เชื่อหรือไม่ว่าสวิงกิ้งในไทยมีมาตั้งแต่ยุคอยุธยาตอนกลาง
เห็นขึ้นหัวข้อ แบบนี้ หลายท่านคงคิดว่าผมบ้าหรือเมาไปแล้วล่ะครับ...แต่ลองอ่านต่อสักนิดแล้วค่อย พิจารณาว่า สิ่งที่เราเรียกว่าสวิงกิ้งนั้น แท้จริงแล้วมีมานาน เพียงแต่การเรียกพฤติกรรมเท่านั้นที่ไม่ได้บอกไว้ว่าเป็นอะไร
บล็อกก่อนๆ ผมเคยเปรียบเทียบระหว่างเซ็กส์หมู่กับสวิงกิ้งให้เราชาวชอบเซ็กส์ที่สร้าง สรรค์เฉพาะตัว ได้อ่านกันแล้ว ก็สุดแท้แต่ว่าท่านจะตีความกันอย่างไร ในส่วนตัวผมหรือคู่หลายคู่ที่คบกันมา ก็เห็นด้วยว่า การที่เราทำให้หญิง คนรัก แฟน ภรรยา ฯลฯ มีความสุขมากล้น เราพอใจ นั่นแหละคือสวิงแท้
เริ่ม จากการที่ผมได้อ่านบทความแปลจากหนังสือฉบับหนึ่งหลายปีก่อน เค้าบอกไว้ว่า การสวิงในยุโรปมีมานานมากๆ ยุคสงคราม ผ็ชายส่วนใหญ่ไปรบ บางคนกลัวเมียมีชู้ก็ใส่เข็มขัดกันชู้ไว้ ให้คนใกล้ชิดดูแลแทน บางคนใจกว้างหน่อยก็จ้างคนที่ไม่ได้ไปรบ ไว้ใจได้ให้มาปรนนิบัติแทน บางรายก็ไปอยู่กับขุนนางให้คุ้มครองพร้อมทั้งเรือนร่างที่หาความสุขด้วยกัน ฝ่ายทหารที่ออกไปรบ ถ้าปล้นสะดม เข้าตีเมืองไหนได้ หากมีเชลยหญิงก็ได้แก้ขัดกันไป ถูกแม่ทัพใจดีก็ได้แบ่งกันไป บางคนเก่ง มีนางทาสเชลยสงครามหลานก็แบ่งบันเพื่อนฝูง ลูกน้องกันไป ในลักษณะนี้ แม้จะดูเหมือนหญิงไม่เต็มใจ เพราะเป็นเชลย แต่ก็ต้องรับกรรมด้วยความกลัวตาย สุดท้ายก็มีความสุขด้วยกัน แม้ตอนจบของสงครามอาจะไม่สวยก็ได้ เป็นไงครับ เข้าใกล้การสวิงเข้ามาแล้ว
ในส่วนของไทย ไม่มีใครบันทึกไว้ชัดเจน เพราะยุคก่อน ใครขืนไปผิดลูกผิดเมียคนอื่นก็โดนทั้งกฎหมู่กฎหมายเข้าเท่านั้นเอง แต่ก็มีฉีกประเพณีไปแบบน่าฉงนไม่น้อย...ผมอ่านเรื่องนี้จากหนังสือต่วยตู นพิเศษ ฉบับที่ 189 ปีที่ 16 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2533 เลยขอยกข้อความบางตอนมาเล่าสู่กันฟัง ....จากการบันทึกของ นายลูโดวิโค ดั วาร์เทมา นักเดินเรือ นักผจญภัย ชาวอิตาลี ที่เดินทางมาค้าขายในแถบเอเชีย ตรงเข้ามาไทยที่เมืองท่าสำคัญของอยุธยา คือ เมืองตะนาวศรี ในช่วงอยุธยาตอนกลาง ปี พ.ศ.2058 (ค.ศ.1415)
(อยุธยาตอนต้นพ.ศ.1893-1991 ตอนกลาง พ.ศ. 1991-2231 ตอนปลาย พ.ศ.2231-2310) ตะนาวศรี ฝรั่งบันทึกไว้ว่าเป็นอาณาจักรเล็กๆก่อนยุคสุโขทัย อยู่ทางอ่าวฝั่งตะวันตก ก่อตั้งโดยคนสยาม จากนั้นก็โดนพม่า ไทย แย่งกันปกครองล่าสุดอังกฤษ จนปัจจุบัน เป็นเขตปกครองพิเศษขึ้นกับพม่า ไม่มีกองกำลังไม่มีคนเชื้อสายพม่าหรือชาติพันธุ์อื่นมากนัก ส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายไทยครับ เอาล่ะครับเรารู่เรื่องตะนาวศรีแล้ว มาว่ากันต่อถึงนายวาร์เทมาต่อ เขามเดินทางมาถึงตะนาวศรีในสมัยที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่2 แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงติดต่อค้าขายกับต่างชาติอย่างดียิ่ง
