เถียงกันลั่นเคเอฟซี หลังเตือนว่า "คุณคะ เค้าน์เตอร์วางอาหาร ไม่ควรเอารองเท้าไปวางอย่างนั้น"
ไม่พูดพล่ามทำเพลง เล่าเลยนะคะ
เมื่อวานสี่โมงเย็น เรา สามีและลูกชาย 4 ขวบไปนั่งทานไก่ใน KFC ในโลตัส และเราทำแบบสอบถาม เพื่อจะรับนักเก็ตไก่ฟรี4ชิ้น
โดยต้องซื้อเพิ่มอีก 100 บาทในบิลถัดไป เราต้องกลับไปเข้าแถวอีกรอบ
สามีและลูกนั่งรอที่โต๊ะ ในมุมที่มองไม่เห็นเราซึ่งไปยืนเข้าแถวที่เค้าน์เตอร์เพื่อจะซื้อชุดไก่โดนใจและรับนักเก็ตฟรี
เรายืนต่อแถวถัดจากคุณแม่ ที่มากับเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกับลูกเรา วัยประมาณ 3-5ขวบ เด็กสองคนเดินป้วนเปี้ยนไปมา
เด็กคนนึงพยายามเอาขาป่ายเค้าน์เตอร์ คุณแม่เลยอุ้มขึ้นมา ให้เด็กนั่งบนนั้น และห้อยขาออกมาด้านหน้า ปากก็สั่งอาหาร
เด็กหมุนตัวไปมา แล้วนั่งชันเข่า เอาเท้าสองข้างที่ใส่รองเท้าแตะ "แปะ" "วาง" บนเค้าน์เตอร์ที่วางถาดอาหาร
เราเอ่ยปาก เสียงเบา พอจะได้ยินแค่สองคน "คุณคะ เค้าน์เตอร์วางอาหาร ไม่ควรเอารองเท้าไปวางอย่างนั้น"
คุณแม่ลูกสอง แว้ดกลับมาเสียงดังกว่าเราหลายเท่า " วางรองเท้าอะไร นั่งเฉยๆ เรื่องมากอะไรนักหา"
เราของขึ้นเร็วมาก ชั้นอุตส่าห์ไว้หน้า ไม่ได้ประจานนะ เลยเร่งระดับความดังให้ชาวบ้านได้ยิน " ชั้นพูดกับคุณเบาๆ เพราะกลัวคุณอาย เค้าน์เตอร์วางอาหารแบบนี้ ใครๆก็ไม่ชอบถ้าเห็นเด็กมานั่งแล้วเอาเท้าเหยียบแบบนี้ มันใช่ที่ไหม"
คุณแม่ลูกสอง ด่าไม่ลดละ "มันเรื่องอะไรของคุณ ถ้าเรื่องมากนัก ผู้ดีนัก จะมากินร้านร่วมกับคนอื่นทำไม"
เราไม่สน ไม่ตอบคำถามบ้าๆ พูดต่อไปว่า "คุณลองหันดูคนรอบๆสิ มีใครอุ้มเด็กมาให้เอาเท้ามาวางแบบนี้บ้าง ใช้สมองคิดน่าจะรู้"
แล้วในที่สุด คุณแม่นักเถียง ก็ควักการ์ดใบยอดฮิต " จะเอาอะไรกับเด็ก นี่เด็กนะ"
ไอ้เราเสพดราม่าเรื่องทุเรศแบบนี้มาเยอะ เลยตอบได้ไวสุดๆ " ชั้นไม่ได้ต่อว่าเด็ก ชั้นต่อว่าแม่ของเด็กที่เป็นคนอุ้มขึ้นมานั่ง แล้วปล่อยให้ลูกเอารองเท้ามาแปะบนเค้าน์เตอร์ที่คนอื่นต้องวางถาดอาหาร " เราจำได้ว่าเราฉอดๆๆ พูดแบบไม่ได้หายใจ ไม่เว้นวรรคให้คนนั้นเถียงทัน แต่เขาก็เถียงนะคะ เถียงคำเดิมๆคือ ไม่ได้เอารองเท้ามาวางนะ บลาๆๆๆ ในใจเราก็คิด อีบร้า .. เด็กใส่รองเท้าและวางขาบนเค้าน์เตอร์แบบนี้ ต้องให้กรูสาธยายละเอียดมากเลยใช่ไหม
