ในที่สุดผมก็เคลียร์หนี้บัตรเครดิตทั้งหมด หมดสิ้นไปในวันนี้ครับ..
ขอกล่าวก่อนนะครับ พอดีผมกำลังทำการบ้านและผมก็ไปเจอกระทู้นี้ในเว็บนึง และคิดว่ามีประโยชน์กับคนจนตรอกหลายๆคน เลยเอามาแชร์กันครับ ซึ่งผมไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์โดยตรง
ในที่สุดผมก็เคลียร์หนี้บัตรเครดิตทั้งหมด หมดสิ้นไปในวันนี้ครับ..
วันนี้ ผมโคตรจะดีใจเลยที่หนี้บัตรเครดิตที่อยู่ในชื่อของผม “ทั้งหมด” ได้ถูกชำระหนี้คงค้างทั้งหมดไปจนหมดสิ้น…หลังจากที่ผม struggling ในเรื่องนี้ตั้งแต่ผมกลับมาจากอเมริกาตั้งแต่ปี 2006.. บัดนี้เป็นเวลา 8 ปี.. มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากๆ แต่ในที่สุดมันก็ถูกเคลียร์ออกไปได้จนหมด
หลายๆ คนคงสงสัยว่า ทำไมบัตรมันชื่อผม แต่ทำไมมีหนี้ขึ้นมาได้ล่ะ? ถ้าผมไม่ได้ใช้แล้วใครจะใช้? ถ้าจะให้เล่าเรื่องนี้ก็ต้องเท้าความเล่ากันยาวไปถึงตั้งแต่สมัยผมเพิ่งจบและมาทำงานใหม่ๆ กันเลยทีเดียว … จริงๆ เรื่องอย่างนี้บ้านผมเขาจะถือมาก ว่าไม่ควรมาเล่าเรื่องปัญหาการเงินในบ้านให้คนอื่นฟัง กลัวอาย แต่ผมมองว่า เรื่องอย่างนี้ผมควรจะแปะๆ ไว้ในอินเตอร์เน็ท เผื่อวันใดที่คนที่เจอปัญหาเช่นเดียวกับผม และกำลังสิ้นหวัง จะได้ผ่านเข้ามาอ่าน และจะได้มีกำลังใจสู้ชีวิตกันต่อไปครับ..
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
จุดเริ่มต้น
เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ผมเริ่มเข้าทำงานที่แรก ที่ AIS ด้วยเงินเดือน 15,000 บาท หลังจากทำงานไปได้ไม่กี่เดือน ทางบ้านผม ซึ่งก็ไม่ได้มีฐานะอะไรเลย และกำลังค่อนข้างลำบากในเรื่องการเงิน ก็ปิ๊งไอเดียประหลาดขึ้นมาอย่างนึงคือ “ลูกเอ๊ย ทำบัตรเครดิตให้ทุกใบเลยนะลูก เวลาที่เรามีปัญหาการเงิน เราจะได้ไม่ต้องไปบากหน้าไปขอยืมใคร..” ซึ่งตอนนั้นผมก็เป็นเด็กดี เชื่อฟังพ่อแม่ และที่สำคัญคือ อ่อนโลก ไม่รู้ว่าบัตรเครดิตมันน่ากลัวยังไง ก็เลยยื่นขอไปทุกใบเลยครับ
ซึ่งตอนนั้นอยู่ AIS ทางธนาคารก็เห็นว่าเครดิตดี ก็เลยให้แทบจะทุกบัตร ส่วนวงเงินก็ประมาณ 3-4 เท่าของเงินเดือน ..จำไม่ได้ว่ากี่ใบ แต่ถ้าเดาๆ ก็น่าจะ สิบใบได้ ใบละ 60,000 บาท สรุปตอนนั้นคือมีวงเงินบัตรเครดิตสูงถึง 600,000 บาทกันเลยทีเดียว มีทั้งบัตรหลัก บัตรเสริม ครบ!
