เมื่อเด็กมหาลัยบนยอดดอย ตัดสินใจพาตัวเองไปเผชิญอุปสรรคตัวคนเดียว 6 เดือนในแดนใต้
-- กระทู้มีความยาว ไม่เหมาะสำหรับคนไทยที่นิสัยอ่านหนังสือ 28 นาทีต่อวัน เจ้าของเรื่องได้แบ่งการเขียนเป็นตอนๆ ให้ง่ายต่อการอ่าน --
ย้อนไปเมื่อปี 2556 ผมกลับบ้านยายที่จังหวัดนครศรีธรรมราชช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ปกติ วันหนึ่งขณะที่เรากินเลี้ยงฉลองรวมญาติวันหยุดสงกรานต์ น้าก็ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่แกเคยไปทำงานที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ น้าผมแกเคยเป็นตั้งแต่เด็กเสิร์ฟ เด็กรับออเดอร์ จนไปถึงกุ้กในร้านอาหาร จนเกิดเหตุการณ์สึนามิขึ้นในปี 2547 น้าจึงเลิกทำงานตรงนั้นไป ขึ้นแผ่นดินใหญ่มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ครับ น้าเล่าว่า “ งานเนี่ยดี เงินดี ภาษาก็ได้พัฒนา” นี่ถือว่าจุดประกายความเป้าหมายอันแรงกล้าของผมเลยล่ะครับ 55555 ซึ่งประจวบกับในปีถัดมาหรือปี 2557 ทางมหาลัยมีการเลื่อนปิดเทอม เป็น 6 เดือน เนื่องด้วยการเปิดอาเซียนในไม่กี่ปีข้างหน้า ผมจึงสนใจที่อยากจะลองทำงานหาประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตดู หลังจากกลับมาเรียนที่มหาลัย ผมเริ่มวางแผน หาเพื่อนผู้ร่วมผจญอุปสรรคกัน วางแผนจองตั๋วเครื่องบิน ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไปได้สวย แต่จนแล้วจนเล่า มีคนร่วมพร้อมที่จะไปผจญอุปสรรคกับผมเพียงคนเดียวเท่านั้นครับ 5555555555 TT นั่นคือสายรหัสผม พอดีว่าสายรหัสผมคนนี้มีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคใต้อยู่แล้ว จึงสะดวกที่สุดครับ ผมได้แต่เฝ้ารอวันปิดเทอมที่จะถึง ผมเฝ้านับวันเวลา วาดฝันไปต่างๆนานา ทุกคืนก่อนนอนก็ชอบจินตนาการถึงชีวิตที่อยู่ที่นั่น
แต่ใครจะไปรู้ครับว่าหลังจากนี้. . .
โรงแรมที่สอง เป็นโรงแรม 5 ดาวเหมือนกันครับ แต่โรงแรมนี้เฟลหน่อยๆ พวกเราเดินเข้าไปในโรงแรมผ่านหน้าป้อมยาม ลุงยามถามว่า “มาทำอะไรครับ” พวกผม “มาสมัครงานครับ” เหมือนเดิมครับ ลุงยามให้บัตร Visitor 2 ใบ และเราก็เดินเข้าไปในห้อง HR พี่เค้าก็ถามเลยครับ มาสมัครงานเหรอ ตำแหน่งอะไร มาทำพาร์ทไทม์หรือเต็มเวลา พวกผมก็ตอบพาร์ทไทม์ พี่ HR. : ไม่รับเด็กพาร์ทไทม์นะครับ พวกผม “…ครับ” และเราก็หงอยๆเดินออกมา พอคืนบัตรที่ลุงยาม
ลุงยามพูดว่า : ผมไม่อยากบอกหรอกว่าเค้าไม่รับ เดี๋ยวคุณหาว่าผมปิดกั้นคุณ
พวกผม : . . . ครับ (ในใจนี่ ขอบคุณครับลุง หึหึ เสียเวลามั้ยล่ะ)
พอโรงแรมที่ 2 ผ่านไป ผมก็เริ่มหาโรงแรมที่ 3 -4 ต่อ ก็เหมือนๆเดิมครับ ให้เข้าไปเขียนใบสมัครที่ยาว 3-4 หน้า ตอนนั้นก็ร้อนมาก เหงื่อนี่ชุ่มเลยล่ะครับ ทะเลช่วงเดือนมีนานี่โหดจริงๆ พอเขียนเสร็จนำไปยื่น ก็ได้รับฟังประโยคเดิมๆคลาสสิค
