10 ปรากฏการณ์ลึกลับทางศาสนาที่เกิดขึ้นจริง
คุณเชื่อในปาฏิหาริย์หรือไม่ หากคุณไม่เชื่อคุณสามารถหาคำตอบกับ 10 เหตุการณ์ปรากฏการณ์เหล่านี้ได้หรือเปล่า มันเป็นเหตุการณ์ลึกลับที่หลายคนเชื่อว่ามันเป็นฝีมือของพระเจ้า......
อันดับ 10 Marian Apparition in Zeitoun
http://en.wikipedia.org/wiki/Our_Lady_of_Zeitoun
แม่พระประจักษ์เป็นปรากฏการณ์ที่ หลายคนอ้างไว้ได้เห็นพระแม่มารีย์ในรูปแบบอิทธิปราฏหารณ์ต่างๆ หนึ่งในเหตุการณ์นี้คือ“ผีมารีย์ในเซอิตัน” หรือ Our Lady of Zeitoun เป็นเหตุการณ์ ลึกลับ ณ บริเวณกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ที่จู่ๆ ก็ปรากฏร่างหนึ่งที่รูปร่างเหมือนผู้หญิงร่างหนึ่ง
ส่องสว่างเจิดจ้าเหนือหลังคาโบสถ์ของชาวอียิปต์ (เกิดในระยะ 2- 3 นาที) ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความแปลกประหลาดต่อผู้พบเห็นอย่างมาก เหตุเกิดขึ้นครั้งในปี 1968-1970 และ ในช่วงเช้าตรู่ ที่เหนือโบสถ์คาทอลิกชื่อ คอปติก ในเซอิตัน เมืองเซนต์ แมร์รี่
ตอนแรกหลายคนคิดว่าเป็นผู้หญิงกำลังจะโดดฆ่าตัวตาย แต่ปรากฏว่าไม่ใช้แต่เป็นแสงสีขาวรูปร่างคล้ายคน และนับแต่นั้นเป็นต้นมาตลอดระยะ 3 ปีที่ผ่านมา มีหลายคนพบเห็นแสงประหลาดที่มีลักษณะคล้ายพระแม่มารีย์ และเมื่อเหตุการณ์นี้โด่งดังก็เริ่ม มีประชาชนหลายคนเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อชมปรากฏการณ์ดังกล่าวจำนวนมาก
จนตำรวจในกรุงไคโรต้องมาควบคุมสถานการณ์ โดยบรรดาผู้พบเห็นยืนยันว่าพวกเขาได้กลิ่นกำยานลอยสัมผัสจมูก และผีถูกถ่ายลงในฟิล์ม(อย่างที่เห็นในรูปด้านบน) นักวิทยาศาสตร์พยายามแก้ปริศนาดังกล่าวได้ตอบว่า เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือการทำงานของประจุไฟฟ้าของหลังคาโบสถ์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครยืนยันแน่ชัดว่า ปรากฏการณ์นี้แท้จริงแล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร
คลิปสารคดี
ศพไม่เน่า หมายถึง เป็นคำเรียกในสถานการณ์ที่คนตายแล้วร่างไม่สลาย เน่าเปื่อยหลังจากที่ตายไปแล้ว ซึ่งนอกจากไม่เน่าเปื่อย ยังมีสิ่งน่าสนใจ เช่น นอกจากไม่เน่าแล้วสีหน้าตอนตายก็คล้ายกับว่ากำลังนอนหลับอยู่ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมหวานไม่เหม็น
บางรายยังมีปรากฏการณ์เส้นผมและเล็บงอกด้วย ในศาสนาคริสต์คาทอลิกดั้งเดิมจะมีการพิจารณาบุคคลที่ตายแล้วร่างไม่เน่า เปื่อยจะถูกแต่งตั้งเป็นนักบุญ และจะต้องถูกเก็บรักษาศพด้วยเทคนิคการรักษาที่ดีที่สุด ซึ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบันมีศพที่ถูกประกาศเป็นนักบุญ(เซ็นต์)ที่ไม่เน่ามากมาย