ด้วยความที่เป็นเด็กค่อนข้างถูกสปอย ไม่ได้สอนให้รู้จักใช้และบริหารเงิน หมดเมื่อไหร่ก็ไปขอที่บ้าน ดังนั้น จึงไม่มีคำว่า “วงเงินใช้จ่ายรายเดือน” ของตัวเอง… ได้เงินเดือนมาก็ยกให้ที่บ้านไปบริหารจนหมด สลิปบัตรเครดิตก็ไม่เคยดู รูดอย่างเดียว ช่วงนั้นรูดมันส์มาก ไม่รู้รูดอะไรไปบ้าง อยากเลี้ยงสาว ก็รูด ไปเที่ยวกับเพื่อน ก็รูด อยากซื้อของ ก็รูด แล้วก็มาผ่อน ไม่มีการจดบันทึกค่าใช้จ่าย รูดทุกใบ จ่ายแต่ขั้นต่ำไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่า “ก็ไม่น่าจะเป็นไรหรอกมั้ง”
จุดเริ่มอ่วม
หลังจากผมทำงานไปได้ปีกว่า ทางบ้าน ก็มีเหตุจำเป็นที่ต้องซื้อบ้านใหม่ เพราะบ้านเก่าที่เคยอยู่นั้นมีปัญหากับผู้เช่า ก็เลยไปซื้อบ้านใหม่ ด้วยราคาสูงถึง 5 ล้านบาท ซึ่งบ้านนี้ ก็เป็นความนรกของผมอีกอย่าง เพราะมันคือ ชื่อผม กับผู้กู้ร่วม นั่นก็คือ เพื่อนของพ่ออีกคนหนึ่ง..
พอซื้อบ้าน ก็ต้องตกแต่ง ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ ต้องแต่งครัว แล้วจะทำอย่างไรล่ะครับสำหรับคนไม่มีตัง…”ก็รูดบัตรเครดิตไงจะไปยากอะไร วงเงินเยอะแยะ” โหย ช่วงนั้นรูดแหลก ครัวเป็นแสน เตียงเป็นห้าหมื่น เฟอร์อีก…ไม่แน่ใจว่าหมดไปเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะหลายแสนอยู่ครับ
แล้วยอดหนี้จะทำยังไง? จะไปยากอะไร…ก็ผ่อนขั้นต่ำไปสิครับ..คิดง่ายๆ ถ้าไม่ใช้อะไร ผ่อนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็หมด…แต่โลกแห่งความจริงมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ซึ่งมันก็จะมีค่าใช้จ่ายใหม่ๆ เข้ามาทุกเดือนแหละครับ และที่สำคัญคือ ยอดผ่อนบ้านอีก ซึ่งตอนนั้นยอดผ่อนต่อเดือนสูงมาก เดือนละ 37,000 บาทได้
ยังครับ ยังไม่หมดแค่นั้น… เพื่อความเท่ ไม่มีใครเหมือน มีบ้านแล้วก็ต้องมี… ใช่ครับ “รถ” เป็นรถคันแรกที่ใช้ชื่อผม ซึ่งผมก็งงๆ เหมือนกันว่า กู้มาได้ยังไงวะ… จำไม่ได้เลยจริงๆ แต่ว่า ที่แน่ๆ คือผ่อนเดือนละ 15,000 ครับ…
เห็นความระยำหรือยังครับ นี่ถ้านับหนี้เฉยๆ แบบ fix เลยก็เดือนละ 37,000 + 15,000 = 52,000 บาทแล้ว ถ้ารวมผ่อนขั้นต่ำบัตรเครดิตอีก สมมุติว่า ใบละ 2,000 บาท สิบใบ ก็ไปอีก 20,000 บาท… สรุปในช่วงนั้น ค่าใช้จ่ายของบ้านผมทั้งหมด ( หนี้ fix ) อยู่ที่ประมาณเดือนละ 72,000 บาท แต่ช่วงนั้นรู้ไหมครับผมได้เงินเดือน ๆ ละเท่าไหร่…25,000 บาทครับ