“เดี๋ยวพี่จะติดต่อไปนะค่ะ น้องน่าจะได้นะ เพราะมีคนออก” เรียกได้ว่าให้ความหวังผมมากเลยล่ะครับ
โดยที่ผมไม่รู้เลย ว่าหลังจากนี้มันจะลำบากแค่ไหน ผมถึงกับต้องเสียน้ำตา
ผมเฝ้าแต่รอ
3 วัน ผ่านไป
. . . มันอาจติดเสาร์อาทิตย์มั้ง
7 วันผ่านไป
. . . เค้าอาจไม่ว่างโทรมา
15 วันผ่านไป
. . . คงไม่โทรมาแล้วล่ะ ถอดใจเถอะ
ตอนนั้นผมยอมรับครับ ผมรู้สึกเคว้งคว้างมาก พยายามคิดว่าเราทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า ผมรอด้วยความหวังอันน้อยนิดที่บ้านป้า วันวันผ่านไปก็ ช่วยน้าที่ร้านอาหารไป เอาแต่คิดเรื่องนี้ ว่าจะเอาไงต่อดีวะ น้าก็ไม่มีเวลาว่างพาไปเร่สมัครอีก มีอยู่วันหนึ่งซึ่งตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ซึ่งร้านน้าหยุด ผมก็นอนเล่นดูทีวีอยู่ที่บ้านป้าครับ ช่วงบ่ายๆ มีสายนึงโทรเข้ามาที่โทรศัพท์ผม ผมตกใจลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปรากฏว่า เป็นเบอร์ของแม่นั่นเอง ผมก็กดรับทันที
แม่ : ทำอะไรอยู่ลูก
ผม : นอนดูทีวีไปเรื่อยอะแม่ ว่างๆ
แม่ : อ่อ เรื่องงานเป็นยังไงบ้าง ได้หรือยัง เค้าติดต่อมามั้ย
ผม : ไม่ติดต่อมาเลยแม่ คงไม่ได้แล้วมั้ง
แม่ : ถ้าเค้าไม่รับก็ไม่เป็นไรลูก เหนื่อยมั้ย กลับมาอยู่บ้านเถอะ เดี๋ยวแม่หางานให้ทำ อยากได้อะไรเหรอ บอกแม่นะ เดี๋ยวแม่หาเงินให้. . .
ตอนนั้นผมน้ำตาไหลโดยอัตโนมัติเลยครับ ทำไมแค่คำว่า เหนื่อยมั้ย กลับบ้านเถอะลูก มันทำให้ผมพูดไม่ออก แต่สิ่งที่ออกมาแทนคือน้ำตา ผมร้องโฮเลยครับตอนนั้น ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนี้มานานมาก แต่ผมพยายามร้องแบบไม่มีเสียงกลัวแม่ได้ยิน แต่แม่คงรู้แหละครับ เพราะผมเงียบไปพักนึงเพราะพูดไม่ออก เพราะพยายามกลั้นน้ำตา TT
ผม: แม่. . . . . . . . . . . ผมแบกความหวังมานะแม่ ผมจะล้มเลิกมันง่ายๆไม่ได้
แม่ : . . . . . . . . . . . งั้น ทำงานช่วยน้ากับป้าไปก่อนนะ
ผม : . . . . . . . . . . . ครับ
จริงๆ บทสนทนายาวกว่านี้มากครับ ผมนี่ตาบวมเลย ไม่เคยเป็นอะไรแบบนี้มานานมาก
หลังจากที่แม่วางสายไป ผมก็นอนน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงเลยครับ มันเหนื่อย มันท้อใจ แต่มันก็มีความหวัง เหมือนผมต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ผมพูด ผมต้องทำสิ่งที่ผมตั้งใจให้สำเร็จให้ได้ ผมต้องขอบคุณผู้หญิงคนนึง ที่คอยห่วงใยผมตลอด ผมได้รู้วันนั้นแหละครับ ไม่ว่าจะยังไง พ่อแม่นี่แหละครับ ที่เคียงข้างเราเสมอ พ่อแม่นี่แหละครับที่คอยเป็นกำลังใจให้เรา หลังจากวันนั้นผมเหมือนมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง วางแผนเดินทางไปสมัครงานคนเดียว ทำทุกอย่างคนเดียว ผมกะสู้ให้มันถึงที่สุด ด้วยตัวของผมเอง ผลจะเป็นไงก็ช่างล่ะครับ ในเมื่อผมพยายามที่สุดแล้ว
