ยุครุ่งเรืองสุดท้ายของมองโกล...กุบไลข่าน
(รูป คูบิไล หรือ กุบไลข่าน)
กว่าจักรวรรดิมองโกลจะสงบอีกครั้งคือยุคของข่านสูงสุดรุ่นที่ 5 คือ คูบิไล หรือกุบไลข่าน หลานของเจงกิสข่าน เมื่อปราบพี่น้องร่วมสายเลือดเรียบร้อยแล้วกุบไลข่านก็รุกรานแผ่นดินจีนต่อไปจนผนวกแผ่นดินจีนทั้งหมดแล้วสถาปนาตัวเองเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หยวน การขยายอาณาเขตของจักรวรรดิมองโกลจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่เนื่องจากกุบไขข่านอยู่แต่ในแผ่นดินจีนมาตลอดชีวิตจึงแสดงตัวเป็นคนจีนจ๋าถึงขั้นย้ายเมืองหลวงคือ คาราคอรัม มาปักกิ่งทำให้ข่านท่านอื่นๆรับไม่ได้ การขยายดินแดนด้านตะวันตกจึงเกิดชะงัก และเรื้อรังไปด้วยสงครามกลางเมืองแต่ด้านตะวันออกยังขยายต่อไปได้คือ
(รูป การเดินทัพเข้าเวียตนาม ของมองโกล)
บุกเวียตนาม
มองโกลส่งทูตมาอาณาจักรอันนัม(เวียตนามโบราณ)พร้อมสั่งกษัตริย์เวียตนามให้เดินทางมาเข้าเฝ้ากษัตริย์เวียตนามกริ้วมากจนสั่งตัดหัวฑูตมองโกลทั้งหมด!!สงครามจึงเริ่มขึ้น...
ปกติทหารมองโกลอยู่แต่ที่หนาวเย็นตลอดแม้กระทั่งเวลาควบม้าออกจากเต๊นต้องเอาเนยมาทาตัวก่อน เพื่อกันผิวแตกแต่เมื่อกองทัพมองโกลบุกเข้าอันนัม โดยต้องเจอกับอากาศร้อนแล้ง และโรคระบาดทำให้ ทหารเจ็บป่วยเป็นอันมากและการซุ่มโจมตีแบบกองโจร และวางกับดักตลอดเวลา ทำให้ทหารมองโกลเสียหายอย่างหนักจนต้องถอนทัพ หลังพยายามอยู่ 2ครั้ง แต่ท้ายสุดกษัตริย์อันนัมเลือกถวาย บรรณาการเพื่อป้องกันไม่ให้ กองทัพมองโกล กรีฑาทัพมาบุกซ้ำ และกุบไลข่านก็พอใจและไม่มีการเดินทัพเข้ารุกรานเวียตนามอีก
บุกพม่า
กุบไลข่าน ส่งทูตไปบอกกษัตริย์ของพุกาม(พม่าโบราณ)ชื่อนราธิปัต ให้ยอมสวามิภักดิ์ แต่กษัตริย์พม่าซึ่งเพิ่งปราบปรามชนกลุ่มน้อยในประเทศสำเร็จได้หลงตัวเองว่าตัวเองคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยความอวดดี กษัตริย์พุกามจึงสั่ง ตัดหัวทูตมองโกลทั้งหมด
มองโกลต้องส่งแม่ทัพชื่อ ซายิด อัล จัล ผู้ปกครองมณฑลยูนานส่งทัพเข้าปราบกองทัพพม่าใช้ช้างศึกเป็นกำลังหลักกว่า 3,000 เชือก ซึ่งถ้าเทียบแล้ว กองทัพมองโกลเสียเปรียบ3:1 ตอนแรกม้าของมองโกลหวาดกลัวช้างของพม่าพวกมองโกลจึงลงจากม้าแล้วล่อช้างของพม่าให้แตกกระจายแล้วระดมยิงด้วยธนูเมื่อควาญช้างเสียชีวิต ช้างจึงคลุ้มคลั่งไร้ทิศทาง พวกมองโกลจึงชนะโดยง่าย พวกมองโกลบุกต่อไปถึงแม่น้ำอิรวดี แล้วประกาศให้พม่าเป็นมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิมองโกล ส่วนกษัตริย์พุกาม ได้หนีไปซ่อนตัวแล้วถูกน้องชายตัวเองวางยาพิษภายหลัง..
