กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...นิทานเซน
โพสท์โดย ลูกสาวอบต
เนื่องเพราะ “เซน” (Zen) เป็นหลักปรัชญคำสอนแขนงหนึ่งของพุทธศาสนาที่ก่อกำเนิดขึ้นในแถบชมพูทวีปหรืออินเดียและเผยแผ่ไปยังจีนและญี่ปุ่นตามลำดับ จนตกผลึกเป็นมรรควิธีอันนำไปสู่ภาวะสะอาด สว่าง สงบ สำหรับ ผู้คนที่แสวงหาความสงบ และปรารถนาที่จะหลบหลีกจากความวุ่นวาย เชื่อว่าปรัชญาคำสอนของนิกายเซนจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้ภาวะกายใจสมดุล อิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นิทานเซน” “นิทานเซน” เป็นนิทานที่บอกเล่าสืบทอดกันมาแต่ดั้งเดิมและเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นนิทานที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาที่ลุ่มลึก ผ่านเรื่องราวการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย ทำให้ผู้ที่ได้อ่านได้ฟังตระหนักรู้ ฉุกใจคิดเตือนสติให้ผู้อ่านได้หวนกลับมาดูตัวเองและรู้สึกตัวในปัจจุบันขณะได้เป็นอย่างดีและถ้าจะการเล่านิทานในครั้งนี้จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นก็ต้องเริ่มต้น ด้วยคำว่า...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
|
|
|
|
|
|
เรื่อง...ตกปลา
มีเศรษฐีคนหนึ่ง เห็นยาจกคนหนึ่งตกปลาอยู่ริมทะเลจึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า
เศรษฐี “เจ้าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะตกปลาให้ได้มากกว่านี้ เช่นว่าซื้อเรือมาสักลำ” ยาจก “ข้าจะต้องทำอย่างนั้นทำไม” เศรษฐี “ถ้าหากเจ้าซื้อเรือ เจ้าก็จะออกไปตกปลาได้ไกลกว่านี้ ที่นั่นย่อมมีปลามากกว่านี้” ยาจก “หลังจากนั้นล่ะ” เศรษฐี “หลังจากนั้นเจ้าก็นำเงินที่ได้จากการตกปลาไปซื้อเรือที่ใหญ่กว่านี้ ไปตกในที่ลึกกว่านี้ ย่อมจะได้ปลามากกว่านี้” ยาจก “หลังจากนั้นล่ะ” เศรษฐี “หลังจากนั้นเจ้าก็จะตกปลาที่นี่อย่างหมดความกังวลใดๆ” ยาจก “ตอนนี้ข้าก็ตกปลาอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความกังวลใดอยู่แล้ว”
|
|
|
|
|
เรื่อง...อยู่กับปัจจุบัน
พระชิงหลวนแห่งญี่ปุ่น เมื่อตอนที่อายุ 9 ขวบ ก็คิดที่จะออกบวชจึงไปขอบวชกับพระอาจารย์ฉือเจิ้น พระอาจารย์บอกว่า “เจ้าอายุยังน้อย คิดจะบวชทำไม?” ชิงหลวนตอบว่า “แม้ข้าพเจ้าจะอายุยังน้อย แต่พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว และเพราะเหตุว่าข้าพเจ้าไม่รู้ว่า คนเราทำไมต้องตาย ทำไมต้องแยกจากพ่อแม่เพื่อที่จะสืบค้นหาต้นตอของสิ่ง เหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงต้องบวช” พระอาจารย์รู้สึกชมชอบอุดมการณ์อันดีนั้น จึงพูดว่า “ดีแล้ว อาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่คืนนี้ก็ค่ำแล้ว ไว้พรุ่งนี้จะทำการบวชให้เจ้า” แต่ชิงหลวนพูดว่า “ข้าพเจ้าอายุยังน้อย ไม่ทราบว่าจะรักษาความคิดที่จะบวชจนถึงพรุ่งนี้ได้หรือ เปล่า และท่านอาจารย์ก็อายุมากแล้ว ก็ไม่สามารถจะรับรองได้ว่า พรุ่งนี้เช้าอาจารย์จะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเปล่า” พระอาจารย์ฟังแล้วรู้สึกปลื้มปีติยิ่งนัก บอกว่า “ถูกต้อง เจ้าพูดไม่ผิดเลย ตอนนี้จะบวชให้เจ้าทันที”
ที่เมืองจีนสมัยราชวงศ์ถัง ผู้ที่จะบวชจะต้องผ่านการสอบคัดเลือกก่อน พระถังซำจั๋งตอนนั้นอายุเพียง 12 ปี สอบไม่ผ่าน รู้สึกเสียใจจนร้องไห้ ผู้คุมสอบ เจิ้งซ่านกว่อ ถามว่า “ร้องไห้ทำไม” ซำจั๋งตอบว่า “อยากสืบทอดศาสนาของพระพุทธองค์ และให้เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วปฐพี” ผู้คุมเห็นอุดมการณ์อันสูงส่งนั้น จึงอนุญาตให้บวช ซึ่งต่อมาทั้งสองท่านก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
|
|
|
|
|
|
|
เรื่อง...วาง
มีพระพรรษามากกับพรรษาน้อยสองรูปเดินทางไปด้วยกัน จนกระทั่งทั้งคู่ต้องข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ จำเป็นต้องเดิน ข้ามเพราะสะพานข้ามแม่น้ำขาดเสียหาย
พระทั้งสองรูปพบผู้หญิงผู้หนึ่งคนซึ่งไม่สามารถข้ามแม่น้ำ ไปได้เนื่องจากสะพานขาดนั้นพระพรรษามากจึงอาสาจะ ให้ผู้หญิงนั้นขี่หลังแล้วข้ามฟากไป พระพรรษาน้อยเห็น อย่างนั้นจึงรู้สึกขุ่นเคืองว่าทำไมพระพรรษามากจึงทำ อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นพระไม่ควรจะสัมผัสหรือใกล้ชิด ผู้หญิงขนาดนี้ แต่ก็คิดอยู่ในใจไม่ได้ถามพระพรรษามาก
หลังจากที่ข้ามฟากเสร็จพระทั้งสองรูปและผู้หญิงต่างก็ แยกย้ายไปตามทางของตนแต่ในใจของพระพรรษาน้อย ยังคงคิดวนเวียนตั้งคำถามในใจตลอดเวลาว่าการกระทำ ของพระพรรษามากนั้นไม่เป็นการสมควรกับนักบวชคิด วุ่นวายอยู่อย่างนั้นเก็บเงียบอยู่ในใจไม่ถามพระพรรษามาก
ท่านคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นทำให้ท่านแทบบ้าจนมาถึงจุด หยุดพักพระพรรษาน้อยอดทนเก็บเรื่องในใจต่อไปอีก ไม่ไหวจึงถามพระพรรษามากกว่าท่าน ทำไมไม่สำรวมถึง ความเป็นพระเลย ทำไมถึงได้สัมผัสผู้หญิงและผู้หญิง คนนั้นเป็นคนสวยเสียด้วย ท่านเป็นคนบอกผมเองว่าท่าน เป็นพระที่บริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ?