อ้อ..ยัง ยังไม่หมด เพื่อความเท่ของลูกชาย มีบ้าน มีรถ แล้วก็ต้องมีวุฒิการศึกษาใช่มะครับ ก็เลยไปลงเรียนโทที่ธรรมศาสตร์ ค่าเทอมจนจบก็ 250,000 ( เทอมละ 50,000 ) อ้ะ..ไม่มีตั้ง ทำไงดีนะ…ก็กู้ไง! ก็เลยไปกู้เงินกู้เพื่อการศึกษาของรัฐครับ ตอนนั้นน่าจะกู้มาเรียนก่อน ผ่อนทีหลัง ก็เรียนไป แบบเพลินๆ เลย ซึ่งก็ไม่ค่อยได้เข้าเรียนหรอกครับ เพราะช่วงนั้นติดแร๊ค งานเงินก็ไม่ค่อยได้ไปทำ ติดแม่งงอมแงมเลย ก่อนจะจบยังแทบไม่ได้อ่านหนังสือ เพราะเล่นแต่แร๊ค..ยังดีที่ได้เพื่อนดี ช่วยดันจนจบ ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกๆ ท่านเหล่านั้นมา ณ ที่นี้ด้วยจริงๆ ครับ
เรื่องทั้งหมด ใน section นี้ มันเกิดขึ้นแค่ในเวลา ปีสองปี เองนะครับ ซึ่งผมไม่เคยรับรู้เลยว่ารายจ่ายเป็นเท่าไหร่ต่อเดือน เพราะถูกสอนมาว่า ให้เรียนไปอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น… โดยผมเองก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่า เวลาที่บ้านผมเขาใช้หนี้ ตอนบัตรมันถึง due แต่เงินไม่มี..เขาจะใช้วิธีนี้ครับ…กดเงินสดจากบัตรนึง มาแปะอีกบัตรนึง…ซึ่งวิธีนี้คือหลุมพรางขั้นสุดท้ายของบัตรเครดิตเลยครับ เพราะดอกเบี้ยกดเงินสดมันแพงมากๆๆ .. สรุปก็คือ สามารถเลี้ยงหนี้บัตรเครดิตไปไม่ให้มันทวงถามได้ แต่ยอดหนี้ก็ไม่ได้ลดลงเลย เพราะเพิ่มทุกเดือนจากการกดเงินสด..และภาระใช้จ่ายอื่นๆ
จุดหายตัว
หลังจากผมจบโท ผมก็มีความเสี้ยนอีกอย่างที่อยากเท่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นก็คือ ไปเมืองนอกครับ พอดีมีน้องสาวอยู่อเมริกาก่อนหน้า ก็เลยไปตายเอาดาบหน้าเลย กะไปแล้วไปทำงานทุกอย่าง หาเงินเที่ยว หาประสบการณ์ ซึ่งผมก็ได้ประสบการณ์ที่..คนอื่นไม่สามารถหาได้อย่างผมแน่ๆ 555
ตอนนั้นทางบ้านเองก็ไม่ค่อยมีตังเท่าไหร่ แต่เพื่อลูกชายจอมเอาแต่ใจ สปอย สุดๆ ..และสุดที่รัก ที่บ้านผมก็เลยไปหาตังค่าตั๋วเครื่องบินมาให้บินไปอเมริกาจนได้ ..ก็ต้องขอบคุณท่านมา ณ ที่นี้ และยังได้ฝากฝังผมให้ไปทำงานที่ร้านอาหารของเพื่อนแกที่ซานฟราน.. เป็นเด็กเสริฟ ซึ่งผมทำใจอยู่แล้วว่าถ้าไปที่โน่น อะไรได้เงินก็ต้องทำหมด ก็เลยไม่ค่อยซีเรียสเรื่องนี้เท่าไหร่
จริงๆ เรื่องประสบการณ์ตอนไปอยู่อเมริกา อยากเล่าเป็นตอนๆ มากเลยครับ แต่ว่ามันยาว ขี้เกียจพิมพ์ ก็เลยสรุปง่ายๆ แล้วกันว่า…ทุกวันนี้ ผมดีใจมากที่ผมได้ไปอยู่อเมริกา ได้ใช้ชีวิต และควบคุมค่าใช้จ่ายของผมเอง…ถ้าผมไม่ได้ไปอเมริกา ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงต่อไป..ยังจะเป็น spoil brat เหมือนเดิมหรือเปล่า ก็ไม่รู้
ก็เอาเป็นว่าหลังจากอยู่อเมริกาได้ประมาณปีกว่า ก็มีเหตุทีทำให้ผมต้องกลับมาอยู่เมืองไทยอีกครั้ง ซึ่งกลับมาผมก็เจอกับเรื่องที่มันต่อเนื่องมาจากย่อหน้าบน..ใช่คร้าบบ..หนี้บัตรเครดิตและสารพัดหนี้ที่รออยู่