พอไปถึงด่านแรกคือลุงยาม
ผม : มาสมัครงานครับผม
ลุงยาม : อ่อ HR เค้ายังไม่มาเลย ไปเดินเล่นก่อนก็ได้ค่อยมาใหม่ซัก 9-10 โมง
ผมก็ครับๆ แล้วเดินเล่นไปเรื่อยๆหน้าหาดอ่าวนาง
เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ผมก็ได้กลับมาที่โรงแรม ตรงดิ่งไปที่รีเซบชั่น
พี่รีเซบชั่น : มาสมัครตำแหน่งอะไรค่ะ
ผม : เด็กเสิร์ฟครับ
พี่รีเซบชั่น : งั้นเขียนใบสมัครได้เลยนะ
ผม: เขียนใบสมัครเสร็จแล้วมายื่น
พี่รีเซบชั่นจึงพาเดินไปหาพี่ผู้จัดการร้านอาหารของโรงแรม
พี่ผจก.ร้านอาหาร: คือตอนนี้ที่ร้านเราพนักงานเต็มแล้ว แต่มีอีกสาขานึงอยุ่ไม่ไกลที่นี่ เป็นกะดึกเริ่มงาน 4 โมงเย็นเลิกประมาณ ตี2 อยากทำมั้ย
ผม ผมก็คิดว่ามันคงลำบากแน่เลย อีกอย่างที่พักก็ยังไม่ได้หา)
ซักพักระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่ พี่เค้าก็พูดขึ้นมาว่า หรือจะลองทำรีเซบชั่น เพราะคนยังขาดอยู่ตอนนี้
ผม : ไม่รอช้าครับ ตอบกลับไปว่า ลองก่อนกะได้ครับ
แล้วพี่รีเซบชั่นก็พาผมเดินกลับไปที่ส่วนหน้า แล้วให้ไปนั่งรอ เพื่อรอพี่ผู้จัดการมาสัมภาษณ์
(ในใจ. . ห้ะ ? นี่กูได้สัมภาษณ์ ฝันไปรึเปล่า นี่ครั้งแรกเลยของการสัมภาษณ์งาน)
ผมนั่งรอซักพักเล่นไอพอดไปเรื่อย และไม่ลืมที่จะเช็คอิน 55555 พี่เค้าก็เดินตรงดิ่งมาหาผม พี่ผู้จัดการเป็นคนสวยเลยล่ะครับ หุ่นดี ดูเป็นสาวเก่งมาก เฟิรส์อิมเพรสชั่นเลยล่ะครับ 5555555 ผมเดาๆว่าพี่เค้าน่าจะ 30 ต้นๆ
ผม : สวัสดีครับ
พี่ผจก : สวัสดีจ้า มาสมัครตำแหน่งรีเซบชั่นใช่มั้ย
ผม : ครับ
พี่ผจก : พูดภาษาอังกฤษได้ป่าวเรา
ผม : ได้นิดหน่อยครับ
พี่ผจก : แค่นิดหน่อยไม่ได้นะ แขก 90 % เป็นต่างชาติ
แต่พี่เค้าก็พูดติดตลกๆยิ้มๆ แต่ผมนี่เกร็งมากเลยครับ เอาแล้วสิ ซวยแล้วสิกู มันใช่เวลามาถ่อมตัวมั้ย TT
ผม : แหะๆ
พี่ผจก : ไหนลองแนะนำตัวเอง พูดอะไรก็ได้ให้พี่อยากรับเราเข้าทำงานเป็นภาษาอังกฤษซิ
ผม : ก็ร่ายไปครับคิดอะไรออก ตอนนั้นพูดหมด พยายามไม่ติดขัด ให้เราดูโปรมากที่สุด 5555555555
พี่ ผจก. : . . . อื้ม สำเนียงพอใช้ได้ พอรู้ศัพท์โรงแรมมั้ย
ผม : ด้วยความซื่อๆตรงๆ ก็ไม่รู้เท่าไหร่ครับ
พี่ผจก. : Do you have room available? แปลว่าอะไร
ผม : คุณมีห้องว่างมั้ยครับ
พี่ ผจก.: อื้ม พักอยู่ที่ไหนเนี่ย
ผม : อยู่กับน้าครับ อยู่อำเภอเหนือคลอง ถ้าได้ก็เดี๋ยวให้น้าหาที่พักให้ครับ น้ามีคนรู้จักอยู่ที่นี่
ตอนนั้นมั่วๆไป อยากได้งานโว้ย 55555555555555555555555
พี่ผจก.: อื้มสะดวกเริ่มงานวันไหนดี
ตอนนั้นผมนี่นิ่งไปเลยครับ เฮ้ย สำเร็จละเว้ย ทำได้ละเว้ย ไม่เสียเปล่าละเว้ย ในใจผมนี่ดีใจมาก เหมือนว่ามีคนจุดพลุในหัวผม 5555555555555 ฟ้าคงเห็นความพยายามของผม เห็นความตั้งใจของผมแล้วว่ะ นี่คือวันของผมจริงๆครับ สมัครโรงแรมแรก ได้เฉยเลย โอ้ววววว อยากจะลงไปกระโดดโลดเต้นหน้าหาดเสียจริงๆ
