จากคำเสนอในแคมเปญของ Change.org ถึงกรณีที่หนังเรื่อง "อาบัติ" ถูกห้ามสั่งฉาย ว่า
อยากให้ภาพยนตร์เรื่อง "อาบัติ" ได้เข้าฉายตามปกติ โดยไม่มีการตัดตอน ปรับแก้เนื้อหาใด ๆ ทั้งนี้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวไทย ได้เห็นอีกมุมอันเป็นมุมแห่งความเสื่อมที่เกาะกินพระพุทธศาสนา ยังผลทำให้พระศาสนาเสื่อมทรามเพราะ "พวกอลัชชี นอกรีต" ที่นับวันจะยิ่งมีพฤติการณ์อันต่ำช้า ลบหลู่ศาสนา บิดเบือนพระธรรมคำสอน หากินกับผ้าเหลือง เพื่อความสุขสบายส่วนตน มิได้มีเจตนาที่จะบวชเข้ามาเพื่อสืบทอดพระศาสนาโดยเลื่อมใสอย่างแท้จริงดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระปณิธานไว้
ภาพยนตร์เรื่อง "อาบัติ" นี้ จะได้ตีแผ่นำเสนอพฤติกรรมนอกรีตในพระศาสนาบางอย่างของบุคคลบางกลุ่มที่มุ่งร้ายต่อพระศาสนา มุ่งหวังผลประโยชน์ ลาภอันมิควรได้จากความศรัทธาที่มิได้มาพร้อมด้วยสติออกมาให้เราได้รับรู้ในเสี้ยวมุมหนึ่ง (ซึ่งจริงๆแล้วยังมีที่แย่ยิ่งกว่านี้อยู่อีกมาก ) ผ่านตัวละครในเนื้อเรื่อง เพื่อที่จะได้ทำให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายตระหนักรู้ และตื่นตัวในการที่จะดูแลและปกป้อง ทนุบำรุงพระศาสนาประจำชาติไทย ให้ดำรงไว้ซึ่งความน่าเลื่อมใส เป็นไปตามพระปณิธานแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จิตรู้ของอาจารย์ ต้องออกมาให้ความเห็นและปกป้องรัตนะดวงสาม ขอให้ความเห็นเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาดังนี้ว่า
หนังเรื่องอาบัติไม่สมควรนำมาฉาย เพราะปัญญาในการพิจารณาของคนนั้นไม่เท่ากัน การเผยแพร่ด้านร้ายออกไปสู่วงกว้างมากโดยขาดการไตร่ตรอง จะเป็นการทำลายความนับถือรัตนะดวงที่สาม โดยรวมคนดูก็จะมีแต่ความคลางแคลงสงสัยจ้องจับผิดสงฆ์ ทำให้ขาดความศรัทธาในพระพุทธศาสนาไปในที่สุด
หากจะเตือนประชาชนต้องทำอย่างมีหลักการ ทำเอกสารหรือการรณรงค์ออกไปเป็นข้อๆ ทำหนังสั้นๆ ก็ได้ว่า สิ่งใดที่เรียกว่าอาบัติหรือการกระทำที่ไม่ใช่สงฆ์เป็นอย่างไร ไม่ใช่เผยแพร่เป็น Drama ก็จะเพิ่มการปรุงแต่งหนักยิ่งขึ้น
ผู้ที่หลงสนับสนุน จะมีบาปติดตัวจากการไม่พิจารณาไตร่ตรอง การทำอะไรโดยใช้อารมณ์เป็นตัวตั้ง มีแต่จะนำความเสียหายใหญ่หลวงทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
อาจารย์เตือนด้วยความปรารถนาดี หากใครมีความเห็นไม่ตรงกันก็ไม่เป็นไร แต่ละคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อความคิดและการกระทำของตน อาจารย์มีหน้าที่ปกป้องก็ต้องทำให้ถึงที่สุด"