คนไหนมีจิงเจอร์แฮร์ คือผมสีแดง /ส้มแดง จะถูกเผาทั้งเป็น จริงหรือ
สวัสดี เพื่อนๆชาวอาณาจักรเจ็ดธาตุและผู้อ่านทุกท่านที่ได้แวะเวียนเข้ามา เห็นหัวข้อเรื่องจิงเจอร์แฮร์ก็ขอชี้แจงก่อนว่า จิงเจอร์แฮร์คือผมสีแดงหรือส้มแดง ตอนนี้หลายคนคงสงสัยว่าเขียนเรื่องอะไรเกี่ยวกับผมสีแดงหว่า? เรื่องราวของผมสีแดงในปัจจุบันผมสีแดงคงเป็นสีที่มีความนิยมสูงในบรรดาสีผมต่างๆ แต่หากเป็นในอดีต ขอบอกคำเดียวว่าตรงกันข้ามแบบสุดๆเลยทีเดียว
ในอดีต ผมสีจิงเจอร์ไม่เป็นต้องการของสังคมอย่างแรงจนกล่าวได้ว่าใครมีผมสีนี้ก็จะโดนสังคมรังเกียจ เพราะจะถูกว่าเป็นพวกที่มีอารมณ์แปรปรวน ปากร้ายและจิตใจโหดเหี้ยม และในจิตรกรรมของศาสนาศริสต์ก็มักเขียนภาพคนที่มีคาแรกเตอร์เป็นตัวร้ายให้มีผมสีแดง เช่น ภาพลิลิธ (Lilith) หรือภรรยาคนแรกของอดัมในเทพชาวยิว ที่มีจิตใจชั่วร้ายมีความเกี่ยวข้องกับปีศาจ หรือแม้แต่จูดาสสาวกผู้ทรยศพระเยซูเจ้า ก็มักถูกวาดให้มีผมสีแดงเช่นกัน หรือแม้แต่ภาพในวรรณกรรมที่มีชื่อ เช่น พี่น้องกริมม์ (Grimm Brothers) ตัวร้ายก็มีผมสีแดง โดยเฉพาะชาวจิงเจอร์ที่มีตาสีเขียวก็นับว่าดวงซวยสุดติ่งเลยทีเดียว เพราะจะกลายเป็นสัญลักษณ์ พ่อมด แม่มด มนุษย์หมาป่าหรือแวมไพร์ ตามความเชื่อในยุคกลาง
และไม่ใช่เพียงแต่ในชาติตะวันตก แม้แต่ในอียิปต์ ชาวจิงเจอร์ก็ถูกว่าเป็นแวมไพร์ และถูกเผาทั้งเป็น ก่อนนำเถ้ากระดูกไปโปรยในพื้นที่เกษตร เพราะเชื่อว่าสีจิงเจอร์เป็นสีของความอุดมสมบูรณ์ เอือมยังไงเนี่ยที่แรกไม่ดีอีกทีว่าดี แต่จะอย่างไหนก็ทำเอาชาวจิงเจอร์ซวยกันทั้งแทบแถมด้วยความแปลกของยุโรป เช่น ชาวอังกฤษถ้าเดินทางไปไหนแล้วบังเอิญไปจ๋ะเอ๊กับชาวจิงเจอร์ ก็เชื่อว่าจะต้องใส่เกียร์ถอยกลับบ้านในบัดดล เพราะจะเป็นลางร้าย ตามด้วยของชาวสกอตแลนด์เชื่อว่าผู้มาเยือนบ้านคนแรกในวันปีใหม่ จะพาโชคลาภมาให้ ถ้าเป็นคนผมสีน้ำตาลดำจะโชคดีสุดๆ ถ้าเป็นแม่ม่ายจะโชคร้าย และแน่นอนกลุ่มที่ไม่ต้อนรับเป็นที่สุดก็ตกเป็นชาวจิงเจอร์เช่นกัน
ในความจริงแล้ว เรื่องของผมสีแดงไม่ได้เกิดจากภูตผีปีศาจแต่อย่างใดแต่เกิดความผิดปกติของยีนตัวหนึ่งที่เป็นยีนด้อยในโครโมโซมที่ 16 ทำเกิดการกลายพันธุ์ใน “Melanocortin – 1 Receptor” นอกจากทำให้ผมแดงแล้วยังทำให้มีตาสีอ่อน ผิวที่ขาวกว่าคนผมสีอื่น มีกระบนใบหน้าหรือตามร่างกาย และทั้งเมลานินใต้ผิวก็น้อยทำให้แพ้แดดด้วย แถมมีความหนาแน่นของเส้นผมน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับผมสีดำและบลอน อีกทั้งชาวจิงเจอร์ยังถูกผึ้งต่อยมากกว่าคนผมสีอื่นๆอีก
เดิมชาวจิงเจอร์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในยุโรปทางเหนือและตะวันตก ต่อมาในศตวรรษที่ 16 – 21 ที่เป็นยุคทองของการเดินทาง ทำให้ชาวจิงเจอร์ออกไปตั้งรกรากทั่วโลก
ปัจจุบันมีชาวจิงเจอร์มากในทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป โดยในสกอตแลนด์มีมากสุดที่ 13% ตามด้วยไอร์แลนด์และเวลส์ที่ 10% แต่ที่มากที่สุดก็จะเป็นอเมริกาที่มีอยู่ 2-6% ของประชากรเขานับเป็นราวๆ 6-18 ล้านคน
ความเชื่อเรื่องชาวจิงเจอร์ก็เปลี่ยนไปแล้วในสมัยนี้ แม้จะไปไม่หมดเพราะ เมื่อ ค.ศ. 2003 มีเด็กชาวอังกฤษจะถูกแทงที่หลังเพียงเพราะผมสีจิงเจอร์ และในปี ค.ศ. 2009 มีนักเรียนอังกฤษอีกรายฆ่าตัวตาย เนื่องจากทนการรังแก ข่มเหงจากคนรอบข้างไม่ไหว แต่ก็มีคนลุกขึ้นต่อต้านกลุ่มแอนตี้ชาวจิงเจอร์อย่างกว้างขวาง นับว่าโชคดีที่ชาวจิงเจอร์แฮร์ไม่ทนทุกข์จากความรังเกียจคนรอบข้างอีกต่อไป และชาวจิงเจอร์ก็สามารถยืนหยัดในฐานะคนธรรมดาได้อย่างภาคภูมิ
ปัจจุบัน ในเมืองเบรด้าของเนเธอร์แลนด์มีเทศกาลที่เรียกว่า “Redhead Day” เป็นงานรื่นเริงที่มีการรวมตัวของคนที่มีผมสีจิงเจอร์และมีการแสดงศิลปะแขนงต่างๆเกี่ยวกับสีแดงอีก อีกทั้งอย่างที่บอกในเบื้องต้นคือ ผมสีแดงกลับกลายเป็นที่นิยมกันไปแล้ว
สุดท้าย คงต้องบอกว่า ประวัติศาสตร์แสนเจ็บปวดของชาวจิงเจอร์ได้ปิดฉากลงแล้ว และทิ้งให้ผู้อ่านคิดเล่นกันเสียหน่อยว่า ประวัติศาสตร์เจ็บปวดหลายครั้งที่เกิดขึ้นย้ำเตือนเป็นบทเรียนเสมอ หากแต่เราเอาบทเรียนมาเรียนรู้หรือยังเล่า?
เท่าที่ทราบในยุคนี้จิงเจอร์แฮร์กลายเป็นของดีที่หายากและหลายคนนิยมไปย้อมสีผมให้เป็นจิงเจอร์