หลังจากตกลงวันเวลากันเป็นที่เรียบร้อย ผมก็เดินออกจากโรงแรม ยิ้มให้ทุกคนที่เจอ จนไปถึงยามหน้าโรงแรม 5555555555555555555 ผมนี่กดโทรหาเพื่อประกาศความสำเร็จของผม ทุกคนที่ผมนึกได้ ไม่ว่า จะเป็น แม่ น้า พี่ แล้วด้วยความที่เวลายังว่าง ผมจึงลองไปสมัครอีกโรงแรมกันเหนียว แล้วก็เหมือนๆเดิมครับ เขียนใบสมัคร ยื่น เดี๋ยวจะติดต่อกลับไปค่ะ -_- พอเสร็จผมนี่เข้าห้องน้ำที่โรงแรมนั้น เปลี่ยนเป็นกางเกงยืนสั้น รองเท้าแตะเดินออกจากโรงแรม รีเซบชั่นที่นั่นมองกันด้วยสายตางุนงงเลยครับ 555555555555555 ตอนนั้นผมโล่งมากจริงๆ เหมือนสิ่งที่หนักๆมันได้หลุดออกไปแล้ว ผมเดินเล่นทอดน่องที่หาด แวะกินไอติม สบายใจ และกลับบ้านป้า
.....................................................โดยหารู้ไม่ผมต้องเจอกับอะไรอีกหลังจากนี้
นี่คือโฉมหน้าแก็งค์แมวเหมียวครับ ส่วนมากเป็นแมวเปอร์เซีย น่าจะเป็นของคนที่พักแถวนั้นครับ
เอาล่ะครับ วันแรกของการทำงานก็มาถึง พี่เค้านัดผมให้มาทำงานตอน 6 โมงครับ ผมนี่ฟิตมาก มาตั้งแต่ตี 5 ครับ พอไปถึงเงียบกริบ 555555555555 ไร้ซึ้งสิ่งเคลื่อนไหว มีเพียงลุงยามและแม่บ้านที่เตรียมอาหารเช้า ผมก็ถามลุงยาม ลุงยามบอก ไอ้หนุ่ม เค้ายังไม่มาเลย ทำไมรีบมาจัง ผมนี่ -_____________- ครับๆนั่งรอก็ได้ 555555
ผมต้องบอกก่อนว่าด้วยความที่โรงแรมนี้เป็นโรงแรมขนาดเล็ก มีประมาณ 30 ห้องครับ ดังนั้น จึงมีแค่กะเช้ากับบ่าย นั่นคือ กะเช้า 6.00-15.00 และกะบ่าย 14.00-23.00 เท่านั้นครับ
คนถัดมาที่สอนผมคือพี่ผจก. ที่สัมภาษณ์ผม คนนี้มาแนวโหดๆหน่อยๆ เวลามีเมลจองโรงแรมมา เค้าก็ให้ผมแปลให้เค้าฟัง TT ผมก็แปลตามความรู้เท่าที่มี 55555 ให้ตอบเมลลูกค้า ผมไม่คิดเลยว่าวันนึงผมจะมีโอกาสตอบเมลภาษาอังกฤษที่ลูกค้าส่งมาจากต่างประเทศ 5555 ก็พี่เค้าก็ช่วยอยู่ข้างๆนั่นแหละครับ พอลูกค้ามาถามอะไร ก็ให้ผมเป็นคนตอบ ให้ผมเดินไปส่งลูกค้าที่ห้อง ผมก็อธิบายลูกค้าไป พี่เค้าก็ยืนคุม 555555 สนุกดีครับช่วงแรกๆ เหมือนว่าต้องขุดสกิลทุกอย่างออกมา บางทีลูกค้าฝรั่งก็งงๆกับเรา 5555555555 แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีๆ ไม่นานก็เริ่มได้ทิปแล้วครับ
1.แขกอเมริกัน
ที่ผมพบมาส่วนมาก ย้ำนะครับว่าส่วนมาก! พวกขี้เมา เรื้อน ถ่อย ก็มี -_- แขกอเมริกันจะเป็นแขกชั้นดีครับ ชั้นดีนี่คือ ไม่เรื่องมาก สบายๆ ดูตื่นเต้นทุกสิ่งอย่าง แม้ว่าเราจะทำเรื่องอะไรเล็กๆน้อยๆให้เค้า เค้าจะซาบซึ้งรู้สึกขอบคุณเราปานเรา ช่วยชีวิตเค้าจากหน้าผาเลยล่ะครับ 555555555555 เคยมีแขกฮันนีมูนคู่นึงชาวอเมริกัน มาพักที่โรงแรม ทั้งคู่ดูแฮปปี้ตั้งแต่ลากกระเป๋าเข้าโรงแรมมาเลยครับ ผมช่วยเหลือ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้พวกเค้า พวกเค้าชอบมาก ในไม่กี่วันผ่านไปหลังจากเช็คเอาท์ พวกเค้าก็กลับมาอีก เค้าบอกประทับใจโรงแรมและสตาฟท์ที่นี่มาก ผมนี่หน้าบานเลยครับ 555555555555555
