5 ผู้นำประเทศที่โหดที่สุดในประวัติศาสตร์ โหดกว่าคิม+ฮิตเลอร์ รวมกัน!
ผู้นําเขมรแดง และเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาในปี 1976 ถึง 1979 ถูกตั้งฉายาว่าฮิตเลอร์แห่งเอเซียอาคเนย์ เขามีความคิดที่จะปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมแบบพึ่งตัวเอง ชายผู้นี้สั่งปิดประเทศ ปิดโรงเรียนเพื่อประชาชนจะได้โง่ นอกจากนี้ยังปิดโรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร เรียกได้ว่าอันไหนเจริญพี่แกสั่งปิดหมด
เขาบังคับให้กลายเป็นชาวนาชาวไร่อาศัยอยู่ตามค่ายแรงงาน ทํางานวันละ 12 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ใครตายก็นำไปทิ้ง
ระหว่าง 4 ปีที่พอลพตปกครองประเทศ เขาทำให้มีคนอดตาย คนถูกฆ่าทั้งฆ่ากันเองเพื่อชิงทรัพย์ และถูกฆ่าโดยที่เขาสั่งประหาร ซึ่งหากนับรวมๆกันแล้ว ก็มีผู้เสียชีวิตถึง 1.5-2 ล้านคน(หนึ่งในสามของประชากรทั้งหมดในประเทศ) กลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เลวร้ายที่สุดในศตวรรษที่ 20
4.วลาด ดราคูล่า
วลาด ดราคูล่า (1431-1476) หลายๆคนรู้จักกันดีในฐานะต้นกําเนิดของ “เดร็กคูล่า” เป็นเจ้าชายที่หลายคนรู้จักกันดีในฐานะ จอมเสียบแห่งวัลลาเซีย ตลอดที่เขาปกครองดินแดนแห่งนี้เขาสังหารชาย,หญิง และเด็กไปประมาณ 80,000 คน ถึง 500, 000 ด้วยการ ใช้ไม้เสียบ
การเสียบของวลาดนั้น วลาดมักตั้งใจเลือกเสียบคนหมู่มากในวาระโอกาสสําคัญเช่น งานเลี้ยงอาหารค่ําเพื่อเป็นเกียรติแก่ แขกผู้มาเยือนของเขาเพื่อความสนุกสนานตื่นเต้น เขาจะสั่งทหารเสียบไม้บริเวณหน้าอกของเหยื่อ โดยไม่ให้เสียบไปโดนอวัยวะ สําคัญเพื่อไม่ให้เหยื่อตายทันที ความยาวของไม้เสียบนั้นจะเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะของผู้ถูกเสียบว่ายศศักดิ์สูงหรือต่ํา หลังจากเสียบเหยื่อให้ทะลุร่างแล้ว ไม้ที่เสียบจะถูกตั้งตรงกับฉากที่พื้นดิน ทั้งนี้ก็เพื่อให้น้ําหนักของเหยื่อ ค่อยๆ กดร่างของเหยื่อให้ปลายไม้นั้นเข้าไปทําลายอวัยวะภายในอย่างช้าๆ
ในระหว่างที่เสียบเหยื่อนั้นเอง วลาดและมิตรสหายของเขาจะดื่มกินกันอย่างเบิกบานอยู่ใกล้ๆ โดยไม่สนเสียงร้องโหยหวนและกลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งตลบอบอวนแต่อย่างใด
ครั้งหนึ่ง วลาดทําการแก้แค้นขุนนางแห่งเมืองทีร์โกวิสเตเพราะเป็นต้นเหตุให้บิดาเขาตาย เขา ได้เชื้อเชิญบรรดาขุนนาง เหล่านั้นพร้อมกับครอบครัวมาฉลองเทศกาลอิสเตอร์ หลังจากแขกรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ทหารวลาดก็บุกบังคับให้เป็นทาส และทั้งหมดถูกบังคับให้สร้างป้อมปราการบนภูเขาสูงท่ามกลางภูมิประเทศและอากาศที่แสนเลวร้าย นักโทษหลายคนต้องตายใน ขณะก่อสร้างเพราะร่างกายเปลือยเปล่า และเมื่อป้อมปราการเสร็จแล้ว วลาดตอบแทนพวกเขาด้วยการเสียบร่างประจาน
และที่ดูจะป่าเถื่อนที่สุด เขาเชิญบรรดา คนชรา คนป่วย และขอทานมากินที่ปราสาทของเขา หลังทุกคนกินและดื่มเสร็จแล้ววลาดก็สั่ง ทหารล้อมปราสาทไว้และจุดไฟเผาให้ทุกคนในนั้นตายทั้งหมด ด้วยเหตุผลที่ว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้าทําลงไปเพราะไม่อยากผู้คนในเขตปกครอง ของข้าพเจ้าประสบกับความยากไร้อีก” (คนอะไรวะเนี่ยโคตรเถื่อนเลย)
3.อีดี้ อามิน
อีดี้ อามิน(1925_2003) จอมเผด็จการอูกันดา เขาก่อการปฏิวัติด้วยทหารของเขากว่า 9000 นาย และในปี 1975 เขาประกาศ ตัวว่าเป็น “ประธานาธิบดีเจ้าชีวิต(President for life)” จากนั้นก็งดโฆษณาและสื่อทั้งหมด และบังคับให้ประชาชนสวมชุดขาวไป เมืองหลวงในขณะที่เขานั่งบนบัลลังก์
