้อยพันธุ์โหด แต่นั้นเป็นชื่อไทยที่ทำให้ดูน่าสนใจเท่านั้น ส่วนชื่อจริงๆ
ของมันคือ Under the Flag of the Rising Sun 1972 หรือ ภายใต้ธงอุทิศอุทัย ซึ่งเป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่เป็นแม่ม่ายคนหนึ่งที่สูญเสีย
สามีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างที่สามีเป็นทหารญี่ปุ่นป้องกันเกาะแห่งหนึ่งในแปซิฟิก แม้ว่าสงครามดังกล่าวนั้นจบลงไปนานแล้ว
แต่เธอก็ยังไม่ลืมความโศกเศร้าของสามีที่เสียชีวิตในสงครามดังกล่าว เนื่องจากสามีกลับถูกตราหน้าว่า
"ถูกคำสั่งประหารฐานหนีทัพ"
แทนที่จะพลีชีพอย่างสมเกียรติในหน้าที่เหมือนคนอื่นเขา อีกทั้งสาเหตุประหารของสามีของเธอนั้นไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าหนีเพราะอะไร
และเธอก็ไม่เชื่อว่าสามีของเธอจะหนีทัพทำให้เธอต้องลงมือสืบสวนเอง โดยเธอต้องเข้าไปสอบถามพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว
ทั้งหมด 5 คนเพื่อค้นหาความจริงการตายสามีของเธอ
ชายคนแรกเป็นคนเลี้ยงหมูบอกว่าตนเองจำสามีของเธอได้ดีเพราะอยู่ด้วยกันและเขาได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญและตายอย่างสง่างามสมเกียรติ์แบบทหารญี่ปุ่น
ซึ่งเมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ฟังก็รู้สึกดีใจและขอให้ชายคนแรกไปเป็นพยานแก้ต่างเพื่อแก้ไขประวัติของสามี แต่ชายคนแรกปฏิเสธ
คนที่สองเป็นดาราตลก บอกว่าจำเรื่องสามีของตนไม่ได้ หากแต่ได้เล่าความยากลำบากของการทำสงครามของฝ่ายญี่ปุ่น ที่ไม่มีแม้กระทั้งอาวุธปืน
แต่ต้องใช้ไม้ไผ่ต่อสู้กับศัตรูแทน แต่นั้นเทียบไม่ได้กับความยากลำบากที่สมรภูมิรบนั้นไม่มีแม้กระทั้งน้ำและอาหาร หนีก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ตาย
ทำให้ทหารหลายคนยอมสูญเสียความเป็นมนุษย์ถึงขั้นขโมยของชาวบ้านกิน
และเคยได้ยินนายทหารที่ชื่อเหมือนสามีของหญิงแม่หม่ายขโมยมันเทศและถูกยิงตาย เมื่อหญิงหม่ายได้ฟังกลับไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
และร้องไห้เสียใจเพราะเชื่อว่าสามีของเธอไม่น่าจะทำแบบนั้น ก่อนที่ชายคนที่สองจะกล่าวทิ้งท้ายว่า คุณเห็นผมมีความสุขล่ะสิ ตอนนี้
ผมเป็นแค่ซากเท่านั้น ชีวิตผมตายในสงครามไปตั้งนานแล้ว
คนที่สามเป็นชายตาบอดมีปัญหาชีวิตครอบครัว จำสามีของเธอไม่ได้ แต่ได้เล่าเรื่อง กินเนื้อพวกเดียวกันเอง สิงหาคม 1945 (เห็นได้ชัดว่า
เป็นมีเค้าโครงมาจากเรื่องของโยชิเอะ) มีทหารญี่ปุ่นยศจ่าคนหนึ่งทนความหิวโหยบนเกาะที่ไม่มีน้ำและอาหารไม่ไหว เลยฆ่าทหารเพื่อนคู่หูจนตาย
และนำเนื้อมาให้เหล่าเพื่อนทำอาหารกิน โดยบอกว่าเป็นเนื้อหมูป่า แต่ไม่ได้บอกว่าจับมายังไง จนทหารคนหนึ่งสงสัยจึงแอบตามไป และไม่มีใคร
พบนายทหารคนนั้นอีกเลย จนกระทั้งจ่าคนนั้นถูกจับและสารภาพว่ากินเนื้อพวกเดียวกัน ซึ่งหญิงหม่ายได้ฟังก็รับไม่ได้
คนที่สี่เป็นอาจารย์ ก็บอกว่าจำสามีของเธอไม่ได้เช่นเดียวกับคนที่สองและสาม แต่เล่าถึงความเห็นแก่ตัวของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ การสังหารเชลย
ศึกอย่างไร้เหตุผล และมีนายทหารยศจ่าคนหนึ่งได้ร่วมมือกับนายทหารคนอื่นๆ ฆ่าผู้บังคับบัญชายศผู้พันตาย และเมื่อสงครามสงบนายทหาร
และพรรคพวกทั้งหมดก็ประหารชีวิต หญิงหม่ายคนนั้นไม่เชื่อว่านายทหารคนนั้นเป็นสามีของเธอ ก่อนที่คนที่สี่แนะนำให้ไปหาผู้ใหญ่คนหนึ่ง
ที่สั่งประหารสามีของเธอ
คนที่ห้าเป็นคนสั่งประหารสามีของเธอ ได้เล่าว่าสามีของเธอถูกประหารชีวิตในข้อหาฆ่าผู้บังคับบัญชาตาย และเชื่อว่าการการตัดสินนั้นยุติธรรม
เพื่อปกป้องกฎของกองทัพ แต่หญิงหม่ายไม่เชื่อ แต่กระนั้นคนที่ห้าได้บอกเสริมว่า บางครั้งเรื่องที่ควรลืมก็ควรจะลืม ก่อนที่จะเสริมไปว่าเขาไม่ได้
สั่งประหารชีวิตหมดอย่างที่ชายคนที่สี่กล่าวอ้าง หากแต่ยังมีทหารอีกคนที่รอดชีวิตอยู่ นั้นก็คือชายคนแรกนั้นเอง