ส่วนด้านบนเป็นศพของนักบุญแบร์นาแด็ด(St. Bernadette) ที่ประวัติของเธอเคยเห็นพระแม่มารีย์ เมืองลูดส์ (Lourdes) ประเทศฝรั่งเศส และบวชเป็นชีและตายในวัยเพียง 35 ปี ในวันที่ 16 เมษายน 1879 แต่ร่างยัง คงความเป็นอมตะไม่เน่าเปื่อยยาวนานถึง 127 ปีก่อน และยังคงอยู่ในสภาพเดิมเมื่อครั้งที่ยังชีวิตอยู่ไม่ผิดเพี้ยน ปัจจุบันร่างของนักบุญแบร์นาแดตต์ ยังอยู่ที่คอนแวนต์ของคณะซิสเตอร์แห่งเนอแวรส์ไม่เน่าเปื่อยมาจนทุกวันนี้
แผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) คือเครื่องหมาย, แผล หรือความรู้สึกในบริเวณที่ตรงกับรอยแผลของพระเยซูเมื่อทรงถูกตรึงกางเขน คำว่า “แผลศักดิ์สิทธิ์” มา จากบรรทัดหนึ่งของข้อเขียนของนักบุญพอลแห่งทาซัสในจดหมายนักบุญพอลถึงชาวกา เลเทียที่กล่าวว่า “บนร่างข้ามี “แผล” ของพระเยซู” “Stigmata” เป็นพหูพจน์ของคำภาษากรีก “ซึ่งแปลว่า เครื่องหมาย หรือ ตรา
ซึ่งอาจจะใช้เป็นเครื่องหมายประทับความเป็นเจ้าของของสัตว์หรือทาส ผู้ที่มี “แผลศักดิ์สิทธิ์” เรียก ว่า “ผู้มีแผลศักดิ์สิทธิ์” (stigmatic) สาเหตุของการเกิด “แผลศักดิ์สิทธิ์” ก็ต่างๆ กันแล้วแต่บุคคล “แผลศักดิ์สิทธิ์” ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับโรมันคาทอลิก ผู้ที่ได้รับมักจะเป็นนักบวชในนิกายโรมันคาทอลิก ผู้ที่ได้รับส่วนใหญ่เป็นสตรี
บุคคล ที่โด่งดังที่มีประสบการณ์ประหลาดนี้มีหลายคน แต่ที่โด่งดังที่สุดคือกรณีของ เทอรีส น็อยมันน์ (9เมษายน 1898 – 18 กันยายน 1962) เป็นแม่ชีคาทอลิก ภาคใต้ของเยอรมันเยอรมัน ผู้เกิดเหตุการณ์ลึกลับและมีมลทิน(หมายถึงได้รับบาดแผลศักดิ์สิทธิ์ใน ตำแหน่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ตอนตรึงกางเขน)
ปรากฏการณ์แผนศักดิ์สิทธิ์ของเธอเกิดขึ้นเมื่อ 10 มีนาคม 1918 จู่ๆ นางเทอริสเป็นอัมพาตครึ่งตัวในขณะอยู่ที่กำลังอยู่โรงนาของลุงของเธอ จากนั้นตาของเธอก็บอดมีเลือดจำนวนมากไหลนองออกจากตา เธอนอนล้มหมอนนอนเสื่อ
นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ปรากฏแผลศักดิ์สิทธิ์ตามร่างตัวของเธอโดยไม่ทราบ สาเหตุ รวมไปถึงรอยตกปะตูที่ฝ่ามือด้วย เธอเล่าว่าได้เห็นประจักษ์พระเยซูและอ้างถึงการคืนชีพพระเยซูทุกคืนวันศุกร์ และบาดแผลศักดิ์สิทธิ์จะเกิดขึ้นทุกวันศุกร์ โดยวันที่ 5 พฤศจิกายน 1926 ปรากฏบาดแผลถึง 9 แผลที่หัว และด้านหลังและไหล่(ส่วนใหญ่จะเห็นในภาพด้านบน) และแผลเหล่านี้ไม่สามารถทำให้หายได้
อีกทั้งเธอไม่บริโภคอาหารใดๆ นอกจากขนมปังและไวน์องุ่นจากพิธีศิลมหาสนิท จนกระทั้งแผลเหล่านี้เกิดอาการติดเชื้อและเธอก็เสียชีวิตในปี 1926 ในเดือนกรกฎาคม 1927 แพทย์และนางพยาบาลทำการชันสูตรพบว่าน้ำหนักหรือมีอาการขาดน้ำแต่อย่างใดเลย ทั้งๆ ที่เธอกินแต่ขนมปังและไวน์องุ่นตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา
แม่พระอะคิต้า (Our Lady of Akita) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 1973-1975 เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 28 มิถุนายน 1973 เมื่อซิสเตอร์อักแนส แคตซูโก้ ซาซากาว้า (Sister Agnes Katsuko Sasagawa) ในเมืองอะคิต้า (Akita) ได้อ้างว่าได้เห็นรูปแกะสลักพระแม่มารีย์ที่ทำจาก ต้นไม้คัตสึและสูงประมาณ 3 ฟุตในโบสถ์ที่เธออาศัยอยู่