นายวาร์เท มา บันทึกไว้ว่า สภาพหญิงในตะนาวศรี(ก็คงพอๆกับหญิงในเอเชียยุคโบราณน่ะครับ) มีฐานะด้อยกว่าชายมาก มีหน้าที่เป็นเพียงเมีย ลูกและบำเรอกามเท่านั้น ไม่มีบทบาททางสังคมอะไรมาก ผู้ชายมีเมียได้หลายคน สามารถหาซื้อเมียหรืออีหนูได้หลายคนถ้ามีเงิน และคนที่มีเงินก็ไม่พ้นขุนนาง พ่อค้า ผู้สูงวัย สาวที่ถูกซื้อก็ต้องอายุน้อย น่ารัก บางคนคนอายุเพียง12 ปี ก็โดนขายไปแล้ว
ตอนนี้ล่ะครับ ที่นายวาร์เทมา ได้ประสบมากับตนเองถึงพฤติกรรมที่แม้แต่ฝรั่งอย่างเขาก็งง เขาบอกว่ามีประเพณีที่ทำฝห้เขาตกใจแปลกใจระคนเขินและซาบซ่านใจ คือ ประเพณีเปิดพรหมจารีเจ้าสาวของคหบดีที่เมียเยอะ....เขาเล่าต่อว่า จากการที่คนเหล่านั้น เลือกสาวน้อยมาแต่งานด้วยหลายคน ความที่เด็กยังเล็ก การจะสอดใส่ทำลายพรหมจารีเด็กนั้นมันน่าเบื่อหน่ายไม่สนุกด้วยเพราะความหนืด ความฟิต ก็เลยมีการจ้างชายอื่นให้มาเบิกพรหมจารีแทน เพื่อสามีจริงๆ จะได้เข้าไปร่วมต่อในภายหลังอย่างสนุกสนานไม่ลำบากในการบุกเบิก...ได้ยินแบบ นี้ ชมรมคนรักเด็กเฉียดคุก คงอยากย้อนเวลาไปในสมัยนั้นจังเนาะ...
แต่ช้าก่อน ชายที่เหล่าคนมีตังค์ เมียเยอะ นิยมจ้างมาให้ทำหน้าที่เปิดถ้ำน่ะ ไม่ได้เอาใครก็ได้นะครับ เค้าจะเน้นคนร่างกายใหญ่โตกำยำแข็งแรง แบกกระบองใหญ่ ดังนั้นหนุ่มต่างชาติโดยเฉพาะชาวเรือชาติโปรตุเกส ผิวขาวผมทองตาสีฟ้าจึงเป็นที่นิยม พอๆกับพวกแขกมัวร์ที่หน้าตาดุร้ายแข็งแรง เป็นที่เชื่อว่ามีพละกำลังในการเบิกพรหมจรรย์ คนก้องแก้งอาวุธกระจิริดอย่างผมก็หมดโอกาสแล้วล่ะครับ ทำไม่นายวาร์เทมาถึงได้บันทึกไว้ละเอียดขนาดนั้น ..
เรื่องมันมีอยู่ว่า เขากับเพื่อนขึ้นฝั่งมาได้ 4 วัน เดินเล่นในตลาด ก็มีพ่อค้าชาวตะนาวศรีเดินมาถามสารทุกข์สุกดิบแล้วเชิญไปบ้านเขาว่า อีกสองอาทิตย์เขาจะแต่งงานเอาเมียเด็กผู้หญิงมาอยู่ในบ้าน อยากจะขอเชิญทั้งสองไปพักที่บ้านและช่วยทำลายพรหมจารีในคืนแรกให้ หน่อย...เจอเข้าจังๆแบบนี้สองหนุ่มตาน้ำข้าวก็อายจนหน้าแดงสิครับ
แต่พ่อค้าบอกกับสองหนุ่มว่า ไม่ควรรู้สึกอายอะไร เพราะเป็นประเพณีของเมืองตะนาวศรี เพื่อนของนายวาร์เทมาจึงตกลงโดยบอกว่า หากเป็นความประสงค์และไม่ถือเป็นความเลวทราม ทั้งพ่อค้าไม่หัวเราะเยาะในการกระทำแล้ว เขาก็ยินดีทำให้ จากนั้นทั้งสองก็ได้มาอาศัยในบ้านพ่อค้าผู้ร่ำรวย ได้รับการดูแลปรนนิบัติอย่างดีจนครบสองอาทิตย์เด็กสาวอายุ16 ปี ก็เข้ามาในบ้าน พ่อค้าผู้สามีก็รีบยกให้เพื่อนนายวาร์เทมาในคืนนั้นทันที เขาเล่าว่า เด็กสาวผิวคล้ำแต่สวยงามน่ารักเป็นที่ตื่นตาตื่นใจมาก เขาบรรจงทำหน้าที่ของเขาทั้งคืนอย่างดียิ่งจนกระทั่งรุ่งเช้า เขายังอยากให้หนึ่งคืนนั้นเป็นหนึ่งเดือนด้วยซ้ำไปไม่ได้อยากให้จบลงเร็ว อย่างนี้เลย