2. แขกโซนยุโรป เนเธอร์แลนด์ เช็ค สวีเดน อิตาลี ฝรั่งเศส
แขกโซนยุโรปจะค่อนข้างหยิ่งและเหยียดหน่อยครับ และส่วนมากจะไม่พูดภาษาอังกฤษ ถึงพูดได้ก็สำเนียงฟังยาก ไม่ต่างกับคนไทยเราเท่าไหร่ ประสบการณ์ที่ผมจำได้แม่นคือ มีกลุ่มนักท่องเที่ยวไอริชกลุ่มนึงมาพักที่โรงแรม เป็นกลุ่มวัยรุ่นน่ะครับ พวกเค้าเข้ามาเช็คอิน และยืนนินทาผมหน้าเคาน์เตอร์เลย พูดกันประมาณว่า ไอ้หมอนี่ ฟังไม่รู้เรื่องหรอก คนที่นี่ภาษาอังกฤษห่วย แล้วก็ขำๆกันอะครับ แต่ผมก็เงียบนะครับ พลางกัดฟันไปด้วย หื้มมมมมมมมมมมมมมมมมม! 5555555 แล้วเวลาเราแนะนำอะไรเค้าไป พวกนี้ก็จะไม่สนใจ แบบรีบๆพูดให้จบรำคาญอะไรแบบนี้ ดีครับดี 555555555555555
3.แขกเยอรมัน
อันนี้ผมขอแยกออกจากโซนยุโรปนะครับ เพราะคนชาติเยอรมันเป็นอะไรที่เฉพาะตัวมาก พวกเค้าจะชื่นชอบคนไทยมาก ประเด็นคือกระเป๋าหนักครับ และไม่หนักอย่างเดียว รั่วได้ง่ายมากด้วย 55555555555555 ผมเคยพาแขกเยอรมันไปดูห้อง แค่นั้นก็ได้ทิปมาหนามากครับ เล่นเอาผมตกใจเลย ทำแค่นี้ให้เยอะมาก เสร็จโก๋ครับ
4. แขกตะวันออกกลาง
แขกตะวันออกกลาง ขึ้นชื่อเรื่องความรวยอยู่แล้วครับ ผมเคยเจอแขกมาจากดูไบคนนึง รวยก็จริงครับ แต่ท่านเล่นเมาทั้งวัน ป่วนร้านอาหาร กระชากคอยาม วุ่นวายนักร้องในร้านอาหาร เล่นเอาปวดขมับกันทั้งโรงแรมครับ แต่ที่ว่าโรงแรมพยายามทนเพราะว่า พี่ท่านกระเป๋าหนักมากครับ เล่นใช้จ่ายวันละ 5000 ที่ไหนจะไม่ชอบครับ อ้อ พี่ท่านอยู่ 1 เดือนครับผม คิดดูรับทรัพย์กันสบายเลย แต่ก็ต้องทนพฤติกรรมแกหน่อย เหอะๆ แต่ผมไม่ได้ทริปเลย พี่ท่านไม่ค่อยชอบผมซักเท่าไหร่ ไม่รู้ไปทำไรให้ TT อาจเป็นเพราะผมเรียกเก็บเงินพี่ทันทีเดียวมั้ง เพราะทางโรงแรมไม่มีนโยบายมัดจำครับ ต้องจ่ายให้หมดทีเดียว
5. แขกอังกฤษ
ชาตินี้ผมประทับใจครับ ส่วนมากจะนิสัยดี น่ารัก พูดจาฟังง่ายสุด 5555555555 ยกตัวอย่างที่ปวดหัวสุดของชาตินี้นะครับ คือ แขกผัวเมียวัยรุ่นคู่นึง มาพักที่โรงแรม วันนั้นผมนั่งทำงานปกติ อยู่ๆได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ดดังมาก และวิ่งออกมาผ่านหน้าผมไปเร็วมากผมก็ตกใจสิครับ ค้นหาประวัติได้ความว่ามากับแฟน 2 คน มาพักประมาณ 1 สัปดาห์ครับ ซักพักผู้ชายก็วิ่งตามออกไป และวันนั้นก็ผ่านไปครับ วันต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จาก เธอ เธอบอกว่า ไอเข้าห้องไม่ได้ แฟนไอเอากุญแจไป ช่วยมาไขให้หน่อย