ได้เกิดมีฉายแสงสว่างจ้า มีรอยแผลรูปกากบาทปรากฏที่มือซ้าย เธอมียินเสียงพูดจากรูปสลักไม้ ในวันเดียวกันไม่กี่ชั่วโมงน้องสาวของเธอได้เห็นหยดเลือดไหลจากมือขวาของรูป ปั้น นอกจากนี้ยังมีเหงื่อไหลตรงเฉพาะหน้าผากและ ลำคอส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลทั้งห้อง และแผลในมือของรูปปั้นยังหายไปเมื่อถึงวันที่ 29 กันยายน และสองปีต่อมา ในเดือนมกราคม 1975 รูปปั้นเริ่มร้องไห้(101 ครั้ง) เหตุการณ์เหล่านี้มีประชาชนจำนวนแสนๆ คนได้เป็นพยานเห็นเหตุการณ์
จาก การวิเคราะห์ด้วยวิทยาศาสตร์ตัวอย่างเลือดล้ำตายืนยันโดยนศาสดาจารย์ซากิซาก้า (Professor Sagisaka) ของคณะแพทย์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอะคิต้าว่าโลหิต น้ำตา และเหงื่อเป็นของมนุษย์จริงๆมาจากกลุ่มเลือด 3 ชนิด โอ (O) บี (B) และ เอบี (AB) และที่น่าเหลือเชื่อคือน้ำที่ไหลจากรูปปั้นสามารถรักษาโรคได้
ใน เดือนมิถุนายน 1988 นครวาติกัน พระคาร์ดินัลยอเซฟ แรทซิงเยอร์ (Joseph Cardinal Ratzinger) ประธานสมณกระทรวงประกาศว่าเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในเมืองอะคิต้า เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างถูกต้อง(ปรากฏการณ์แม่พระ ประจักษ์จะต้องมีการยอมรับอย่างเป็นทางการจากนครวาติกัน หากไม่ยอมรับถือว่าเป็นเรื่องหลอกลวงไป)
สารคดี
เป็นเหตุการณ์ของนักบุญแบร์นาแด็ด(St. Bernadette) จากอันดับ 9 นั้นแหละครับ เพราะประวัติของนักบุญคนนี้ก็น่าพิศวงไม่แพ้กัน
แบร์นาแด็ดเป็นหญิงสาวเกิดเมื่อวันที่ เมื่อ วันที่ 7 มกราคม 1844 เมืองลูดส์ (Lourdes) ทางตอนใต้ของ ประเทศฝรั่งเศสใกล้กับชายแดนสเปน ในครอบครัวที่ยากจน อีกทั้งตัวเธอก็มีโรคภัยไข้เจ็บมารุมเร้า เรื่องราวของเธอเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1858
เมื่อเธอออกไปหาฟืนกับ น้องสาวและเพื่อนคนหนึ่ง จู่ๆ เธอก็พบหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏกายให้เธอเห็นเหนือช่อกำยานสำหรับถวายในถ้ำคูหา มัสซาเบียล(Massabielle) หญิงนางนั้นแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าและขาว เธอยิ้มให้กับ แบร์นาแด็ด ก่อนจะทำสัญลักษณ์มหากางเขนกับสายประคำสีงาและสีทอง เมื่อแบร์นาแด็ด คุกเข่าลงและสวดภาวนาหญิงนางนั้นก็ได้หายไป
แบร์ นาแด็ดบอกว่าผู้หญิงนางนั้นคือพระนางมารีย์นั่นเอง จากนั้นเป็นต้นมาพระนางมารีย์ก็ได้ประจักษ์แก่แบร์นาแด็ดถึง 17 ครั้งและได้พูดคุยกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสวดภาวนาให้กับคนบาป การปลงอาบัติ และการสร้างวัดในนามของเธอ