บุกอินโดนีเซีย
กุบไลข่านส่งทูตไปบอกกษัตริย์ศรีวิชัยให้ยอมสวามิภักดิ์แต่ทูตมองโกลกลับถูกเหล็กร้อนประทับหน้าจนเสียโฉมแล้วไล่กลับมองโกลจึงส่งทับเรือพร้อมทหาร 20,000 นายเข้าปราบ ตอนนั้นจักรวรรดิศรีวิชัยอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองเจ้าชายวิชัยหลอกใช้มองโกลให้ต่อสู้กับกบฏแลกกับการยอมสวามิภักดิ์ แต่ท้ายสุดเมื่อสงครามกลางเมืองจบ ทหารมองโกลถูกลอบเผาเรือทั้งหมดและถูกโจมตีกลางวงล้อมในเกาะที่ห่างไกลจนพินาศทั้งกองทัพ เมื่อกองทัพพ่ายกลับมากุบไลข่านสวรรคตพอดี จึงไม่มีการส่งทัพไปยุ่งกับ อาณาจักรศรีวิชัยอีกเลย
บุกญี่ปุ่น
หลังพิชิตเกาหลีได้มีความพยายามบุกญี่ปุ่น 2ครั้งโดย มองโกลใช้คนคุมเรือและกะลาสีเป็นคนเกาหลีในการบุกครั้งแรก ทหารมองโกลสามารถ ยึดเกาะ โคโมตะ กับเกาะไอคิได้ โดยกองทัพพันธมิตรโชกุนที่หยุดการห่ำหั่นกันเองเพื่อมาปกป้องแผ่นดินญี่ปุ่นต่างตกตะลึงกับรูปแบบที่สุดพิสดารของทัพม้ามองโกล จนทหารมองโกลสามารถยึดหัวหาดแผ่นดินใหญ่ได้ที่ หาด ฮากาตะ กองทัพซามูไรที่มาตั้งขบวนรอต่างถูกทำลายแตกพ่ายในเวลาสั้นๆ แต่แล้ว... อยู่ๆเมฆฝนตั้งตั้งเค้า กะลาสีเกาหลีบอกว่าต้องรีบนำเรือ ออกทะเลไม่งั้นเรือจะถูกซัดแตกในอ่าวนี้ทั้งหมดแม้จะไม่เต็มใจแต่ทหารมองโกลจำต้องถอย ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก พวกซามูไรจึงนำกำลังที่เหลือตีท้ายขบวนทหารมองโกลอย่างเมามัน แล้วพายุไต้ฝุ่นก็มาถึงเรือหลายลำได้อับปางในอ่าวเกือบหมดจนทหารมองโกลจำต้องถอยกลับเพราะกำลังรบเหลือน้อย
(รูป เส้นทางการล่าถอยของมองโกล หลังการบุกครั้งแรก)
ในการบุกครั้งที่ 2 ทหารมองโกลไม่ทันได้ยกพลขึ้นบกแต่ถูกพายุไต้ฝุ่นกระหน่ำจนเรือแตกกลางทางหลังจากครั้งนี้ มองโกลก็ไม่คิดบุกญี่ปุ่นอีกเลย
(เป็นเรื่องน่าสังเกตว่า ทำไมกะลาสีชาวเกาหลีจึงนำทหารมองโกลออกไปแต่ช่วงมรสุม? บางทีพวกกะลาสีเกาหลีพวกนี้อาจเกลียดมองโกลมากถึงขั้นขอแค่ลากทหารมองโกลไปตายได้ถึงตัวเองจะตายด้วยก็ไม่เสียดาย?)
