ชมทะเลทรายคาลาฮา ที่ร้างแห้งแล้งมีแต่ทรายเกลือและหญ้าแห้ง
ทะเลทรายคาลาฮารี(Kalahari Desert) ที่ร้างแห้งแล้งมีแต่ทรายเกลือและหญ้าแห้งนี้ คือบ้านของชนเผ่าที่น่าทึ่งที่สุดเผ่าหนึ่งของโลก
ถัดจากที่ราบกรวดสีเทาทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกาใต้ขึ้นไป แผ่นดินค่อยๆลาดลง เผยให้เห็นผลงานชิ้นเอกเหนือกาลเวลาชิ้นเหนือของธรรมชาติ นั่นคือทะเลทรายสีเหลืองส้มเก่าแก่ ที่ดูเหมือนจะแผ่กว้างออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
นี่คือคาลาฮารี ที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาลบนที่ราบสูงแอฟริกา เป็นผืนทรายที่ทอดติดต่อกันยาวที่สุดในโลก โดยไม่มีบริเวณที่เป็นหินและกรวดมาคั่นอย่างทะเลทรายสะฮารา
คาลาฮารีที่งามตราตรึงด้วยความยิ่งใหญ่รวมทั้งบรรยากาศและวัฒนธรรมของยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้ ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของบอตสวานา ทอดตัวเข้าไปในนามิเบียทางตะวันตก แล้ววกขึ้นเหนือเข้าไปในแองโกลา แซมเบีย และซิมบับเว
ผู้คนที่นี่เรียกคาลาฮารีว่า คาลากาดี แปลว่า “ที่โล่งร้าง” ซึ่งกว้างใหญ่ เก่าแก่ และฝ่าเข้าไปได้ยากยิ่ง จนกุมความลับที่ปิดตายของอารายธรรมที่สาญสูญไปเมื่อ 500,000 ปีก่อนไว้ ผืนทรายแห่งนี้เป็นถิ่นอาศัยและแหล่งล่าสัตว์ของพวกบุชแมนหรือซาน ชนเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งมีวิถีชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลา 25,000 ปีแล้ว พวกเขาสามารถปรับตัวให้เข้าความร้อนระอุ การขาดน้ำ และการขาดแคลนอาหารของที่นี่ได้ย่างเหลือเชื่อ จึงยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นก็คงตายไปแล้ว
แม้ทุกวันนี้มีพวกบุชแมนเหลืออยู่ไม่กี่พันคนในคาลาฮารี แต่บรรพบุรุษของพวกเขาก็ได้ทิ้งมรดกเป็นภาพเขียนสีบนก้อนหินและผนังถ้ำทั่วภูมิภาคนี้
หน้าผาขรุขระและหมู่ถ้ำของเนินเขาโซดิโลห่างจากคาลาฮารีไปทางตะวันตกเฉียงเหนือนั้นมีงานศิลปะไม่น้อยกว่า 2,750 ชิ้นในที่ 200 แห่ง บ้างเป็นลายเส้น บ้างเป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบง่ายๆ และบางภาพก็เป็นฝูงสัตว์และผู้คน
ชาวซานจำนวนมากอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของคาลาฮารี ซึ่งมีแม่น้ำเก่าแก่แห้งขอดสี่สาย ได้แก่ โมโลโป คูรูแมน นอสซอบ และอุบ ไหลลดเลี้ยวไปสิ้นสุดที่หาดทรายก่อนถึงแม่น้ำออเรนจ์เล็กน้อย ในทางน้ำเปล่าเปลี่ยวเหล่านี้มีน้ำไหลเฉพาะในปีที่มีฝนมากเป็นพิเศษ
รอบๆบริเวณที่เคยเป็นก้นแม่น้ำนี้ ธรรมชาติได้สลักเสลาเนินทรายคดเคี้ยวเจือสีทองแดงและสีแดงจากสนิมเหล็กที่ปนอยู่ในเม็ดทราย ในสิ่งแวดล้อมร้อนระอุนี้ พังพอนเมียร์แคตและสัตว์ขุดรูชนิดอื่นๆโผล่จากโพรงก็ต่อเมื่อออกหากินและต้องตื่นตัวตลอดเวลาเพื่อระแวงระวังการจู่โจมทางอากาศจากนกล่าเหยื่ออย่างนกอินทรีหรือการโจมตีจากสัตว์บนบก เช่น งูเห่าเคป เป็นต้น ส่วนเจ็มส์บ็อก ฮาร์เทอบีสต์ ดุยเคอร์และแอนทิโลปขนาดเล็กอื่นๆเล็มหญ้าต้นสูงตามร่องเนินทรายที่มักมีอุณหภูมิเกิน 50° ซ. ในช่วงกลางฤดูร้อน