แต่พวกชาวบ้านไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดและด่าว่าเธอเป็นเด็กหลอกลวง จนกระทั่งวันหนึ่งพระนางมารีอาได้บอกให้เธอไปขุดที่โคลนแห่งหนึ่ง และเมื่อเธอทำตามก็ได้พบน้ำพุธรรมชาติ และมันค่อยๆใหญ่ขึ้นในวันต่อๆมา เมื่อมีคนนำน้ำจากแหล่งนั้นไปใช้ก็พบว่าหลายๆครั้งที่มันก่อ อัศจรรย์ต่อผู้คนมากมายในการรักษาโรคร้ายให้หายขาด ทำให้ประชาชนเริ่มเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
ต่อมาแบร์นาแด็ดก็ได้รับการบวชเป็นซิ สเตอร์ ก่อนที่ได้จะถูก แต่งตั้งเป็นนักบุญหลังจากเกิดเหตุการณ์ร่างไม่เน่าเปื่อยในที่สุด ปัจจุบันมีผู้แสวงบุญจากทั่วทุกมุมโลกมาที่เมืองลูดส์แน่นทุกวัน ส่วนน้ำพุศักดิ์สิทธินั้นปัจจุบันได้สร้างวิหาร The Basilica of Lourdes ครอบ ไว้ และคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือบรรดาร้านค้าขายของต่างๆ ได้อานิสงส์หาขวดเปล่ามาขายให้กับผู้ศรัทธาเพื่อเอาไปใส่น้ำมนต์ ศักดิ์สิทธิ์(และถูกประกาศจากวาติกันยอมรับว่าพระแม่ประจักษ์ครั้งนี้เป็น เรื่องจริง)
คุณสามารถอ่านแบบละเอียดยิบได้ในhttp://www.reocities.com/prakobkit/mary/lourdes.html
นักบุญโยเซฟ กูเปอร์ติโน (St.Joseph Cupertino) เป็นนักบุญชาวอิตาลี ที่มีปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งและอัศจรรย์ จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง คือเขาประสบเหตุการณ์ประหลาดเมื่อมีพลังลึกลับทำให้เขาสามารถลอยตัวเหนือ พื้นดินและเหาะบนท้องฟ้าได้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน 1630-1663 ไม่ใช้ครั้งเดียวแต่เป้นหลายครั้งด้วยกันต่อมาเขาก็ได้ถูกแต่งตั้งเป็นนัก บุญเมื่อวันที่ 1767
เหตุการณ์อัศจรรย์ นั้นเริ่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 1630 ในเมือง Cupertino ในขบวนฉลองของ Saint Francis of Assisi จู่ๆเขาก็ลอยสูงขึ้นเหนือจากพื้นดิน ต่อหน้าคนทั้งโบสถ์สร้างความตกตะลึงเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เขายังบินโฉบเหนือฝูงชนด้วย
หลังเหตุการณ์นี้ชีวิตของโจเซฟเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะจู่ๆ เขาก็ลอยตัวติดกันต่อเนื่องและถี่ขึ้น(เขาอ้างว่าได้ยินเสียงพระเยซูและพระ นางมารีย์ด้วย) แต่การลอยของเขาไม่สามารถควบคุมและไม่สามารถห้ามลอยได้ ต่อมาเขาเกิดในเรื่องนี้จะหนีไปซ่อนตัวที่บ้านแม่ของเขา ส่วนประชาชนศรัทธาเขาเป็นอย่างมาก บางคนตั้งฉายา “The Flying Saint”
เที่ยวบินของโจเซฟที่โด่งดังคือเขาลอยตัวเหนือพยานคนสำคัญคือพระ สันตะปาปา Pope Urban VIII เมื่อเขา ก้มลงจูบเท้าของเขาด้วยความเคารพและยำเกรงก่อนที่เขาจะถูกพลังลึกลับยกเขา ลอยกลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีการถูกบันทึกไว้ในประวัติในตำราเล่มต่างๆ รวมถึงพยานที่เป็นรัฐมนตรีด้วย