พระพรรษามากประหลาดใจแล้วย้อนกลับไปถาม พระพรรษาน้อยว่า “ผมวางผู้หญิงสวยคนนั้นไปตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เหตุใดท่านยังอุ้มผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกเล่า”
|
|
|
เรื่อง...ยอดซามูไร
ซามูไรผู้หนึ่งมีลูกชาย 3 คน ต่างก็มีความเชี่ยวชาญในเชิงซามูไร พอถึงวาระที่ซามูไรผู้พ่อจะต้องมอบตราประจำตระกูล ให้ลูกชายเพื่อสืบทอดต่อไปนั้น เขาก็ใช้วิธีทดสอบความสามารถของลูกๆ ทั้ง 3 คน ซามูไรผู้พ่อคิดวิธีได้แล้วก็เข้าไปนั่งอยู่ในห้องแล้วหับประตูไว้ ประตูห้องแบบญี่ปุ่นเป็นแบบฉากเลื่อนและบนประตูแบบฉากเลื่อนนี้เอง ซามูไรผู้พ่อก็นำเอาหมอนลูกหนึ่งขึ้นไปวางไว้แล้วแกก็เรียกให้ลูกชายเข้าไปหาทีละคน
ลูกชายคนโตถูกเรียกก่อน เมื่อเดินไปถึงประตูเลื่อนพอขยับประตูก็มองเห็นหมอนอยู่ข้างบนจึงเอื้อมมือไปหยิบแล้วเลื่อนประตูเข้าไปหาพ่อ ซามูไรผู้พ่อสั่งให้เอาหมอนไปไว้ที่เดิมแล้วให้นั่งรออยู่ในห้อง
ลูกชายคนกลางถูกเรียกเป็นคนต่อไป เมื่อเดินไปถึงประตูก็เลื่อนประตูเปิด ทันใดนั้นหมอนก็ตกลงมาลูกชายคนกลางรีบรับเอาไว้ทันทีโดยแทบไม่มีเสียงเลยแล้วจึงเดินเขาไปหาพ่อ ซามูไรผู้พ่อจึงสั่งให้เอาหมอนไปวางไว้ที่เดิมแล้วให้นั่งรออยู่ในห้องเช่นกัน
ลูกชายคนเล็กถูกเรียกเป็นคนสุดท้ายพอเดินถึงประตูก็เลื่อนเปิดทันที หมอนก็ตกลงมา แว็บเดียวดาบซามูไรก็ปลิวออกจากฝักในชั่วพริบตา หมอนถูกฟันจนนุ่นปลิวว่อนแล้วเสียบดาบลงฝักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แทบไม่มีใครเห็นใบดาบซามูไรเลยก็ว่าได้แล้วลูกชายคนเล็กก็เดินอย่างสง่าและสงบเข้าไปหาพ่อ ถ้าเป็นท่าน ๆจะมอบตำแหน่งให้ลูกคนไหน ?
ซามูไรผู้พ่อได้พูดกับลูกทั้งสามว่า “เจ้าเล็ก เจ้าใช้ดาบได้รวดเร็วดังใจ เจ้าใช้ใจ” “เจ้ากลาง เจ้ารู้วิธีใช้มือแทนดาบได้ เจ้าใช้มือ” “เจ้าโต เจ้ารอบคอบรู้การควรไม่ควรก่อนทำการทั้งปวงเจ้าใช้หัวหรือปัญญา ไม่ได้ใช้ดาบเพียงอย่างเดียวพ่อขอมอบดาบประจำตระกูลให้เจ้าจงปกครองคนในตระกูลแทนพ่อสืบต่อไป”
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เรื่อง...ผู้รับ ผู้ให้
อูเมชุ ซิบิ เป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งเมืองเอโดทราบว่าท่านอาจารย์เซอิเซตสุมีความประสงค์จะขยายศาลาโรงธรรมเพราะที่มีอยู่เดิมคับแคบไม่พอกับผู้ที่มาฟังธรรม อูเมชุ ซิบิ จึงตกลงใจที่จะเป็นผู้บริจาคปัจจัยเพื่อเป็นค่าก่อสร้างเสียเองเป็นจำนวนเงินถึง 500 เหรียญทอง ซึ่งในสมัยนั้นนับว่ามากที่สุดแล้ว เพราะว่าเงินเพียง 3 เหรียญทอง ก็สามารถใช้สอยอยู่กิน ได้ตลอดปีแล้ว ท่านพ่อค้าได้หิ้วถุงเงินเข้าไปหาท่านอาจารย์แล้วน้อมถวายบอกความประสงค์ให้ทราบท่านอาจารย์ก็ กล่าวแต่เพียงว่า“ดีแล้ว อาตมาจะรับไว้” แล้วก็นั่งนิ่งเงียบ
