สหรัฐอาจ”แซงชั่น”เมียนมาร์ต่อเหตุโรฮีนจา-ไทยยันไม่รับต่างชาติตั้งรกราก

ชาวโรฮีนจาในระหว่างลอยลำอยู่ไม่ไกลจากเกาหลีเป๊ะ ในทะเลอันดามัน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 หลังจากรับอาหารน้ำดื่มน้ำมันและซ่อมเรือแล้วก็ถูกส่งต่อไปยงประเทศอื่น AFP Photo/Christophe Archambault)

 

สหรัฐอเมริกาทบทวน”แซงชั่น”เศรษฐกิจเมียนมาร์ต่อชมไทยจัดประชุมแก้ปัญหาค้ามนุษย์ 29 พ.ค. ไทยยืนยันไม่รับต่างชาติมาตั้งรกรากเหตุละเมิดกฎหมายและความมั่นคง พร้อมช่วยด้านมนุษยธรรม

สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงวอชิงตันดี..ซี.ประเทศสหรัฐอเมริกาว่าเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 ทำเนียบขาวได้มีหนังสือถึงสภาคองเกรสเกี่ยวกับการใช้อำนาจของประธานาธิบดี”แซงชั่น”เศรษฐกิจเมียนมาร์ที่จะสิ้นสุดลงภายใน 5 วันข้างหน้า ซึ่งอาจจะมีการแซงชั่นต่อ

จดหมายให้เหตุผลว่าแม้เมียนมาร์จะมีความก้าวหน้าทางด้านการปฎิรูปประเทศก็ตาม แต่ยังมีปัญหาชนกลุ่มน้อยในรัฐยะขิ่นที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

นายแพทริค เวนแทรล โฆษสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐเปิดเผยว่าสหรัฐจะทบทวนนโยบายการแซงชั่นที่มีต่อเมียนมาร์ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ หลังจากเมียนมาร์มีการปฏิรูปหลายด้าน

โอบามายกเลิกแซงชั่นปี 2012

เมื่อปี 2012 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ใช้อำนาจของฝ่ายบริหารประกาศยกเลิกแซงชั่นเมียนมาร์หลังจากที่มีความก้าวหน้าทางการเมืองโดยการเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านเข้าไปมีส่วนร่วม แต่ยังคงไว้เรื่องการแซงชั่นทางเศรษฐกิจบางประการ รวมทั้งแซงชั่นบริษัทและเอกชนที่ยังต่อต้านความก้าวหน้าของประชาธิปไตย อีกทั้งบางกลุ่มที่ยังค้าขายกับเกาหลีเหนือ

สหรัฐกดดันเมียนมาร์-ขอร้องภูมิภาคช่วยชีวิต

ต่อปัญหา”โรฮีนจา”ที่หลบหนีออกจากพม่าติดต่อกันมา 3 ปี จนกระทั่งปัจจุบันเกิดวิกฤติในขบวนการค้ามนุษย์ขึ้นมา หลังจากประเทศไทยปราบปรามอย่างหนัก ทำให้ขบวนการไม่มี”ที่พักสำรอง”ก่อนจะส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 จนทำให้ขบวนการค้ามนุษย์ถือโอกาส”ลอยแพ”กลุ่มโรฮีนจาทั้งบนบกในประเทศไทยและทางน้ำในทะเลอันดามันนั้นสหรัฐเรียกร้องให้ประเทศในภูมิภาค”ช่วยชีวิต”พวกเขาไว้

อย่างไรก็ตามทั้งประเทศไทย มาเลเซียและอินโดนีเซียไม่ยินดีที่จะรับคนเหล่านี้ไว้ในดินแดนของตน  สหรัฐจึงต้องมีการประสานระดับสูง เช่นนายจอห์น แคร์รี่ รมว.ต่างประเทศต้องโทรศัพท์มายังพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฎิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศขอให้ไทยช่วยเปิดที่พักชั่วคราวรับชาวโรฮีนจาไว้ก่อน

พร้อมกันนั้นสหรัฐได้กดดันไปยังเมีนมาร์ให้ทำงานมากขึ้นในปัญหาชนกลุ่มน้อยที่ถูกละเมิดที่รัฐระขิ่น พร้อมกับเรียกร้องให้พม่าเห็นแก่มนุษยธรรม เหตุเพราะเมียนมาร์ถือว่าชาวโรฮีนจาไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยของตน เป็นกลุ่มอพยพเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายมาจากประเทศบังคลาเทศ

จอห์น แคร์รี่คุยกับธนะศักดิ์

ทางด้านนายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้ติดต่อกับพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทางโทรศัพท์ (คืนวันที่ 14 พฤษภาคม) ชื่นชมนโยบายไทยเรื่องการให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยการสู้รบและผู้ลี้ภัย รวมทั้งความริเริ่มจัดประชุมระหว่างประเทศเรื่องการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้

ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาพร้อมส่งผู้แทนเข้าร่วมและยินดีให้ข้อมูลและคำแนะนำ ตลอดจนการสนับสนุนในด้านต่างๆ รวมทั้งจะหารือกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทยในเรื่องนี้ต่อไป