ตั้งหลักกันใหม่
ช่วงที่ผมไม่อยู่เมืองไทย ทางบ้านผมเขาก็ยังคงใช้วิธีกดบัตรโน้นจ่ายบัตรนี้ ไปเรื่อยๆ จนบัตรเริ่มเต็มวงเงิน บัตรไหนเต็ม ก็จ่ายขั้นต่ำต่อไป แล้วก็ทำอย่างนี้วนไปเรื่อยๆ จนเต็มแทบทุกใบ สุดท้าย ก็สู้ไม่ไหวครับ ก็เลยต้องไม่ชำระ ปล่อยผ่าน และเป็นหนี้เน่าไป… ช่วงแรกๆ ที่เป็นหนี้เน่า ทางธนาคารก็จะขายหนี้ไปให้บริษัทติดตามหนี้ ก็จะโดนโทรถามแหลกเลยครับ ช่วงนั้นนี้เครียดกันมาก เพราะใครโทรมาก็ไม่รับสาย เพราะเป็นพนักงานทวงหนี้ซะส่วนใหญ่
พอผมกลับมา ผมก็หางานอยู่เกือบครึ่งปี โชคดีที่ไปได้งานที่บริษัท IT แห่งหนึ่ง จริงๆ ผมเองจะไม่ไปสัมภาษณ์บริษัทนี้แล้วด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยได้ยินชื่อ แต่เนื่องจากไม่รู้จะไปที่ไหนแล้ว เพราะสัมภาษณ์มาตั้งหลายที่ ก็ไม่ได้เลย เนื่องจากพอร์ทมันโหว่ไป อยู่สองปีกว่า…ซึ่งผมก็เจอกับรุ่นพี่วิศวะจุฬาฯ ที่มาสัมภาษณ์ ก็เลยไม่เกร็ง คุยกันเพลินสนุกไปเรื่อยๆ ไม่กดดัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้งานนะครับ พอกลับมาถึงบ้านก็ดันได้ที่นี่ …ผมแทบจะดีใจจนน้ำตาไหล..ในที่สุดก็มีเงินเดือนซะที
หลังจากทำงานไป..ผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องราวของสภาวะบัตรเครดิตของที่บ้านเท่าไหร่นะครับ เพราะก็เหมือนเดิม..ไม่ได้ใส่ใจจะรู้ และที่บ้านบอกไม่ต้องยุ่ง จนวันที่บัตรเริ่มยื่นฟ้องผมกัน เพราะผมไม่ได้จ่ายเลย ตอนนั้นคำสั่งศาลมาบ้านกันไม่เว้นแต่ละวัน ..ซึ่ง..ผมเองก็ไม่ยุ่งอยู่ดี ให้พ่อไปคุยแทน.. พอไปคุยก็สุดท้ายก็ประนอมหนี้กันมา ได้ยอดผ่อนชำระมาเท่าไหร่ ผมก็ค่อยๆ ผ่อนจ่ายไป
ช่วงนั้นได้เงินเดือนมา ส่วนนึงก็ต้องคอยส่งหนี้บัตรเครดิตที่ประนอมหนี้กันได้ ผ่อนชำระกันไปเรื่อยๆ เป็นปีๆ… ซึ่งตรงนี้เอง ผมก็เริ่มทำบัญชีว่า จ่ายบัตรไหนไปแล้วบ้าง เป็นจำนวนเท่าไหร่ ลงไว้ใน excel แล้วก็ค่อยๆ อัพเดทไปเรื่อยๆ บัตรไหนยังไม่ฟ้องก็เอามาลิสต์ไว้ทั้งหมด โดยไปขอยอดหนี้จากเครดิตบูโร
ส่วนเรื่องรถ เนื่องจากปัญหาทางการเงิน ก็เลยไม่ได้จ่าย ( อีกแล้ว ) ซึ่งจริงๆ ยอดมันเหลืออีกแค่ไม่กี่เดือนก็จะหมดแล้ว แต่ที่บ้านก็ดันตังหมดซะก่อน ยอดหนี้ก็เลยเด้งขึนไปเป็น เกือบสองแสน ( จากหกหมื่นได้มั้ง..) ซึ่งตรงนี้ผมเองก็ต้องมารับภาระจ่ายไป อีกเดือนละ 15,000 เป็นเวลาอีกปีกว่า
เรื่องบ้าน…ก็พยายามประคองไว้เป็น first priority แต่สุดท้ายก็สู้ยอดรายเดือนไม่ไหว ก็เลยขอปรับโครงสร้างหนี้ ก็ได้ลดมาเหลือ 29,000 ..เรื่องบ้านนี่รู้สึกน้องผมจะจ่ายให้ซะเยอะเลยล่ะ