ระุหว่างนั้น พนักงานหันมามองกันประมาณ 4-5 คน มีพนักงานหนุ่มของ KFC ยกมือขึ้นแบบสุภาพ และพูดกับคุณแม่นักตะแบงคนนั้นว่า "ใจเย็นๆครับพี่"
ดีนะ ที่ไม่มาปรามเรา เพราะเราพูดสุภาพ และได้พูดย้ำหลายหนว่า เราไม่ได้มีเจตนาประจาน แต่ในเมื่อกระซิบแล้ว ดันมาตะคอกเรา เราเลยต้องให้โลกรู้ว่าคุณมันไร้อารยธรรม อิอิ ถ้าพนักงานมาเบรคเรา เราคงผิดหวังว่า พนักงานรู้หรือไม่ ว่าการวางเท้าบนที่ที่ไม่ควรอย่างยิ่งแบบนี้ มันชวนอ้วกจริงๆ
ระหว่างที่เถียงกันลั่นร้าน ไม่มีคำหยาบคายนะคะ และสามีเราโผล่มาดูสักห้าวินาที แล้วคงอาย เดินหลบไป ไม่ได้อยู่ฟังต่อ แต่เราตั้งใจพูดให้ชัดเจน ไทยมุงจะได้ไม่งงว่า สองคนนี้เขาเถียงอะไรกัน
คุณแม่คนนั้น ยังคงพูดซ้ำไปซ้ำมา ว่าถ้าเราผู้ดีนัก น่าจะทานข้าวอยู่บ้าน เราก็ตอกกลับไปว่า ถ้าไม่มีมารยาทแบบนี้ ควรมุดอยู่ในถ้ำซะ
เขาพูดส่งท้ายว่า "เช็ดโต๊ะให้ก็ได้ ถ้าไม่พอใจ" เราก็ตอกกลับไปเดิมๆ ให้เขาไปหาเสพข่าวสารในโซเชี่ยลบ้าง ว่าคนทั่วไปเขารังเกียจพฤติกรรมคนมีลูกแล้วปล่อยให้ทำเรื่องน่ารังเกียจกับคนอื่นอย่างไร
เธอตอกกลับเราว่า "ชั้นไม่สนใจโซเฃี่ยล"
เราปิดท้ายว่า " ลองถามคนเป็นล้านๆดู ว่ามีใครยอมรับให้การอุ้มเด็กใส่รองเท้าเอาขามาวางไว้บนเค้าน์เตอร์อาหารแบบนี้บ้าง"
แล้วก็แยกย้ายกันไป
เจ้ากรรม เธอยกถาดอาหารมาวางที่โต๊ะต่อจากเรา เรานั่งฝั่งม้านั่งยาว โดยมีลูกของเธอ เดินไปเดินมา จนใกล้ตัวเราในระยะฟุตหนึ่ง เธอก็ปรามลูกให้นั่งกินดีๆ
เรามองหน้าลูกเรา สี่ขวบ นั่งจิ้มนักเก็ตไก่ที่แม่ได้มาจากการตอบแบบสอบถามออนไลน์ จิ้มซอสกินอย่างมีมารยาท เรียบร้อย เรารักลูกเราขึ้นอีกร้อยเท่าพันทวี จริงๆนะคะ
เราไม่ได้ตำหนิเด็กคู่นั้น เราจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่อยากมอง เพราะไม่อยากเสียอารมรณ์ในการกินไก่ ปล่อยให้เด็กเดินไปมาบนเก้าอี้ทั้งๆที่สวมรองเท้า
เราคิดว่า เราจะสอนลูกเรา ไม่ให้ทำตัวน่ารังเกียจก็เพียงพอแล้ว แค่เราเอ่ยปากสะกิดเมื่อตอนเข้า่แถว เขายังโหวกเหวกซะขนาดนี้
( ถ้าคู่กรณี มาอ่านเจอ ปรากฏตัวได้นะคะ อยากให้คุณได้รู้ว่า ยุคนี้ ใครๆเขาก็พยายามรณรงค์ให้พ่อแม่มีจิตสำนึก ดูแลบุตรหลานให้ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น แบบไม่ต้องใช้คำอภิสิทธ์ "ก็นี่เด็กนะ")
ขอบคุณกระทู้จากคุณ Sonia Project สมาชิกเว็บพันทิป