แผนการลอบสังหาร ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์!
เพื่อนๆคงจะทราบกันดีแล้วใช่มั้ยครับว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทุกท่าน มักจะถูกลอบสังหารอยู่เสมอ บางคนก็ว่าเป็นเพราะอาถรรพ์ของคำสาปจากเผ่าอินเดียนแดง และบางคนก็ว่าเป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่แผนการลอบสังหารประธานาธิบดี คนที่ 40 ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการลอบสังหารที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์เลยหล่ะครับ!
ในเวลาบ่ายสองโมงครึ่งของวันที่ 30 มีนาคม 1981 ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน (Ronald Wilson Reagan) กำลังเดินออกจากโรงแรมฮิลตันในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมด้วยบรรดาบอดี้การ์ดนับสิบคน แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น โดยเสียงนั้นเป็นเสียงจากปืน Rohm RG-14 ของนาย จอห์น ฮิงค์ลีย์ ที่เขาแอบแฝงตัวอยู่กับฝูงชนนับร้อยคน โดยที่เขาลั่นไกครบ 6 นัดเลยทีเดียว!
นักแรก : กระสุนวางไปเจาะกระโหลกศีรษะเจ้าหน้าที่ James Brady อย่างจัง เนื้อสมองเสียหายอย่างมากจนทำให้ เสียชีวิตในเวลาต่อมา
นัดสอง : กระสุนมุ่งตรงไปที่กรามซ้ายด้านหลังของตำรวจชื่อ Thomas Delahanty จนเขาบาดเจ็บสาหัส
นัดสาม : พุ่งไปฝูงชน แต่ไม่โดนใคร เพราะชนเข้าที่ผนังตึก
นัดสี่ : วิ่งไปเจาะเข้าที่ลำตัว บริเวณท้องกึ่งยอดอกของสายลับ ชื่อ Timothy McCarthy จนเขาบาดเจ็บสาหัส
นัดห้า : กระสุนไปแตะกระทบอย่างรุนแรงเข้าที่กระจก กันกระสุนรถประจำตำแหน่งท่านประธานาธิบดี หัวกระสุนระเบิดกระจาย และหาซากไม่ได้
นัดหก : เป็นนัดสุดท้าย เป็นนัดที่โดนเรแกน โดยกระสุนวิ่งเข้าไปกระทบกับหน้าอกด้านซ้าย ห่างจากขั้วหัวใจเพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น เท่ากับว่าถ้าเขาลั่นไกสูงขึ้นมาอีกหน่อย ประธานาธิบดีท่านนี้จะต้องตายแน่นอน
โดยเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีนี้ ได้บอกกับสื่อมวลชนว่า เป็นการลอบสังหารที่ห่วยแตกมากที่สุด เพราะหลังจากที่นาย ฮิงค์ลีย์ ลั่นไกครบ 6 นัดแล้วนั้น เขากลับใช้ปืนจ่อหัวตัวเอง เพื่อจะฆ่าตัวตาย แต่อย่าลืมนะครับว่า ปืนลูกโม่มีกระสุนอยู่เพียง 6 นัดเท่านั้น แล้วแบบนี้จะยิงตัวตายได้อย่างไร และสาเหตุที่นาย ฮิงค์ลีย์ ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะว่า เขาหลงรักดาราสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง!