เขาจับตัวนายพลจัตวา สุไลมาน ฮุสเซน ผู้บังคับการกองทัพบกแห่งอูกานดา อย่างอุกอาจฆ่าและตัดศีรษะจากนั้นจึงเก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้านและนําออกมาให้คนภายนอกดูเพื่อเตือนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเขา
เขายังบังคับประชาชนให้ท่องคําสาบานจงรักภักดี และคุกเข่า นอกจากนี้เขายังเผยแพร่ถ่ายทอดสดการตัดศีรษะของนักโทษ การเมืองให้ประชาชนในประเทศได้ดูกันสดๆ พร้อมกันนี้เขายังเอาเลือดที่ไหลจากคอใส่แก้วและนํามาดื่มสดๆอย่างกระหาย

อีดี อามิน ปกครองอูกันดา ตลอด 8 ปีที่เขาปกครองได้เข่นฆ่าประชาชนราว 100000- 500000 คน และเขาปกครองแบบกดขี่ ประชาชนตลอดที่เขามีอํานาจมา 8 ปี
ในปี 1972 อีดี อามิน จัดการขับไล่ชาวภาษาปากีสถาน และชาวอินเดียจากประเทศกว่า 40,000 ถึง 80,000
ในวันที่ 16 สิงหาคม 2003 อีดี อามิน ก็จบชีวิตลงในกรุงเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย(โดนขับไล่ออกจากประเทศ) จากโรคอวัยวะภายในล้มเหลว แม้รัฐบาลอูกานดาจะประกาศว่า ร่างของอามินควรจะได้รับการฝังในอูกานดา แต่ว่าร่างของเขากลับถูกฝังในซาอุดิอาระเบีย โดยทันทีเขาเป็นผู้กระทําผิดที่ไม่เคยได้รับการลงโทษเลย…
2.ซาปาร์มูรัต นิยาซอฟ
ประธานาธิบดีของเติร์กเมนิสถาน เป็นประธานาธิบดีแบบเผด็จการและได้ เปลี่ยนประเทศเติร์กเมนิสถานเป็นประเทศที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน โดยตั้งตนเองเป็น “ประธานาธิบดีตลอดชีพ”
เริ่มจากควบทั้งเก้าอี้นายกฯ แม่ทัพ ผู้นําพรรคการเมืองพรรคเดียวของประเทศ ไม่ยอมให้มีฝ่ายค้าน ให้ประชาชนเรียกเขาว่า “เกรทเติร์กเมนบาช”(บิดาแห่งชาวเติร์กเมนทั้งมวล)
เขาเปลี่ยนชื่ออากาศยานของประเทศ มาเป็น “Turkmenbashi” และแทนที่ชื่อเมืองใหญ่เป็น “Krasnovodsk to Turkmenbashi” ไม่เพียงเท่านี้เขายังเปลี่ยนชื่อโรงเรียนและถนนมากมายมาเป็น “Turkmenbashi” ขนาดลูกอุกาบาตรตกในประเทศ เขายังตั้งชื่อมันว่า “Turkmenbashi” เลยคิดดู และเชื่อหรือไม่ เขาเปลี่ยนชื่อเดือนมกราคมไปเป็น ” Turkmenbashi” (สงสัยจะหลงรักชื่อตัวเองเข้าอย่างจัง)
ส่วนการบริหารประเทศเขาก็ยังออกกฎแปลกๆ เช่นห้ามมีอุปรากรหรือบัลเล่ต์, จํากัดสิทธิเสรีภาพประชาชนและสื่อฯ ทุก รูปแบบ ห้ามเคลือบฟันทอง ห้ามเยาวชนไว้ผมยาวและหนวด
ในปี 2004 ซาปาร์มูรัต ได้มีการกําหนดวันหยุดแห่งชาติคือ วันแตงไทยแห่งชาติ(National Melon Day) เป็นวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม ให้กับพลเมืองเติร์กเมนิสถานนึกถึงความสําคัญของแตงไทย…
ซาปาร์มูรัตเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวายเมื่อเดือนธันวาคม 2006 ด้วยอายุ 66 ปี (คนทั้งประเทศคงโคตรดีใจ)
1.จักรพรรดิคาลิกูลา
จักรพรรดิผู้อื้อฉาวของโรมันซึ่งทําให้อาณาจักรที่รุ่งเรืองหลายร้อย ปีต้องถึงกาลวิกฤต
คาลิกูล่าขึ้นครองอํานาจโรมันก็อยู่ในกลียุค เขาไม่สนใจบริหารบ้านเมือง เอาแต่เสพสุขและผลาญคลังสมบัติ มากกว่านั้น พระองค์มีความกระหายทางเพศอย่างมาก พระองค์จับผู้หญิงที่มีสามีเอามาเป็นภรรยาของตัวเอง,เซ็กซ์หมู่, แต่ที่เลวกว่านั้นพระองค์ สมสู่กับน้องสาวตัวเอง!
ในช่วงปีแรกที่คาลิกูล่าขึ้นมามีอํานาจ เขาสนใจแต่งานแต่งงานที่ใหญ่โต สมรสกับผู้หญิงอื่นเป็นว่าเล่น(และหย่ากันในเวลา อันรวดเร็ว) บางครั้งถึงกับตั้งโสเภณีขึ้นเป็นราชินี เมื่อสมบัติหมดคลังก็เอานางสนม หญิงชั้นสูง และราชินีของตัวเอง ไปขายบริการ ทางเพศเพื่อนําเงินมาเสพสุข
และแน่นอน หากใครที่กล้าขัดคำสั่ง หรือพูดอะไรไม่เข้าหู พระองค์ก็จะสั่งประหารหรือไม่ก็ฆ่าตายตรงนั้นทันที รวมถึงการหานางสนม หากหญิงคนใดไม่ยอมหรือขัดขืนพระองค์ก็จะข่มขืนแล้วก็ฆ่าทิ้งทันที (คนอะไรเนี่ยโคตรหื่นเลย!!!)
ที่มา Flagfrog