ไทยยืนยันช่วยด้านมนุษยธรรม

ขณะที่พล.อ.ธนะศักดิ์ชี้แจงว่า ไทยให้การดูแลผู้ลี้ภัยด้วยหลักมนุษยธรรม มาตลอด การประชุมในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ จะเป็นการประชุมระดับผู้ปฏิบัติและเจ้าหน้าที่อาวุโสที่จะหารือและกำหนดแนวทางให้ประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องปฏิบัติร่วมกัน โดยเน้นหลักมนุษยธรรมและความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างประเทศ โดยคาดว่าจะได้ผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป

พร้อมกันนี้ ยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีพบเรือบรรทุกชาวโรฮิงญาในน่านน้ำของไทย บริเวณจังหวัดสตูลว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้ส่งเจ้าหน้าที่กองทัพเรือไปตรวจสอบ พบว่าชาวโรฮิงญาในเรือลำดังกล่าวประสงค์จะเดินทางต่อไปอีกประเทศหนึ่ง ไทยจึงให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่มและน้ำมันแก่เรือลำดังกล่าว

 ไทยห่วงว่าอาจไม่ประสบภัยแท้จริง

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังชี้แจงว่า ไทยมีความกังวลว่าจะมีผู้ที่ไม่ได้ประสบภัยอย่างแท้จริง ใช้โอกาสที่รัฐบาลมีนโยบายจัดหาพื้นที่พักพิงชั่วคราวให้แก่ผู้อพยพทางทะเลเป็นช่องทางในการเข้าสู่ประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย นโยบายดังกล่าวจึงเป็นนโยบายที่เตรียมไว้ในกรณีฉุกเฉิน ที่ต้องรอดูสถานการณ์และจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบกฎหมายไทยเท่านั้น” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว

พล.ต.สรรเสิญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ต้องไม่ขัดหลักกฎหมาย-ความมั่นคง

ทางด้านพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าประเทศไทยมีจุดยืนชัดเจนในการให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการแก้ไขปัญหา การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติของชาวโรฮิงญา ซึ่งส่วนหนึ่งอาจกลายเป็นเหยื่อในวงจรการค้ามนุษย์ เพราะเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกชาติจึงจะแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้

พล.ต.สรรเสิญกล่าวว่าประเทศไทยยินดีให้ความช่วยเหลือตามหลักการขั้นพื้นฐานด้านมนุษยธรรม ทั้งนี้ต้องไม่ขัดต่อหลักกฎหมายของไทยและความมั่นคงภายในประเทศซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องปกป้องและดูแลประชาชนคนไทยเช่นกัน  

รองโฆษกรัฐบาลกล่าวว่าที่ผ่านมาประเทศไทยดูแลผู้ลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมายตามหลักมนุษยธรรมเสมอมา อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่า ผู้ลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมายเหล่านี้เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายของไทย จำเป็นต้องถูกควบคุมตัวดำเนินคดี และส่งกลับต้นทางหรือประเทศที่ 3 ต่อไป ตามความสมัครใจของผู้ลักลอบ ไม่มีนโยบายให้ตั้งรกรากในประเทศไทย

จัดหาที่อยู่และหางานให้ไม่ใช่นโยบาย

“แนวคิดจากบางองค์กรที่เสนอให้ประเทศไทยเปิดชายแดนรับผู้หลบหนีข้ามแดนเหล่านี้เข้ามา แล้วจัดหาที่อยู่ ดูแลเรื่องจัดหางานให้ทำ เป็นแนวคิดที่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง รวมทั้งสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายของไทย รวมทั้งอาจกระทบกับปัญหาความมั่นคงของประเทศไทย ต้องไม่ลืมว่า บุคคลกลุ่มนี้เป็นผู้ลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมาย ข้อเสนอเช่นนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ วิธีการแก้ไขปัญหาที่ สมเหตุสมผลคือ องค์กรนานาชาติที่มีหน้าที่บรรเทาทุกข์จำเป็นต้องเข้าไปจัดระเบียบ และดูแลคนกลุ่มนี้ตั้งแต่ในประเทศต้นทาง ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายและหลบหนีมายังประเทศอื่นๆอีก"พล.ต.สรรเสริญ กล่าว

รองโฆษกรัฐบาลกล่าวอีกว่า ทั้งนี้รัฐบาลไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่า ด้วย การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ในมหาสมุทรอินเดีย ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 ที่กรุงเทพฯ

ประชุมร่วม 15 ประเทศ

การประชุมครั้งนี้ รัฐบาลไทยจะเชิญเจ้าหน้าที่อาวุโสจากประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 15 ประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม บังคลาเทศฯ รวมทั้งเชิญประเทศผู้สังเกตการณ์ อาทิ สหรัฐอเมริกา ตลอดจนผู้แทนองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เข้าร่วมด้วย

 

ในที่ประชุม จะเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวกรองเกี่ยวกับสถานการณ์การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติทางทะเล และอาจจะมีการบังคับใช้กฎหมายร่วมกันเพื่อทลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงขอความร่วมมือช่วยกันใน การรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลเพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยขบวนการค้ามนุษย์