เป็น เหตุการณ์แม่พระประจักษ์ ในปี ค.ศ.1531 ที่พระ นางมารีย์) ประจักษ์แก่ยวง ดิเอโก (Juan Diego) วัน ที่ 9, 10, 12 ธันวาคม ค.ศ.1531 รวม 3 ครั้ง ที่ ภูเขาเตเปย้าก ประเทศเม็กซิโก ซึ่งภายหลังทำให้ดีเอโกเป็นนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์คาทอริกในเม็กซิโก
ในวันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 1531 ชาวอินเอียนแดงผู้หนึ่งชื่อ ยวง ดิเอโก (Juan Diego) ขึ้นไปที่ตำบลเตเปย้าก ที่เม็กซิโก เพื่อจะไปวัดที่วานเตียโก ตลาดเตโลโก เป็นวัดของฤษีคณะฟรันซิสกัน เพื่อไปสวดภาวนา ในเช้าวันนั้นเขายินเสียงเพลงไพเราะอ่อนหวาน เสียงนั้นบอกให้เขาปีนที่ยอดเขาลูกนั้น ดิเอโกปีนถึงยอดเขาเตเปย้าก และที่นั้นได้พบสตรีรูปหนึ่งที่งามมาก พระพักตร์ค่อนข้างคล้ำเหมือนชาวพื้นเมือง พูดภาษาอาสเตกด้วยโดยเธอบอกเขาและไปเมืองเม็กซิโก ไปบอกท่านสังฆราชให้เขาสร้างวัดในที่นี้
ดิ เอโกทำตามที่พระมารดาขอร้อง แต่เขาต้องไปเมืองเท็กซิโกถึง 3 ครั้ง(และสองครั้งแรกเขากลับมาหาพระมารดาทุกครั้ง) ครั้งแรก(วันที่ 9 วันเดียวกัน)โดนปฏิเสธ ครั้งที่สอง(10 ธันนวาคม)พระสังฆราชต้องการรักษาความมีอยู่จริงของพระมารดา ดีเอโกกลับไปหาพระ มารดาอีกครั้ง เขาขอเครื่องหมายแก่นาง พระนางบอกให้เขามาวันพรุ่งนี้ แต่แล้ววันรุ่งขึ้นเขาไม่ได้ไปหาเพราะลุงเขาป่วยหนัก ทำให้พระมารดาต้องมาเขาด้วยตัวเธอเอง(12 ธนวาคม)และบอกว่าลุงเขาจะไม่เป็นไร แล้วบอกให้เขาปีนเขาและรวบรวมดอกกุหลาบ
ซึ่งน่าแปลกมากเพราะฤดูที่ว่านั้นเป็นฤดูหนาวไม่น่าจะมีกุหลาบได้ แต่ดิเอโกพบกุหลาบเขาเก็บมามากที่สุดที่จะเก็บได้ แล้วกลับมาหาพระนาง พระมารดาหยิบช่อกุหลาบจัดลงในเสื้อคลุมของยวง แล้วบอกว่า อย่าให้ใครดูดอกกุหลาบนี้ตามทางที่พบ อย่าเปิดเสื้อคลุมให้ใครดูนอกจากเวลาอยู่ต่อหน้าท่านสังฆราช
ดิ เอโกได้ไปสำนักสังฆราชระหว่างทางพบข้ารับใช้เข้ามาขัดขวาง พวกเขาสั่งให้เขาเปิดผ้าคุลม และพบว่าเป็นกุหลาบ พวกเขาพยายามเอื้อมมือมาจับ แต่จับไม่ได้เพราะกลายเป็นภาพวาดติดกับผ้า พวกเขาตกใจรีบวิ่งไปเล่าเรื่องให้ท่านสังฆราชฟัง ท่านสังฆราชสั่งให้เรียกยวงเข้าไปหา ยวงเรียนว่ามีเครื่องหมายที่ขอจากสตรีนั้น แล้วเขาเปิดเสื้อคลุม ดอกกุหลาบบางดอกก็หล่นลงบนพื้น
ปรากฏภาพวาดรูปแม่พระที่สวยงามอยู่บนเสื้อคลุม ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างรู้สึกยำเกรง คุกเข่าลงต่อหน้าภาพอันงามนั้น ในไม่ช้าท่านสังฆราชได้สร้างวัด และมอบให้ดิเอโกเป็นผู้ดูแลวัดนั้น ดิเอโกได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความศรัทธา และละเอียดถี่ถ้วน เขาสิ้นชีวิตเมื่อ ปี 1584