และเมื่อผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าคนแรกได้โกหก เพราะเขารู้ว่าสามีของเธอตายเพราะอะไร และพยายามโกหกเธอเพื่อให้เธอสาบายใจ เธอจึงรีบไปหา
ข้อเท็จจริงจากปากของชายคนแรก และเธอก็พบเรื่องที่น่าตกใจ เมื่อเรื่องราวของพยานที่เธอได้ยินทั้งหมดถูกหลอมรวมจนกลายเป็นเรื่องเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็น ความหิวโหย การกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง ไปจนถึงสาเหตุที่แท้จริงที่สามีของเธอถูกประหารชีวิตทั้งที่อีกไม่กี่วันสงครามโลกครั้งที่ 2
จะสิ้นสุดลง
ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็คือข้อคิดที่ว่า ความจริงที่โหดร้าย ดีกว่าคำโกหกที่แสนหอมหวาน คนแรกพูดคำโกหกที่แสนหอมหวานเธอรับได้
หากแต่คนถัดมาเธอกลับรับไม่ได้เพราะมันโหดร้าย ทั้งที่เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริง และเมื่อปากคำเรื่องเลวร้ายได้วนเวียนไปจนกระทั้งเธอก็ได้รับรู้
ความจริงที่โหดร้ายของสงคราม ความอดอยาก ความแร้งแค้น ได้ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์ป่า ทิ้งความเป็นมนุษย์เพื่อกินเนื้อคน
Under the Flag of the Rising Sun เป็นภาพยนตร์มีเนื้อหาต่อต้านสงครามที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นที่เคยทำมา ภาพยนตร์ดังกล่าวสนุกมาก เนื้อหาลื่นไหล
ทั้งที่เป็นภาพยนตร์เก่า และไม่มีฉากต่อสู้เลยสักฉาก แต่กระนั้นก็ได้ถ่ายทอดความจริงที่โหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
โดยเฉพาะฉากความหิวโหยจนต้องกินเนื้อมนุษย์กันเองนั้นทำได้อย่างมีอารมณ์เสมือนเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ(เนื้อหาไม่ได้รุนแรง โหดร้าย เลือดสาด
แต่เขาทำออกมาได้อารมณ์ของความหิวโหยที่เกิดขึ้นกับทหารญี่ปุ่น)สื่อถึงความเลวร้ายของสงคราม ที่อยู่ในสภาวะแร้นแค้นสุดขีด
ทหารญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่ามีระเบียบวินัย เข้มแข็ง ยอมตายเพื่อจักรพรรดิและเพื่อชาติถึงกลับยอมทิ้งเกียรติยศ มาต่อสู้เพื่อตนเองชีวิตรอด แม้กระทั้งเพื่อนก็สามารถทรยศได้อย่างหน้าตาเฉย อย่างไรก็ตามแม้ตนเองจะรอดชีวิต ได้กลับไปผ่าดินบ้านเกิด แต่ตราบาปในใจของตนไม่ได้จางหาย และต้องทุกข์ทรมานกลับตราบาปนั้น
ไปชั่วชีวิต
อย่างไรก็ดีแม้ทหารญี่ปุ่นบางคนจะทำบาปทำความผิดที่ไม่อาจแก้ไข แต่เมื่อเขากลับสู่แผ่นดินเกิด พวกเขาจำเป็นต้องมีชีวิตรอดเพื่อพัฒนาประเทศ
เพื่อลูกหลาน ทิ้งความเลวร้ายไว้เบื้องหลัง และก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป
ไปชั่วชีวิต
อย่างไรก็ดีแม้ทหารญี่ปุ่นบางคนจะทำบาปทำความผิดที่ไม่อาจแก้ไข แต่เมื่อเขากลับสู่แผ่นดินเกิด พวกเขาจำเป็นต้องมีชีวิตรอดเพื่อพัฒนาประเทศ
เพื่อลูกหลาน ทิ้งความเลวร้ายไว้เบื้องหลัง และก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป
ที่มา:http://www.cmxseed.com/cmxseedforumn/index.php?PHPSESSID=cbi853vikbri8a39vilqj2nd92&topic=108075.0
credit :: Cammy@Dek-d.com
credit :: Cammy@Dek-d.com
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
44 VOTES (4/5 จาก 11 คน)
VOTED: ดาวศุกร์, จอมยุทธอินดี้, แม่เสือ, ตี๋ หิด, เอ๋ง ไม่ดัดจริต, เจ๊มด ณ โพสท์จัง
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เปิดวาร์ป "นางฟ้าลอตเตอรี่"! สวยจนโซเชียลสงสัย อาชีพจริงหรือแค่คอนเทนต์?จำได้ไหม? "พุฒ เดชอุดม" จากยูทูบเบอร์เสียงเพี้ยน สู่สาวสวยสุดlซ็กซี่เพจดังแฉหัวหน้าแก๊งค์ “น้ำไม่อาบ” ไม่ทน ออกแถลงการณ์ลั่นปิดท้าย “ผมด่ากลับ แล้วรับให้ได้Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เปิดวาร์ป "นางฟ้าลอตเตอรี่"! สวยจนโซเชียลสงสัย อาชีพจริงหรือแค่คอนเทนต์?Kawaguchi Ayaka นักแสดง A.V วัย 25 ปี จะ "แต่งงาน" ในเดือนธันวาคมนี้ที่ฮ่องกง