อูเมชุ ซิบิ นั่งรอด้วยหวังว่าท่านอาจารย์คงจะกล่าวอนุโมทนาและอวยพรให้ตนโชคดีทำมาค้าขึ้นต่อๆไปแต่เห็นท่านอาจารย์ก็ยังคงนั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงนั่งกระสับกระส่ายฟุ้งซ่านต่างๆนานา แหมเงินตั้ง 500 เหรียญทอง เชียวนะ ท่านอาจารย์ไม่เห็นกล่าวอนุโมทนาเลยสักนิด คิดแล้วก็ทำใจกล้ากราบเรียนว่า “หลวงพ่อครับ เงินในถุงใส่ไว้ครบ 500 เหรียญเลยครับ” “เมื่อครู่เธอบอกแล้วไม่ใช่เรอะ?” หลวงพ่อตอบ ท่านพ่อค้ายิ่งตีสีหน้าไม่ถูกนั่งนิ่งกันไปอีกพักใหญ่ ท่านพ่อค้าก็เลยตัดสินใจอีกครั้งกล่าวเลียบเคียงให้หลวงพ่อโมทนาให้พร “หลวงพ่อครับ เงินจำนวน 500 เหรียญทองนี่ แม้ผมจะค้าขายใหญ่โต ก็ยังรู้สึกว่ามันมากอยู่นะครับ” “เธออยากให้ฉันขอบใจเธอใช่หรือเปล่าล่ะ?”หลวงพ่อเดาใจ “ครับ นิดหนึ่งก็ยังดีครับ”พ่อค้าตอบอย่างดีใจ “ทำไมต้องให้ฉันขอบใจด้วยล่ะ ผู้ใดเป็นผู้ให้ทาน ผู้นั้นต่างหากที่ควรจะขอบใจ” ท่านอาจารย์เซอิเสตสุตอบแล้วนิ่งเงียบอืกถ้ามองอย่างสามัญแล้ว เมื่อมีการให้ย่อมอยากได้รับการตอบสนองกลับบ้าง ความจริงการให้หรือการทำบุญนั้นเป็นอุบายอย่างหนึ่งในการทำลายความยึดมั่นว่าตัวกูของกูลงแต่จะมองเห็นกันหรือไม่ เท่านั้น
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เรื่อง...ค่าของคน
ยังมีศิษย์เซนผู้หนึ่ง เฝ้าพร่ำถามอาจารย์เซนทุกวันว่า “สิ่งใดคือคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา?” วันหนึ่งอาจารย์เซนเดินออกมาจากห้องพร้อมกับก้อนหินหนึ่งก้อน จากนั้นเอ่ยกับศิษย์เจ้าปัญหาว่า “เจ้าจงเอาก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังท้องตลาด แต่ไม่จำเป็นต้องขายออกไปจริงๆเพียงแค่ทำให้มีผู้มาเสนอราคาขอซื้อ ก็เพียงพอแล้ว ลองดูสิว่าตลาดจะให้ราคาของก้อนหินก้อนนี้เท่าไหร่” ศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายยังท้องตลาดมีคนเห็นว่าหินก้อนนี้ทั้งใหญ่และเรียบสว จึงให้ราคา 2 ตำลึง อีกผู้หนึ่งเห็นว่าหินก้อนนี้น่าจะนำไปทำเป็นลูกกลิ้งหรือลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักได้อย่างดีจึงให้ราคาถึง 10 ตำลึง หลังจากนั้นแม้ว่าจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาชมดูก้อนหินมากมายแต่ราคาที่สูงสุดที่ได้จากท้องตลาดคือ 10 ตำลึงเมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินกลับมายังวัดก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่ตนเร่ขายก้อนหินธรรมดาๆ จนได้ราคาถึง 10 ตำลึงให้อาจารย์ฟังด้วยความยินดียิ่งเมื่อฟังจบ อาจารย์เซนเพียงแต่กล่าวว่า “เจ้าจงนำหินก้อนนี้ไปเร่ขายอีกครั้ง ยังตลาดค้าทอง” ศิษย์เซนจึงเดินทางไปยังตลาดค้าทอง จากนั้นนำก้อนหินออกมาเร่ขาย คราวนี้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีผู้เสนอราคาก้อนหินถึง 1 พันตำลึง จากนั้นราคาก็ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นตำลึงและสุดท้ายจบลงที่ราคาสิบหมื่นตำลึง เมื่อศิษย์เซนเห็นผลลัพธ์เกินความคาดหมายถึงเพียงนั้นจึงรีบกลับมารายงานอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนเพียงกล่าวว่า “พรุ่งนี้เจ้าจงนำก้อนหินก้อนนี้ไปเร่ขายยังตลาดค้าเพชรพลอย ซึ่งเป็นตลาดระดับสูงที่สุดดู”เมื่อศิษย์เซนนำก้อนหินไปเร่ขายตามคำสั่งของอาจารย์ พบว่าราคาของก้อนหินขึ้นพรวดพราดไปเรื่อยๆจากสิบหมื่นตำลึงเป็น ยี่สิบหมื่นตำลึง สามสิบหมื่นตำลึง จนกระทั่งมีผู้เข้าใจว่า ที่ศิษย์เซนยังไม่ยอมตกลงใจขายก้อนหินเป็นเพราะยังไม่ได้ราคาเหมาะสมจึงเสนอให้ตั้งราคาขึ้นมาเองตามใจชอบอย่างไม่อั้นได้เลยว่าจะขายที่ราคาเท่าไหร่ ศิษย์เซนได้แต่อธิบายต่อผู้คนที่สนใจซื้อก้อนหินว่า ตนทำตามคำสั่งอาจารย์ มิอาจขายก้อนหินออกไปจริง ๆ ได้ จากนั้นจึงเดินทางกลับวัดพร้อม ทั้งบอกอาจารย์เซนว่า "ตอนนี้ราคาของก้อนหินพุ่งขึ้นไปถึงหลักสิบหมื่นตำลึงแล้ว” เมื่ออาจารย์เซนฟังจบ จึงกล่าวว่า “นั่นก็ใช่แล้วที่ข้าไม่อาจสั่งสอนเจ้าได้ว่าชีวิตมีคุณค่าเพียงใดก็เพราะนั่นจะเป็นการตีราคาชีวิตของเจ้าโดยผ่านมุมมองภายนอกไม่ต่างจากการตีราคาก้อนหิน ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคุณค่าของมนุษย์ทุกคนล้วนต้องกระจ่างอยู่ภายในจิตใจ ของคนผู้นั้นเอง จงมีสายตาแหลมคมดั่งนักค้าเพชรพลอยเสียก่อนจึงจะสามารถเห็นซึ้งถึงคุณค่าที่แท้จริงของคนเรา”
ปัญญาเซน : มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวเอง จงตระหนักในคุณค่าแห่งตน ยอมรับตนเอง ฝึกฝนตนเอง ให้ช่องว่าง กับตัวเองได้เติบโต ทุกคนล้วนสามารถกลายเป็นสิ่งมีค่าอันประเมินมิได้ ทุกขวากหนาม ทุกความเจ็บปวด ทุกความพ่ายแพ้ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชีวิตของคนเรา
|
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
24 VOTES (4/5 จาก 6 คน)
VOTED: Noches, อาราเล่จัง, AdamS JaideE, MuayMuaythai, Chawap