คาลาฮารีเป็นหลักฐานอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของโลกที่แสดงให้เห็นถึงพลังไฟ ลม น้ำ และทราย ราว 65 ล้านปีมาแล้ว โลกเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ลาวาภูเขาไฟไหลทะลักไปทั่วใจกลางของแอฟริกาตอนใต้ ทะเลลาวาที่มีลักษณะเป็นลอนเหล่านี้ บางแห่งลึกถึง 8 กม. ก่อให้เกิดสันสูงและลุ่มแม่น้ำลึกหลายแห่ง
แม่น้ำนอสซอบ(Nossob ) ซึ่งเป็นเส้นทางทรายแห้งผาก ไหลคดเคี้ยวข้ามคาลาฮารี ส่วนเนินทรายนั้นเป็นแหล่งพึ่งพิ่งของสัตว์พิสดารที่อาศัยอยู่ในทราย
จากนั้นภายในเวลากว่า 50 ล้านปี แรงลมและฝนก็ค่อยๆทำให้ภูมิทัศน์ที่ขรุขระนี้ราบเรียบขึ้นภูเขาสึกกร่อนลง และหุบเขาเต็มไปด้วยดินเหนียวและกรวด ในที่สุดทรายจำนวนมหาศาลที่ถูกลมพัดเข้ามาจากชายฝั่งก็ทับถมกันเกิดเป็นที่ราบหลากสี มีขนาดเท่าประเทศแอฟริกาใต้ปัจจุบัน
ความแห้งแล้งของคาลาฮารีเกิดจากกระแสน้ำเย็นเบงเกวลาซึ่งไหลจากมหาสมุทรแอนตาร์กติก ขึ้นไปตามชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกาตอนใต้ น้ำทะเลที่เย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งทำให้ลมประจำถิ่นเย็นเยือก จนไม่อาจดูดความชื้นได้มากพอที่จะทำให้เกิดฝนภายในทวีป
ระหว่างฤดูแล้งในเดือนสิงหาคมและกันยายนนั้น คาลาฮารีเกือบไม่มีน้ำบนผิวดินเลย และการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็เป็นไปอย่างเข้มข้นชาวซานแห่งคาลาฮารีตอนกลางและตอนใต้อยู่รอดได้โดยการขุดลงไปใต้ผิวพื้นก้นแม่น้ำและแอ่งที่แห้งเหือดเพื่อหาน้ำและเก็บน้ำไว้ในเปลือกไข่นกกระจอกเทศ
เมื่อแหล่งน้ำใต้ดินเหล่านี้งวดลง ชาวซานจะรีดเอาน้ำจากท้องของแอนทิโลปซึ่งพวกเขาฆ่าแล้ว แหล่งน้ำอีกแหล่งของชาวซานคือแตงซัมมา พวกเขากินแตงนี้ถึงวันละ 3 กก. และหลังฝนตกหนักซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ชาวซานจะใช้ก้านอ้อดูดน้ำขึ้นมาจากโพรงในต้นไม้และก้อนหิน
เทียนของบุชแมน Bushman’s Candle
พืชที่ปรับตัวได้ดีกับแสงแดดและพายุทรายแห่งทะเลทรายคาลาฮารีและนามิบนั้น มีชื่อรู้จักกันว่า “เทียนของบุชแมน” (Bushman’s Candle) ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะก้านของมันมียางติดไฟได้ง่าย และจะเปล่งแสงเจิดจ้าร้อนแรงเมื่อลุกเป็นไฟ
พืชอวบน้ำนี้โตได้สูงประมาณข้อเท้าและก้านหนาพร้อมหนามยาวปกคลุมอยู่ดอกของมันบอบบางมีลักษณะเป็นรูปถ้วยสีกุหลาบ ชมพู หรือม่วง
เมื่อใบไม้แห้งของต้นเทียนของบุชแมนถูกเผา จะให้กลิ่นหอมจรุงคล้ายกำยาน พวกฮอตเทนทอตในแอฟริกาตอนใต้ใช้พืชนี้ชนิดหนึ่ง เป็นยาแก้ท้องร่วงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19
การเดินทางไกลครั้งใหญ่