สยาม
ในสมัยโอโตไกอาณาจักรน่านเจ้า(ไทยโบราณ)ถูกมองโกลบุกจนหายไปจากแผนที่โลก คนไทยจำต้องหนีลงใต้และยึดอาณาจักรเขมรไว้ได้
เมื่อทูตของมองโกลมาถึงสยาม พ่อขุนรามคำแหงจึงส่งบรรณาการยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี
(รูป กุบไลข่านเมื่อวาดลายเส้นแบบจีน)
ในช่วงบั้นปลายของ กุบไลข่านเนื่องจากมองโกลมองพวกคนจีนเป็นแค่คนชั้นต่ำ แต่กุบไลข่านกลับรับวัฒนธรรมจีนทุกอย่างเต็มที่ และยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตดั้งเดิมที่อยู่บนท้องทุ่งย้ายเข้ามาอยู่เมืองคือ ปักกิ่ง พยายามเอาลัทธิขงจื้อมาใช้ทำให้ชาวมองโกลต่อต้านอย่างหนักในบั้นปลายกุบไขข่านต้องรบกับกบฏมองโกลด้วยกันเองไม่หยุดหย่อน เมื่อสิ้นสมัยกุบไขข่าน จักรวรรดิมองโกลจึงค่อยๆแตกสลายไปในที่สุด
(รูป จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง ผู้ปลดปล่อยจีนจากการปกครองของมองโกล แต่ราชวงศ์หมิงกลับปกครองจีนได้โหดเหี้ยมยิ่งกว่ามองโกลซะอีก)
โดยจีนประกาศเอกราชจากมองโกลหลังถูกยึดทั้งประเทศมา90 ปีกองทัพราชวงศ์หมิงล้างแค้นด้วยการบุกไปเผาเมืองคาราคอรัม ทำให้เมืองหลวงจักรวรรดิที่ยิ่งใหญที่สุดในโลกหายไปนับจากบัดนั้น
(รูป ตีมูร์โหลนของเจงกิสข่าน ผู้พิชิตอินเดีย)
ส่วนรัฐมองโกลอื่นๆก็ดูจะเลิกช่วยเหลือซึ่งกันละกันแถมยังจะหาเรื่องรบกันเรื่อยๆซะอีก พวกที่อยู่ในตะวันออกกลางก็หันไปรับอิสลามหมดในบรรดาลูกหลานของเจงกิสข่านที่หันไปรับอิสลามที่เก่งกว่าคนอื่นคือ ตีมูร์ซึ่งพิชิตอินเดียทั้งประเทศได้ใน ศตที่ 14 และปกครองต่อเนื่องถึงศตที่ 18
(รูป อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้ ผู้ปลดปล่อยรัสเซีย)
ส่วนที่รัสเซีย อเล็กวานเดอร์ เนฟสกี้ก็ประกาศเอกราชจากมองโกลได้หลังถูกปกครองอยู่ 300 ปี พวกมองโกลที่เคยยึดครองยุโรปก็มีหันไปนับถืออิสลามปัจจุบันก็ลงหลักปักฐานอยู่รัฐเซียตอนใต้คือรัฐตาร์ตาร์สถาน แต่ตามหลักฐานที่พบจาก DNA พบว่าลูกหลานที่หลงเหลือส่วนใหญ่ของเจงกิสข่านอยู่ในเอเชียกลางโดยเฉพาะคาซัคสถาน ส่วนที่นับถือคริสต์ก็กลืนกลายเป็นฝรั่งรัสเซียไป
ส่วนอดีตพวกมองโกลที่เคยอยู่ในจีนก็หันไปนับถือศาสนาพุทธแบบธิเบตและอยู่อย่างสงบสุข สันโดษในแผ่นดินตนเองตราบจนทุกวันนี้