ปัจจุบัน เสื้อคลุมพระแม่มารีย์ยังคงเก็บรักษาอย่างดีในตู้แก้ว เสื้อคลุมทำจากเส้นใยของต้นตะบองเพชร ซึ่งปรกติจะผุเปื่อยภายในเวลาไม่เกิน 25 ปี แต่ปัจจุบันไม่ผุพังแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ทอขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1531 คือ หรือกว่า 4 ศตวรรษมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบผ้าคลุมพบว่า แม้ภายนอกเหมือนเสื้อคลุมธรรมดาของคนจนสมัยก่อน แต่ตัวสีนั้นพิศวงมากเหมือนกับว่าพู่กันที่ใช้วาดรูปนี้ มิใช่พู่กันของโลกนี้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลกใน ผ้าคลุมมากมาย เช่น ที่ตามีรูปของชายคนหนึ่ง(ขนาดเล็กมากต้องส่องกล้องจุลทรรศน์, ถ่ายรูปไม่ค่อยติดผ้าคลุม ในปี 1753 สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 14 ทรง ประกาศรับรองการประจักษ์ ของแม่พระแห่งกวาดาลูป อย่างเป็นทางการ
คุณสามารถอ่านแบบ ละเอียดยิบได้ในhttp://www.reocities.com/prakobkit/mary/guadaloup.html\
อันดับ 3 Padre Pio (St Pio of Pietrelcina)
หรือรู้จักกันอย่างดีในนาม หลวงพ่อปีโอ (Padre Pio) ภายหลังถูกแต่งตั้งเป็นนักบุญปีโอ เป็นนักบวชโรมันคาทอลิกชาวอิตาลี ที ชีวิตของท่านตลอดมามีแต่เรื่องศักดิ์สิทธิ์และปรากฏการณ์แปลกประหลาด เช่น เห็นภาพสวรรค์ หยั่งรู้จิตใจผู้อื่น ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และรักษาโรคด้วยพลังจิต มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ปรากฏบนร่างกาย ในลักษณะเหมือนบาดแผลขององค์พระเยซูเจ้า ขณะทรงถูกทรมานและถูกตรึงกางเขน
คุณพ่อปีโอมีชื่อเดิมว่า ฟรานเชสโก ฟอร์จีโอเน(Francesco Forgione) เกิดในปี 1887 ท่านเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวนา ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศอิตาลี เมื่อฟรานเชสโกอายุ 15 ปี ท่านได้เข้าคณะกาปูชินและได้รับชื่อว่า “ปีโอ” ท่านรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในปี ค.ศ. 1910 และถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังที่ท่านถูกตรวจพบว่าเป็นวัณโรคท่านจึงถูกให้ออก จากราชการ ใน ค.ศ. 1917 ท่าน ไดถูกส่งให้ไปประจำอยู่ที่อารามในซาน จีโอวานนี โรตอนโด 75 ไมล์จากเมืองบาริ บนคาบสมุทรเอเดรียติก
ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1918 ขณะที่ท่านกำลังโมทนา คุณหลังพิธีบูชามิสซา คุณพ่อปีโอได้เห็นภาพนิมิตของพระเยซูเจ้า เมื่อภาพนิมิตนั้นหายไป ท่านได้รับรอยบาดแผลศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับพระเยซูเจ้าที่มือทั้งสองข้าง เท้า และสีข้าง
หลัง จากนั้น มีการตรวจสอบบาดแผลศักดิ์สิทธิ์จา นายแพทย์ เจ้าหน้าที่พระศาสนจักร แต่มาหลวงพ่อปีโอก็เริ่มโด่งดัง แม้ท่านไม่อยากออกอารามหลังได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ แต่ประชาชนอยากเจอท่าน ท่านเลยจำต้องออกพบฝูงชน ฝูงชนชอบท่านมากๆ ถึงขั้นบางครั้งถูกผู้คนตัดหรือฉีกชุดของท่านไปเป็นที่ระลึก(หลวงพ่อท่าน ต้องสวมถุงมือตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อปกปิดบาดแผลศักดิ์ศิทธิ์ที่เหมือนรอยตอกปะตูนั้นเอง)