ทั้งๆที่แห้งแล้ง คาลาฮารีก็เป็นถิ่นอาศัยของสัตว์มากมายหลากหลายพันธุ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไม่ต่ำกว่า 46 ชนิดที่มีขนาดใหญ่กว่าหมาป่าแจ็กคัลนั้นตางท่องอยู่ตามที่ราบและทุ่งหญ้า
เมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี้ สปริงบ็อกหลายฝูง ซึ่งคาดว่ามีจำนวนระหว่าง 50,000 ถึงหลายล้านตัว ได้อพยพครั้งใหญ่ข้ามทะเลทรายคาลาฮารีฝูงหนึ่งมีแถวหน้ายาว 21 กม. และเคลื่อนที่เป็นทางเหยียดยาวกว่า 210 กม. สร้างความเสียหายแก่ที่ดินของชาวไร่ชาวนาเป็นบริเวณกว้าง ทั้งยังเหยียบย่ำสัตว์และผู้คนที่ขวางทางจนเสียชีวิต
ทุกวันนี้สปริงบ็อก(Springbok)ฝูงใหญ่ๆยังเดินแถวตามทางน้ำแห้งของแม่น้ำอูบและแม่น้ำนอสซอบอยู่ทำให้ฝุ่นสีทองฟุ้งเป็นเกลียวขึ้นสู่ท้องฟ้า บนฝั่งแม่น้ำเหล่านี้มีฝูงสิงโตนอนพักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้ต้นหนามอูฐ รอเวลาค่ำคืนให้มาถึง แล้วมันก็จะเริ่มออกเหยื่อ
เจ็มส์บ็อก ซึ่งเป็นแอนทิโลปที่มีรูปร่างแข็งแรงสามารถอยู่รอดได้โดยไม่กินน้ำเลย เนื่องจากมีเครื่องปรับอากาศตามธรรมชาติที่ช่วยให้มันควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้
ในช่วงกลางวันที่ร้อนระอุ เจ็มส์บ็อกจะหายใจหอบถี่ ทำให้มีอากาศผ่านเข้าออกเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกันอยู่อย่างซับซ้อน กระแสเลือดที่ไหลไปสู่สมองจึงเย็นลง แต่ขณะเดียวกัน อุณหภูมิร่างกายก็จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องขับเหงื่อเพื่อระบายความร้อน ร่างกายจึงเก็บรักษาน้ำไว้ได้
เป็นหนึ่งเดียวกับคาลาฮารี
นักล่าสัตว์และนักหาอาหารเร่ร่อน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อซาน (หรือบุชแมน) นี้ ครั้งหนึ่งเคยกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอฟริกาตอนใต้ แต่อิทธิพลภายนอกได้รุกล้ำเข้าสู่คาลาฮารี ซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งสุดท้ายของชาวซาน และก่อให้เกิดความเสียหาย ทุกวันนี้มีชาวซานเหลืออยู่เพียงประมาณ 55,000 คน ในจำนวนนี้เกือบ 2,000 คนยังชีพอยู่ด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า
ชาวบุชแมน กำลังล่าสัตว์ โดยมีธนูและลูกธนูอาบยาพิษเป็นอาวุธ หลังจากทำให้สัตว์บาดเจ็บแล้ว พวกเขายังต้องวิ่งได้อึดกว่ามันด้วย
ชาวทะเลทรายเหล่านี้เป็นนักอนุรักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขาเชื่อว่าถ้าพวกเขาใช้สิ่งแวดล้อมอย่างผิดๆ พระเป็นเจ้าจะพิโรธ
ผลก็คือชาวซานล่าและเก็บอาหารเพียงเพื่อพอประทังชีวิต พวกเขาตัวเล็กคล้ายพวกพิกมี่แห่งแอฟริกากลาง มีก้นยื่นใหญ่ผิดปกติและโคนขามีไขมันมาก ซึ่งทำหน้าที่เหมือนที่เก็บอาหารจำนวนมากที่กินเข้าไปในช่วงอุดมสมบูรณ์
ผู้หญิงและเด็กใช้เวลาส่วนใหญ่เก็บพืชที่อวบน้ำและสัตว์เล็กๆไว้เป็นอาหาร เด็กชาวซานรู้จักและเรียกชื่อพืชต่างๆได้ถึง 200 ชนิด
ผู้ชายชาวซานเป็นนักล่าสัตว์ตัวยง ลูกธนูซึ่งพวกเขาใช้นั้นอาบตรงปลายด้วยยาพิษร้ายแรงที่ทำจากตัวอ่อนของด้วงหมัด
//