และปืนที่เขาใช้นั้น เป็นปืนที่ไม่เหมาะอย่างมากที่จะกระทำการลอบสังหารแบบนี้ นั่นก็คือปืน Rohm RG-14 เพราะว่ามันเป็นปืนที่เวลาลั่นไกไปแรง คนยิงจะสั่นไปทั้งตัว ทำให้คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายไปมาก และยังเหนี่ยวไกได้ยากอีกด้วย ซึ่งเป็นปืนราคาถูก ที่ไม่ค่อยมีใครนิยมกัน
และเมื่อ นาย ฮิงค์ลีย์ ถูกจับเขาก็ถูกค้นบ้านและควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำแบบละเอียด ทำให้รู้สาเหตุที่แท้จริงในการลอบสังหารครั้งนี้ก็เพื่อทำให้ Jodie Forster ดาราภาพยนตร์สาวสวยประทับใจความกล้าหาญของเขาเท่านั้น โดยฮิงค์ลีย์บอกว่าเขาประทับใจตัวเธอในหนังเรื่อง “Taxi Driver” ซึ่งเขาดูหนังเรื่องนี้กว่า 15 รอบ โดยเขาอธิบายการลอบสังหารนี้ว่าเป็น “ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ขอมอบให้แก่ประวัติศาสตร์โลก” เลยทีเดียว และตำรวจยังพบจดหมายที่เขาเขียนถึงดาราสาว โจดี้ ฟอสเตอร์ ฉบับหนึ่งลงวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.1981 เขียนในเวลา 12.45 น. ก่อนที่เขาจะไปก่อคดีเพียงชั่วโมงเศษๆ เนื้อความในจดหมายมีดังนี้
โจดี้ที่รัก
คุณก็คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าผมรักคุณมากแค่ไหน ในช่วงเวลา 7 เดือนที่ผ่านมาผมได้ส่งบทกวีและข้อความแสดงบอกรักคุณด้วยความหวังอันเลือนรางว่าคุณอาจเริ่มสนใจในตัวผมขึ้นมาบ้าง แม้เราจะได้คุยกันทางโทรทัศน์บ้าง 2-3 ครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยกล้าที่จะเข้าหาคุณเพื่อจะแนะนำตัวผมให้คุณรู้จัก นอกจากผมจะเป็นคนขี้อายแล้ว ผมยังไม่อยากไปรบกวนคุณด้วยการไปพบคุณบ่อยๆ ผมทราบดีว่าข้อความหลายฉบับที่ผมนำไปติดไว้ที่ประตูบ้านคุณและที่ผมสอดไว้ที่ตู้จดหมายของคุณนั้นเป้นสิ่งที่น่ารำคาญ แต่ผมก็รู้สึกว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่ผมจะไม่ต้องเจ็บปวดในการแสดงความรักที่ผมมีต่อคุณ
ผมรู้สึกดีใจจริงๆ ที่อย่างน้อยคุณก็รู้จักชื่อของผม และทราบว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคุณ การที่ผมไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ ที่พักของคุณนั้นก็ทำให้ผมกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่คนจะต้องพูดถึงมากกว่าการพูดดึงอย่างฉาบฉวย นั่นฟังดูเป็นอย่างน่าหัวเราะ แต่อย่างน้อยคุณก็จะได้รู้ว่าผมจะรักคุณตลอดไป
ผมขอยอมรับกับคุณว่าเหตุผลที่ผมจำต้องกระทำการอันอุกอาจครั้งนี้ เนื่องมาจากผมไม่อาจรอคอยเวลาที่จะทำให้คุณประทับใจได้ ผมต้องทำสิ่งบางอย่างเดี๋ยวนี้เพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าผมทำเพื่อคุณเท่านั้น โดยการเสียสละอิสรภาพของผมหรือแม้กระทั้งชีวิตของผมในครั้งนี้ ผมได้แต่เพียงหวังว่าผมอาจจะเปลี่ยนใจคุณได้ จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นเพียงหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ผมจะเดินไปยังโรงแรมฮิลตัน โจดี้ผมกำลังขอร้องให้คุณมองเข้าไปยังหัวใจของผมอย่างน้อยโอกาสผมที่จะได้รับความนับถือและความรักจากคุณ ด้วยการกระทำที่จะจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ครั้งนี้
ผมขอรักคุณตลอดไป
จอห์น ฮิงค์ลีย์ ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดเนื่องจากสติไม่สมประกอบ ในวันที่ 4 พฤษภาคม 1982 โดยคณะลูกขุน 12 คน เขาถูกตัดสินให้กักบริเวณและรักษาสภาพจิตโดยไม่มีกำหนดในโรงพยาบาลผู้ป่วยโรคจิต ในกรุงวอชิงตัน ดี ซี ซึ่งเขาอยู่ที่นั้นจนถึงทุกวันนี้