เรื่องเงินกู้เพื่อการศึกษา หลังจากหนีหายมาเป็นเวลาหลายปี สุดท้ายก็ได้มาปรับโครงสร้างหนี้ ให้จ่ายรายเดือน เดือนละ 3,000 เป็นเวลาหลายปีอยู่
สรุปง่ายๆ ว่าช่วงนั้น เดือนๆ นึงจ่ายหนี้ไปซะเยอะ ไม่มีเงินเก็บเลยสักกะบาทเดียว อ้อ มีที่ชั่วที่สุดคือบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพ…อยู่ๆ มันไม่พูดไม่จา มาตัดเงินออกจากบัญชีเงินเดือนผมเลย..ซึ่งผมแม่งแค้นใจมาก เพราะนั่นคือเงินเดือนที่ผมต้องใช้ทั้งเดือน แต่มันตัดแบบ..ไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่มี notice ล่วงหน้าด้วย ( จริงๆ อาจจะโทรมาครั้งสองครั้งแต่ไม่ได้รับ แต่ว่าก็ควรจะพยายามในทางอื่นเช่นส่งฟ้องอะไรอย่างงี้เป็นต้น..) มีคนเคยเจอเคสเหมือนผมแล้ว แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะว่ามันก็คงเขียนไว้ในสัญญาแล้วว่าธนาคารสามารถทำอย่างนี้ได้..
ค่อยๆ ปลดหนี้ไปทีละใบสองใบ
ช่วงนั้น เครดิตบูโร ผมดำปี๋ เป็น blacklist ตัวพ่อเลยครับ ซึ่งหลังจากที่ปลดไปได้ทีละใบ..ผมก็ทำบันทึกไว้หมดว่าใบไหนจ่ายไปแล้ว และขอหนังสือรับรองการปิดยอดหนี้มาเก็บไว้ด้วย เพราะเคยอ่านเจอว่าต้องเก็บไว้ เผื่อเวลาไปยันกับทางเครดิตบูโรในอนาคต
ตอนนั้นเป้าหมายในชีวิตผมไม่มีอะไรมากเลยครับ แค่ปิดหนี้บัตรไปให้ได้หมด ก็พอ.. เงินก่งเงินเก็บไม่ต้องพูดถึง ของฟุ่มเฟือยเช่นซื้อกล้อง ไปกินเหล้าทุกอาทิตย์ เหมือนคนอื่นเขา ไม่เคยทำ เก็บทุกบาททุกสตางค์มาจ่ายหนี้
บัตรไหนไม่ฟ้อง ก็ช่างหัวมัน ปล่อยไปเลย เพราะว่าไม่รู้จะจ่ายยังไงจริงๆ ใช้สุภาษิตที่ว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ซึ่งนานๆ ทีผมก็จะรับโทรศัพท์ของพนักงานทวงนี้เหล่านี้ บางบัตรผมคุยไปคุยมาแล้วเขาก็เสนอส่วนลดให้เลยกว่า 50% ก็มี ( ส่วนใหญ่ด้วย ) ซึ่งถ้าผมพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ผมก็จะปิดไปเลย …จำไม่ได้ว่ามีเงินเก็บเท่าไหร่บ้าง แต่รู้สึกว่า ทำงานสามปีจะมีเงินเก็บประมาณ แสนนึง.. เพราะก็ปิดโปะไปซะเยอะมากๆ เก็บได้เดือนละไม่กี่พัน
หลังจากยื้อและค่อยๆ ผ่อนชำระไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เหลือหนี้ อีออน ที่โหดสุดอยู่ใบเดียว เพราะยอดมัน 80,000 บาท ซึ่งผมดึงเช็งกับมันมาตลอด เพราะจำได้ว่า อีออน มันรีดเลือดจากปู คิดดอกโหดมากๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาไปทำกันอีกท่าไหนยอดมันถึงได้นรกขนาดนี้ … ก็ดึงมันมาตั้งแต่ปี 2010 มันก็ไม่ยอมฟ้อง ก็ปล่อยให้เรื่องคาอยู่ในเก๊ะของมันไปเรื่อยๆ นานๆ ก็จะโทรมาที แต่ผมก็จะบอกด้วยคำตอบเดิมๆ ว่า “โอเคครับ เดี๋ยวจ่ายให้ครับ บายๆ”..
