ว่าด้วยเรื่องของ อริยสัจสี่ และกฏอิทัปจยตา-ปฏิจจสมุปบาท(สิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบ)
อริยสัจสี่
สัจจะความจริงของโลก สี่ประการ
๑.ทุกข์
ควรรอบรู้ ในทุกข์
สิ่งแรกที่ สัตว์(สัตตานัง) เจอเลยตอนเกิดมาคือ ทุกข์ เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ วิ่งไหนมีการเกิด สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ เพราะเมื่อเกิดแล้ว ต้องมีเสื่อมและดับไป(อนัตตา)
ดังนั้นสื่งที่เราควรรู้ในข้อของทุกข์คือ ความทุกข์ที่แท้จริง(ทุกข์ขัง อริยสัจจัง) ก็คือ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก สิ่งเหล่านี้คือปฐมเทศนาที่ทรงสอนเหล่าปัญญจวัคคีย์ เมื่อเรารู้ว่าอะไรคือทุกแล้ว และรู้ว่าต้นเหตุของทุกข์คือการเกิด เราจึงมาต่อที่
๒.สมุทัย
เหตุแห่งการเกิดทุกข์
ควรละ
เราพูดถึงความทุกข์ที่แท้จริงที่พระองค์ทรงดั้นด้นค้นหา เพื่อหาความไม่ตาย
ดังนั้นเราจึงมาดู เหตุแห่งทุกข์ที่พระองค์ทรงค้นพบนั่นคือ
ปฏิจจสมุปบาท (สายเกิด)
มีดังนี้
ตามภาพข้างบนนี้ ไล่ลงมา เหตุแห่งความทุกข์คือการเกิด
ดังนั้นเรามาดูอะไรทำให้สัตว์ต้องมาเกิดเพราะอะไร
เพราะมีอวิชา(ความไม่รู้วิชา/อริยสัจ)
จึงได้มีสังขาร วิญญาณ นามรูป เมื่อรูปเกิดแล้ววิญญาณเกาะกับนามรูปแล้ว(ร่างกาย)
จึงมีสฬายะตนะ(สัมผัสทั้งหก ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ) มีเรามีสัมผัส(ผัสสะ) เวทนาจึงเกิด
เมื่อเวทนาเกิด จึงมีภพ ชาติ และก็มี ชรา มรณะตามมา
นี้คือสิ่งที่ทำให้สัตว์นั้นวนเวียนเกิดท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏอยู่อย่างนั้นเอง
เพราะความไม่รู้ในวิชา เพราะยังมีตัณหาเป็นเครื่องผูก มีอวิชาเป็นเครื่องกั้น นั่นเอง
๓. นิโรธ
การดับทุกข์
ควรทำให้แจ้ง
ในข้อนิโรธนี้ ถ้าเราเรียนมาในวิชาพุทธศาสนาเราก็จะบอกวิธิดับทุกข์ของตัวเอง
เช่นกินข้าวอิ่มปวดท้อง เราจะแก้ยังไง ก็คือ กินให้พอดี
แต่ส่วนนี้เราจะพูดถึงการดับไม่เหลือซึ่งทุกข์ที่แท้จริง
คือปฏิจสมุปบาท (สายดับ)
ตามภาพสายดับนี้ ก็คือไล่จากสายเกิด แต่เปลี่ยนเป็นการดับไปของสิ่งนี้
คือ เมื่อ เรารู้แจ้งในวิชาแล้ว(อริยสัจความจริง)
เราย่อมรู้ว่าทุกข์เกิดมาเพราะอะไรเป็นเหตุให้เกิด
ดังนั้นเราจะดับเราก็ต้องไล่ดับมาทีละขั้น
ตามที่พระศษสดาได้ทรงสอนเอาไว้
คือเมื่อสังขาร ดับ วิญาณก็ดับเพราะสัตว์ที่รู้วิชาแล้วย่อมถอนความเป็นตัวตนออกจากวิญญาณได้ ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวเรา วิญานเป็นเพียงธาตุรับรู้ตามธรรมชาติ
เมื่อวิญญาณดับ
นามรูป และสิ่งต่างๆก็ดับไล่ลงมาจนไม่เหลือซึ่งแห่งภพชาติใหม่ที่จะเกิดได้สัตว์นั้นจึงหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานเพราะความถอนอุปาทานออกจากระบบ นี้ออกไปได้นั่นเอง
ตามหัวข้อ
สมุทัย และ นิโรธนั้น เราจะเห็นว่า มันคือกฏอิทัปจยตา ที่ทุกสิ่งอาศัยกันในการเกิดและการดับ เมื่อสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด สิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ นั่นเอง นี้คือกฏที่เป็นความจริงของโลก และจักวาลนี้
๔. มรรค
การปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์
(กรรมไม่ดำไม่ขาว)
ตามที่เราเรียนมามรรค มีแปดข้อ มรรคมีองค์แปดนั่นเอง
นี้คือหนทางสายกลางที่พระศาสดาทรงค้นพบและเป็นหนทางวิธีเดียวที่กระทำแล้วเข้าถึงนิพพานได้ พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า ทำกรรมดำได้รับผลวิบากกรรมดำ
ทำกรรมขาวได้รับผลวิบากขาว แลถ้าทำกรรมไม่ดำไม่ขาวก็ได้รับผลไม่ดำไม่ขาว
ดังนั้นในมรรคแปดคือหนทาง ที่ปฏิบัติตามแล้วเป็นไปซึ่งความดับไม่เหลือแห่งกรรมมีอะไบ้าง
๑.สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
๒.สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
๓.สัมมาวาจา วาจาชอบ
๔.สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
๕.สัมมาอาชีวะ อาชีวะชอบ
๖.สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ
๗.สัมมาสติ ความดำริชอบ
๘.สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ
ตามภาพนี้คือคำอธิบายมรรคต่างๆจากพระพุทธองค์
นี้คือสัจความจริงของโลกที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบและประกาศเพื่อช่วยเหลือสัตว์ผู้หลงในอวิชาให้รู้แจ้งในวิชาและปฏิบัติตาม
เราจะเรียกมรรคแปดว่าวิธีแก้กรรมก็ได้เพราะ มรรคแปดเป็นกรรมไม่ดำไม่ขาว
ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น นั่นเอง