ผมก็ไขให้เข้าไปปกติ เหตุการณ์ยังไม่พีคครับ พอค่ำๆประมาณ 3 ทุ่ม ผมได้รับโทรศัพท์มาจากเธอคนเดิมอีก คราวนี้เสียงเธอสั่นๆครับ ถูกแล้วครับ เธอร้องไห้อยู่ ผมก็ถามว่า เป็นอะไร บอกไอได้นะ เค้าก็บอกให้ขึ้นมาดูไฟในห้องเค้าหน่อย เมื่อผมขึ้นไป เปิดประตู้เข้าไป ผมถึงกับอึ้งครับ เพราะสภาพในห้องเละเทะมาก คือเธอพักห้องมินิสวีทครับ ผ้าปูเตียงยับ หล่นพื้น เตียงเบี้ยว และสายไฟตัวคอนโทรลระบบไฟขาดกระเจิง ผมก็ดูๆให้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ ได้แต่บอกเธอว่า ต้องรอช่างมาซ่อมให้พรุ่งนี้ เธอก็ร้องไห้โฮเลยครับ ตอนนั้นแฟนเธอไม่อยู่ ผมก็ถามเธอว่าเป็นอะไร เธอก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แต่ร้องไห้หนักมาก 55555555 ผมก็โอเควะ งั้นตามใจ มีอะไรโทรมาละกัน บายยยยยย ผ่านไปอีกวัน อีกแล้วครับ คราวนี้ผมขึ้นไปพร้อมพี่จัดการ มีกำลังเสริม 5555 ตัวผู้หญิงนั่งกรี๊ดและร้องไห้อยู่หน้าห้อง แขกข้างๆก็แตกตื่นกันไปหมด ผมก็ขึ้นไปพี่ผจก.ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น คือทั้งคู่ทะเลาะกันน่ะครับ ด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบ แต่เจ้าตัวผู้หญิง ต้องการจะกลับประเทศ แต่ฝ่ายชายไม่ให้พาสปอร์ต ผมนี่ปวดหัวจัง ก็ไกลเกลี่ยกันไปกว่าจะเรียบร้อย ฝ่ายหญิงก็ร้องไห้อย่างเดียว ฝ่ายชายก็เถียงว่ายูบ้าอะไร 555555555555 ผมก็ได้แต่ใจเย็นยู ใจเย็น และแล้วต่างคนต่างแยกย้าย ฝ่ายชายไปพักโรงแรมอื่น ฝ่ายหญิงก็นอนที่เดิม เช้าวันต่อมา อยู่ๆทั้งคู่เดินมาด้วยกัน ยิ้มแย้ม และบอกผมว่า พวกเราดีกันแล้วนะ ขอโทษสำหรับเมื่อคืน และก็พากันเดินขึ้นห้องไป. . . . ผมนี่เงิบเลยครับ 5555555555555555555555 ไปปรับความเข้าใจกันยังไงวะนะ
6. แขกอินเดีย
แขกชาตินี้เป็นที่โด่งดังกันอยู่แล้วครับ ไม่ว่าจะเรื่องกลิ่น การสายหัวด้อกแด้ก และเรื่องสำเนียงที่ฟังยาก มาก มากกกกกกกกกกกกก ผมเคยเจอครอบครัวชาวอินเดียครอบครัวหนึ่ง มีตา ยาย แม่ แล้วก็ลูกสาววัยซน วันนึงขณะที่ผมนั่งทำงานของผมไป แม่บ้านก็เดินมาบอกว่า ช่วยบอกแขกห้องนี้ด้วยนะ ว่าห้ามทำอาหารในห้อง ผมก็รับทราบและโทรขึ้นไป ไม่มีผู้ใดรับ ผมเลยขึ้นไปบอกกับเค้า เค้าบอกว่าไม่ได้ทำ แค่ซื้ออุปกรณ์มา จะเอาไปทำหน้าชายหาด จ้ะ แต่ที่ห้ามทำอาหารในห้องนะจ๊ะนาย ถ้าทำโดนปรับแพงมากนะจ๊ะนาย 555555555 ตอนที่ผมเข้าไปในห้องที่ ผมแทบจะเป็นลมครับ คือพี่แกกลิ่นตีขึ้นจมูกจริงๆ คือมันฉุนจริงๆครับ ผมนี่รีบออกมาเลย ทนได้ไม่นาน 5555 ดึกๆวันนั้น ตาชาวอินเดีย ลงมาขอน้ำครับผม วอเตร้อ วอเตร้อ ผมก็ถามว่า อ้าว แม่บ้านใส่ให้แล้วนะ ไม่มีเหรอ ตาก็ส่ายหัวด้อกแด้ก ทำมือส่ายโบ๋เบ๋ ผมก็ให้ไป 2 ขวด และผมรู้สึกตงิดใจแปลกๆ ผมเลยตามขึ้นไปดู ปรากฏน้ำได้ครบแล้วครับ แต่ตาฟังภาษาอังกฤษไม่ออก มีเพียงลูกสาวแกเท่านั้นที่ฟังรู้เรื่อง ผมจึงบอกว่าแม่บ้านจะใส่ให้ตอนเช้าของทุกวันครับ ถ้าขอเพิ่มต้องเสียเงิน เหอะๆ ก็อือๆออๆกันไป ยังไม่จบครับ ก่อนวันที่พวกท่านๆจะเช็คเอาท์กันออกไป พี่แกเดินทาที่รีเซบชั่น พร้อมให้ผมจองแท็กซี่ให้เพื่อไปส่งสนามบิน พอผมถามว่าต้องการกี่โมง พี่ท่านบอก ตี4 . . . ห้ะ ตี4!! นี่จะไปไฟล์ทกี่โมงครับ ท่านตอบ 7 โมง โหยยย จะรีบไปไหน และอีกอย่างแท็กซี่ที่นี่ไม่ได้ 24 ชั่วโมงเหมือนกรุงเทพนะครับ เมื่อพวกท่านฟังดังนั้น พวกท่านก็หงุดหงิดอะไรไม่รู้ครับ บอกยกเลิกจองซะงั้น เหอะๆ เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะนาย (สายหัวด๊อกแด๊ก)
7.แขกจีน (อันนี้เด็ดมาก)
แขกจีนนี่เป็นแขกที่ปวดหัวมากครับ เป็นประเภทชอบสร้างความ ชห. คนจีนส่วนมากจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ครับ เวลาจะสื่อสารกับพวกเค้า วิธีที่เค้าใช้กันบ่อยมาคือ โปรแกรมแปลภาษา เค้ามักจะพิมพ์สิ่งที่เค้าต้องการบอกลงในมือถือ แล้วชูให้เราอ่าน แล้วคือโปรแกรมของพวกเค้าก็แปลแบบกูเกิ้ลทรานสเลทนั่นแหละ งงกันไปใหญ่ 5555555555555555 มีเคสนึงมาถามผมเรื่องทางไปถ้ำเสือ ผมก็ช่วยเต็มที่นะ แต่เราสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจริงๆ ครับ เค้าคงไม่ไหวเค้าเลยขอบคุณแล้วเดินจากไป 5555555 เรื่องเสียงนี่ขึ้นชื่อครับว่าดังมาก ตระโกนโหวกเหวกโวยวาย จนแขกฝรั่งทนไม่ไหว ต้องโทรให้ผมไปเตือนพวกแขกจีน ผมก็ขึ้นไปตามหน้าที่ ก็ได้แค่บอก สรุปพวกอี ก็ยังดังเหมือนเดิม สรุปโดนคอมเพลนหนักเลยครับ TT ยังไม่หมดแค่นั้นครับ พวกอีพาลูกหลาน ไปเล่นสระว่ายน้ำของโรงแรม ขึ้นจากสระอีไม่เช็ดตัวครับ อียกโขยงมาที่รีเซบชั่น น้ำก็หยดมาตามทาง ยาวไปถึงหน้าห้องอี คือไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าอีรู้วิธีการใช้ผ้าขนหนูมั้ย สงสารแม่บ้านมากจุดนั้น อ้อ แล้วอีเอาที่ตากผ้า มาตากหน้าห้องอีเลยครับ ไม่บิดด้วยครับ ตากทั้งแบบนั้นชั้นใน ชุดว่ายน้ำ ตากมันหน้าประตูห้องนั่นแหละ ผมนี่เงิบเลย ก็เข้าไปเตือนครับ แต่โชคยังดี อีปฏิบัติตามโดยไม่มีเงื่อนไข เหอะๆ -_-
8.แขกมาเลเซีย สิงค์โปร์
แขกสองชาตินี้จะเป็นชาติที่หัวหมอมากครับ คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ ชั้นรู้ดีที่สุด พวกพนักงานพวกนี้ไม่รู้อะไรหรอก แขกพวกนี้มักจองห้องสแตนดาร์ด แต่มักจะขออัพเกรทตลอด โดยอ้างว่า ชั้นมาที่นี่ทุกปีนะ ทำไมปีที่แล้วอัพเกรดให้ชั้น ทำไมปีนี้ไม่อัพเกรด บางคนก็มาเป็นสิบครับ แต่จอง 2 ห้อง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาในโรงแรมครับ ถ้าโดนจับได้ก็ซวยไป ถ้าไม่โดนจับได้ก็รอด แต่ผมสิครับซวย ผมนี่แหละครับโดนหักเงินเดือน TT