จนกลางเดือนนี้ อีออน ได้โทรมาเสนอดีลพิเศษ ที่บอกว่า จะไม่มีอีกแล้ว … โดยลดยอดหนี้จาก 80,000 บาท เหลือ 42,000 บาท ( คงจะเบื่อกับผมเต็มที ไม่ก็คิดว่ากำขี้ยังดีกว่ากำตด) ซึ่งผมเองช่วงนี้ก็มีเงินเก็บพอสมควร จากการทำแอพ เงินแค่ 42,000 ก็เลยตอบตกลงว่าจะชำระไปอย่างง่ายดาย
โดยผมก็ได้ไปชำระเสร็จสิ้น ในวันนี้ … วันที่ 18/6/2014 ….โดยถือว่าเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะเป็นไทจากหนี้บัตรเครดิตจากมหากาพย์ spoil brat ของผม
ทุกวันนี้ผมมีบัตรเครดิตใบเดียวคือ citibank ซึ่งทุกวันนี้ผมจ่ายเต็มทุกเดือน และใช้มันซื้อทุกอย่างที่ “จำเป็น” เช่นค่าน้ำมัน และสาธารณูปโภค ค่าไฟ และอื่นๆ เพื่อเก็บแต้ม ไม่เคยจ่ายขั้นต่ำอีกเลย และบัตรนี้ก็มีวงเงินแค่ 60,000 บาทเท่านั้น..เคยขอเพิ่มวงเงินไปแล้วแต่ทางธนาคารไม่ให้ ก็คงเพราะเหตุผลเรื่อง black list ล่ะครับ … เป็นบัตรเดียวที่เหลือรอดจากการเป็นหนี้มาได้ และคงจะเป็นบัตรสุดท้ายในชีวิตผม ( เพราะขออะไรไปเขาก็ไม่ให้แล้ว 55 )
สรุปสำหรับท่านที่เจอปัญหาหนี้บัตรเครดิต
หากท่านเริ่มเป็นหนี้บัตรเครดิต และพบว่าเดือนนั้นจ่ายไม่ไหว และต้องเริ่มจ่ายขั้นต่ำ ให้ทำดังนี้
1) หยุดใช้บัตรเครดิตใบนั้นทันที! ให้จ่ายขั้นต่ำได้เท่าที่จะจ่ายไป
2) ใช้เงินสดซื้อของทุกอย่าง ห้ามใช้บัตรเครดิตเด็ดขาด เพราะจะกลายเป็นเพิ่มดอกเบี้ย รายวันเข้าไปอีก และคุมค่าใช้จ่ายให้ดี ห้ามใช้จ่ายเกินตัวเด็ดขาด
3) จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ ไปจนยอดหมด แล้วจึงเริ่มใช้ได้อีกครั้ง และจำไว้ว่า ไม่ควรทำอย่างนั้นอีก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
หากท่านเป็นหนี้ และจ่ายไม่ไหวเลยจริงๆ เพราะเป็นหนี้ก้อนโตมาก
1) หยุดใช้บัตรเครดิต และหยุดจ่ายไปเลย
2) มันจะทวงเท่าไหร่ ก็ปล่อยให้มันทวงไป พอขาดส่งหลายๆ งวดติดกัน มันจะตีเป็นหนี้สูญเอง แล้วโยนให้บริษัทติดตามหนี้
3) บริษัทติดตามหนี้ จะตามยิกๆ อย่าไปกลัว อย่าไปอาย บอกมันว่า กรูไม่มีตังจะจ่าย ทวงมาก็ไม่จ่าย เพราะไม่มีตัง…คนส่วนใหญ่จะกลัวอายมาก..ไม่รู้จะอายทำไม ทีตอนใช้เงินไม่อาย