จากนั้นก็มีข่าวต่างๆ มากมาย ประชาชนเชื่อว่าหลวงพ่อสามารถรักษาโรคต่างๆ หายได้ โดยใช้พลังวิงวอนรักษา มีพลังอ่านใจคน และมีพลังทำนายอนาคต คุณพ่อปีโอมรณ ภาพในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1968 และได้รับการแต่งตั้ง เป็นบุญราศี ในปี ค.ศ. 1999 และหลังการตายของท่าน ร่างของท่านยังคงสดเหมือนช่วงมีชีวิตอยู่ และไม่ได้เน่าเปื่อยแต่อย่างใดเลย
คลิป
อันดับ 2 The Miracle of Lanciano
ศีลมหาสนิท หรือ มิสซา คือ พิธีกรรมของชาวคริสต์ เพื่อร่วมสนิทกับพระเยซู โดยการรับประทาน ขนมปัง (สัญลักษณ์แทนพระกายของพระองค์) และ เหล้าองุ่น)
อัศจรรย์ศีลมหาสนิทแลนซีอาโน เป็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นที่แลนซีอาโน เป็นเหตุการณ์การเกิดมหัศจรรย์เกี่ยวกับศีลมหาสนิทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระ ศาสนาจักรคาทอลิกเป็น อัศจรรย์แรกและยิ่งใหญ่ที่สุดของพระศาสนจักรคาทอลิก มากกว่า 1,200 ปี
เหตุการณ์ เหล่านี้เกิดใน เมืองเก่าชื่ออันซานุ แคว้นเฟรนตานีส ประเทศอิตาลี ในคริสตศักราช 700 อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นที่โบสถ์เล็กๆชื่อ วัดนักบุญลองจินุส ( St. Legontian) เป็นการสนองตอบจากสวรรค์ต่อความสงสัยของพระ สงฆ์องค์หนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างพิธีมหาบูชามิสซาหลังจากภาคอภิเษกศีล
แล้ว จู่ๆ แผ่นปังได้กลับกลายเป็นเนื้อ มนุษย์สดๆ และเหล้าองุ่นก็เป็นก้อนเลือด 5 ก้อน ที่แตกต่างในรูปทรงและขนาด ทำให้หลายคนเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์จากสรวงสวรรค์ ทำให้แผ่นปังเนื้อมนุษย์ถูกเก็บอย่างดีในรัศมีที่ทำจากโลหะเงินอันวิจิตร การตา ส่วนก้อนพระโลหิตถูกเก็บรักษาอยู่ในแก้วคริสตัลเก่าแก่และสวยงาม และยังคงถูกเก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้
ในปี 1970-1971 ได้มีการตรวจสอบ โดยนักวิทยาศาสตร์ และพิสูจน์บางส่วนในปี 1981โดยวิเคราะห์พิสูจน์ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ที่แม่นยำหลายครั้ง และได้ผลสรุปคือ เนื้อเป็นเนื้อจริง และเลือดเป็นเลือดจริง, เป็นเนื้อเลือดของมนุษย์, เนื้อประกอบด้วยเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อหัวใจ,ในเนื้อมีส่วนประกอบของหลอด เลือดแดง-หลอดเลือดดำ
มีเส้นประสาทและรูหัวใจด้านซ้ายของหลอดเลือดแดง, เนื้อเป็น "หัวใจ ที่มีโครงสร้างครบถ้วนสมบูรณ์ของหัวใจ, เนื้อและเลือดมีหมู่เลือดแบบเดียวกันคือ: AB เป็น หมู่เลือดหมู่เดียวกันกับที่ผ้าห่อศพแห่งตูริน
ส่วนของเลือดพบว่า ในเลือดพบว่ามีโปรตีนในอัตราส่วนปกติ (percentage-wise) เช่นเดียว กับที่พบใน sero-proteic make-up ของเลือดสดธรรมดา และมีแร่ธาตุ : chlorides, phosphorus, magnesium, potassium, sodium และ calcium และที่น่าทึ่ง คือสภาพของเนื้อและเลือดยังคงสภาพเดิมตลอดเวลาแม้ว่าจะสัมผัสอาการ,ลม,แสง สภาพธรรมชาติเป็นเวลานาน 12 ศตวรรษ