พอสำเร็จภารกิจรุ่งเช้าพ่อค้าเมียเด็กก็เชิญฝรั่งทั้งสองออก จากบ้านไป เพราะได้ทำหน้าเสร็จแล้ว หากอยู่ต่อก็จะผิดจารีตประเพณี อันนี้ เหมือนการสวิงที่เราควรปฏิบัติน่ะครับ อย่าพัวพันจนผู้พัน การจบแล้วก็จบกันปถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมได้ดีทีเดียว จากที่อ่านมานี้ ผมคิดว่า ลักษณะพฤติกรรมแบบนี้ เข้าข่ายสวิงกิ้งแบบนัดชายเดี่ยวมาสนุกกับเมียโดยไม่มีความหึงหวงแต่ประการ ใด
การทำลายเบิกพรหมจารีครั้งแรกได้ผ่านพ้นไป เมื่อถึงคราวที่ต้องมาสนุกกับสามีก็ย่อมสะดวกมากขึ้น ต้องเข้าใจอีกว่า สถานภาพของหญิงยุคนั้น ต่างจากยุคนี้นะครับ ความใจกว้างในประเพณี ถ้าเป็นคนอยุธยาล่ะก้อ ขืนไปมองไปจีบสนมหรืออีหนูเข้าก็มีหวังไปเกิดใหม่ทันที (ผมดูช่องสารคดีเห็นคนจีนในชุมชมแถวมองโกล หรือธิเบตนี่แหละเผ่าหนึ่ง ในปัจจุบัน ก็อนุญาตให้หญิงมีสามีได้คราวละ 2 คน เพราะผู้หญิงมีน้อย ต้องทำหน้าที่แม่พันธุ์ด้วย ลองค้นดูนะครับ ผมจำชื่อเผ่าไม่ได้ ส่วนของเอสกิโม ก็หายเมียตนเองไปคลายหนาวแขกผู้มาพักในอิกลูด้วย)
ของแถม เซ็กส์พิสดารของชาวตะนาวศรียุคโบราณอีกเรื่องหนึ่งที่วาร์เทมาบันทึกไว้คือ เขามีโฮกาสเห็นชายหญิงคุ่หนึ่งร่วมรักกัน ระหว่างที่หญิงนอนหงายผู้ชายนอนคว่ำทับ ฝ่ายชายก็จะพร่ำบอกว่า รักเธอมากแค่ไหน อันนี้ไม่แปลกใช่ไหมครับ...แต่ที่แปลกคือ ฝ่ายชายจะเอาผ้าผืนเล็กๆชุบน้ำมันวางไว้ที่แขนข้างขวาของเขาแล้วจุดไฟให้ลุก ไหม้ ระหว่างนั้นทั้งคู่จะแสดงความรักด้วยกันอย่างหรรษาปากก็พร่ำบอกกันและกัน ด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวานซาบซ่านจนเขาฟังๆไม่ทันไม่เข้าใจว่าพูดอะไรกันจน
กระทั่งเสร็จสมจึงดับไฟที่ไหม้เนื้อแขนนั้น คุ้นๆกับการลนเทียนไขไหมล่ะครับท่าน
และยังมีประเพณีที่น่าสยดสยองน่า สงสารผู้หญิงของตะนาวศรียุคโบราณอีกคือการเผาตัวเองตายตามสามี นายวาร์เทมาไม่ได้บอกว่า ต้องเป็นภรรยาคนไหนที่จะตายตาม เขาเล่าว่า หากสามีตาย ภายใน 15 วันนั้นจะมีการทำพิธี ขุดหลุมเตรียมไฟเผาศพสามี แต่งตัวให้ภรรยาอย่างสวยงาม
กินหมากดื่มน้ำเมาร้องรำจนเหมือนคนขาดสติแล้วกระโดดลงหลุมไฟที่กำลังเผาศพ สามี เพื่อนๆหญิงคนนั้นก็จะช่วยกันใช้ไม้รุมตีเธอให้หมดสติจะได้ไม่ทรมาน กลายเป็นเถ้าภ่านตามสามีไป หากไม่ยอมตายตาม ก็จะโดนดูถูกเหยียดหยามไม่มีใครคบ ต้องไปไปเป็นหญิงงามเมือง โสเภณี ไม่ก็ถูกเพื่อน ญาติรุมตีจนตายโทษฐานที่ไม่ทำตามประเพณี...ผิดถูกอย่างไร ไม่ยืนยันนะครับ เพราะบันทึกที่ฝั่งนิยมทำในสมัยโบราณจะขายให้โรงพิมพ์เพื่อพิมพ์ขายอ่านเป็น เรื่องประหลาดมหัศจรรย์ในยุคนั้น เหมือนเราอ่านนิยายหรือสารคดีในปัจจุบัน..บางเรื่องย่อมต้องมีการแต่งเติม สีสันและความคิดเห็นส่วนตัวลงไปด้วย......