4) พอมันตามไม่ได้ มันจะขู่ว่าจะฟ้อง อย่าไปกลัว ให้มันฟ้องไปเลย ซึ่งเท่าที่ผมเห็นหลังๆ เหมือนมันไม่พยายามฟ้องแล้ว เพราะฟ้องไปก็ต้องไปไกล่เกลี่ย เสียค่าทนายเปล่าๆ
5) ถ้ามันฟ้องจริง ก็ให้มันฟ้องไป ก็ไปศาล แล้วไปไกล่เกลี่ยกันหน้าห้องศาล ปกติมันก็จะยื่นข้อเสนอมาให้ ก็ลองดูว่าโอเคไหม ถ้าโอก็รับๆ ไป ถ้ายังผ่อนไม่ไหวก็ลองเข้าไปคุยกับผู้พิษากษาแทน ซึ่งส่วนนี้ก็อาจจะออกเป็นคำสั่งยึดทรัพย์อะไรก็ว่ากันไป ซึ่งถ้าคุณไม่มีตัง รวยแต่เขือ ก็ไม่ต้องไปกลัว เพราะมันก็ไม่รู้จะมายึดอะไรคุณจริงๆ
6) ถ้ามันไม่ฟ้อง มันก็จะพยายามโทรมาทวงทุกเดือน ก็ทำเนียนๆ โม้ไปว่า “ได้ๆ ครับเดี๋ยวจ่ายให้คร้าบบบ” แล้วก็รีบวาง มันเห็นเราคุยมันก็ไม่โทรมาแล้ว จนกว่าจะเดือนหน้า ( หรืออาจจะทวงอีกสองสามรอบ ก็ว่ากันไป )
7) ระหว่างนี้ให้เก็บเงินสดไว้ ไม่ต้องไปจ่ายอะไรในบัตรเด็ดขาด ดอกจะรันก็ให้มันรันไป เก็บสดอย่างเดียว และใช้จ่ายที่จำเป็นเท่านั้น ด้วยเงินสดเท่านั้น ห้ามฟุ่มเฟือยเด็ดขาด เพื่อรอเวลาในข้อต่อไป
8) วันดีคืนดี พนักงานทวงหนี้ เขาก็จะยื่นข้อเสนอให้ว่า “หนูให้พี่ปิดบัตรด้วยส่วนลด 50% เลยนะพี่ สนไหม” ถ้าดูแล้วยอดมันไม่มาก และเรามีเงินเก็บพอ ก็ปิดไปซะเลย จะได้จบๆ ไปทีละใบ
9) ทำอย่างนี้อย่างมีวินัย ปิดไปเรื่อยๆ อาจจะใช้เวลา 5-6 ปี แต่สุดท้ายมันก็จะหมดได้ครับ…แต่วิธีนี้ต้องแลกมาด้วย blacklist ในเครดิตบูโร และไปทำธุรกรรมเงินกู้อะไรอีกไม่ได้เลย ซึ่ง…ก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปกู้ก็ได้ หลังจากนี้ซื้ออะไรซื้อสดแทน ไม่ต้องกู้ชีวิตก็ไม่ได้จบซะหน่อย..
ครับ ก็จบเรื่องราวทั้งหมดของผมไว้ ผมเชื่อว่าถ้าพ่อแม่ผม ผ่านมาอ่าน แกก็คงจะมาบ่นผมอีก ว่ามาเล่าทำไม บลาๆๆๆ แต่ so what ล่ะครับ… ในเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อโลก ผมก็ไม่กลัวที่จะเล่าครับ
ทุกวันนี้ ผมมีชีวิตอยู่ โดยมีหลักการใช้ชีวิตของผมง่ายๆ คือ “ทำอะไรทิ้งไว้ให้โลก..ตายไปจะได้มีประโยชน์บ้าง” ชีวิตคนเรามันสั้นครับ ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่..แล้ววันนี้คุณได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างหรือยัง?