รายละเอียด http://www.belongtothetruth.com/Miracle/s01.htm
อันดับ 1 The Miracle of the Sun
คุณคงได้ยินเรื่องของพระแม่ฟาติมา แล้วใช่เปล่าครับ ได้หนึ่งในเหตุการณ์การประจักษ์ของพระแม่ฟาตินาที่สร้างความอัศจรรย์ไปทั่ว โลกคือการประจักษ์ดวงอาทิตย์ “เริงระบำ”แห่งฟาตินานั้นเอง เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์อัศจรรย์ที่มีพยานมากถึง 100,000คน ในวันที่ 13 ตุลาคม 1917 ในเขตลา โควา ดา อิรีอา
ชาวเมืองฟาติมา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆทางตอนเหนือ โปรตุเกส โดยเรื่องของเรื่องคือหลายคนไม่เชื่อเรื่องเด็กน้อย 3 คน(ลูเซีย ฟรางซิสโกและยาชินตา)ที่ได้พบกับพระแม่มารีอาหรือพระแม่พระประจักษ์ที่ทรง เสด็จมามอบข่าวสารจากสวรรค์ให้กับมนุษย์เป็นความลับ 3 อย่าง พระนางเลยบอกให้พาผู้คนมายังต้นไม้บริเวณโบสถ์และจะประจักษ์มาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1917(สำหรับพวกเด็กแล้วถือ ว่าเป็นครั้งที่หก)
และเมื่อถึงวันที่พระนางบอกจากตอนแรกหลายที่บอกว่าประชาชน 70,000 คน ปรากฏว่ามีถึง 100,000 คนเลยทีเดียวเนื่องจากมีทั้งคนที่มีความ เชื่อ และคนที่มาเพราะความอยากรู้อยากเห็น ทั้งคนที่คัดค้าน ตลอดจนนักหนังสือพิมพ์ ผู้สังเกตการณ์ (แพทย์ นักวิชาการ ฯลฯ) และเมื่อถึงเวลา ประจักษ์ผู้คนในที่ห่างนั้นก็ตกตะลึง จู่ๆ ก็เกิดฝนตก และเมื่อฝนหยุดตก เมฆครื้มแต่เช้าจางหายไป
ดวงอาทิตย์ปรากฏตรงศีรษะเหมือนรูปจานบิน มองด้วยตาเปล่าไม่เคื่องตา แล้วฉับพลันนั้นเองดวงอาทิตย์ก็เริ่มหมุนรอบตนเองประดุจล้อไฟ แสงพวยพุ่งไปรอบทิศ เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ บนท้องฟ้า ต้นไม้ แผ่นดิน หิน และฝูงชน เหมือนถูกต้องด้วยสีเขียว เหลือ แดง ม่วง ดวงอาทิตย์หยุดชั่วครู่ แล้วหมุนแผ่รังสีจ้ากว่าเก่าอีก แล้วเริ่มใหม่เป็นครั้งที่สาม ฝูงชนต่างอกสั่นขวัญแขวงต่างสวดวิงวอนกันยกใหญ่
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 10 นาที ท่ามกลาวฝูงชน 70,000-100,000 คน เห็นกันโดยถ้วนหน้า แม้ผู้ที่อยู่ห่างไกลถึง 30-40 กม. และทุกคนยังต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเสื้อผ้าที่เปียกด้วยน้ำฝน และรอยเปื้อนน้ำโคลนเมื่อสักครู่นี้กลับแห้งสนิท และสะอาดหมดจดทีเดียวหลัง
หลังจากเหตุการณ์นี้ ปี ค.ศ.1919 ได้มี การสร้างวัดน้อยหลังแรก ณ สถานที่ที่แม่พระประจักษ์ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นวิหารและกลายเป็เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสวงบุญทั่วโลก ต้องมาในที่สุด
รายละเอียด http://haab.catholic.or.th/church/fatima_3.html
***โปรดใช้วิจาราณญาณในการอ่าน***