บางทีจ่ายๆไปเถอะครับ สงสารพวกผมหน่อย พวกท่านจะได้นอนสบายๆกันด้วยไม่ต้องหลบซ่อน บางทีผมพูดยังไงก็ไม่ยอมจ่าย คงคิดว่าผมเป็นลูกจ้างชั้นผู้น้อย ให้เรียกบอสใหญ่มาคุย ได้เลยครับ ตามใจท่าน ผมโทรหาบอส พี่แกด่าเลยครับ ถ้ายูไม่จ่าย ไม่ยอมรับกฏของเราเชิญออก เด็ดขาดมาก ตามาเลย์ เงียบเลยครับ สรุปยอมจ่าย 55555555555555 สะใจ ยังมีอีกหลายเรื่องครับของคนชาติมาเลย์ สิงคโปร์ ต่อราคากันเก่งมาก ผมไม่ให้ ก็ยังตื้ออยู่นั่น อ้างเหตุผลนู้นนี่นั่นสารพัด จนผมเอียนแขกมาเลย์ สิงคโปร์ไปเลย 555555555555555555
วันที่ผมเฝ้ารอมันมานานมาก
วันที่ผมน่าจะดีใจ
วันที่ความทุกข์ทั้งหลายกำลังจะหมดไป
แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดครับ ผมรู้สึกแปลกๆ ผมรู้สึกหวิวๆ เมื่อนาฬิกาชี้ไปที่เลย 3 แสดงให้เห็นเวลาบ่ายสามโมง
ถึงเวลาที่ผมจะต้องสแกนนิ้วมือออกงานครั้งสุดท้ายแล้วครับ ตอนนั้นในใจผมอยากจะลาทุกคน ทุกฝ่ายที่ร่วมงานกันมา ไม่ว่าจะเป็นป้าแม่บ้าน
พี่ๆช่าง รวมถึงผจก.เอง จริงๆไม่มีใครรู้ครับว่าผมจะลาออกวันไหน รู้กันแค่รีเซบชั่นและผู้จัดการเท่านั้นครับ
ผมจับวิทยุแล้วพูดว่า “แม่บ้าน ว.2 ครับ”
แม่บ้าน : ค่ะน้อง _ชื่อผม_
ผม: ผมเช็คเอาท์แล้วนะครับ. . .
พี่แม่บ้าน : . . . . . ค่ะน้อง โชคดีนะ กลับมาเยี่ยมหากันบ้าง
น้ำตาผมแทบจะไหลอีกแล้วครับ ไปอยู่ที่นู้นเซนซิทิฟขึ้นมากจริงๆ หลังจากนั้นผมก็วิ่งขึ้นไปลาพี่ๆช่างครับ แล้วลงมาที่ฟร้อนเพื่อบอกลาเพื่อนของผม เพื่อนผู้ซึ่งอายุห่างกับผมรอบนึง เพื่อนผู้เป็นเจ้านายผม ไมค์นั่นเองครับ
คนที่เค้าดีกับผมก็มีเหมือนกันนะ มีเยอะด้วย บางทีเจอคนไม่ดีกับเราอย่ามัวแต่ไปสนใจเลยครับ มองข้ามไปเลยดีกว่า คนที่ยังคอยหวังดีกับเรามีมากกว่าด้วยซ้ำ เนอะ =)
โลกภายนอกมันโหดร้ายมาก และการทำงานมันยากกว่าที่เราคิดไว้เยอะครับ
6 เดือนในแดนใต้แห่งนี้ ให้อะไรมากกว่าภาษาครับ จังหวัดที่หันไปทางไหนมีแต่เมนูไก่ (เอ๊ะไม่เกี่ยว) ได้รู้จักใช้ชีวิตในบ้านที่ประตูหน้าบ้านที่ล็อกไม่ได้ (นี่ก็ไม่เกี่ยว) 55555555555555
อยากให้ทุกคนที่มีโอกาสได้อ่าน ได้ออกไปลองใช้ชีวิตคนเดียวดูครับ ลองไปหางานทำที่ไกลๆ บ้านหน่อย คุณจะได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ค้นหาตัวเอง ว่าสิ่งไหนชอบ สิ่งไหนไม่ชอบ สิ่งไหนคุณทำได้ดี สิ่งไหนคุณทำได้แย่ เพราะหลังจากคุณกลับมา คุณอาจจะได้คำตอบอะไรบางอย่างกลับมาก็ได้ครับ
ขากลับผมพูดได้เลยว่า กระเป๋าผมหนักกว่าขามามากครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ไม่ใช่เสื้อผ้าและของฝากหรอกครับที่หนัก แต่มันคือประสบการณ์ที่ผมได้กลับมาต่างหาก มันก็คุ้มแล้วล่ะครับ “ในเมื่อผมแบกความหวังไป ผมก็ได้ประสบการณ์กลับมา” ขอแค่สู้ อย่าย้อมแพ้แค่นั้นเอง