แอนดรี ชิคาทิโล ไอ้โหดเคี้ยวอัณฑะและหัวนมเหยื่อ
คำเตือน เนื้อหาบทความนี้มีเรื่องราวโหดร้ายทารุณ
"อย่าประณามกูนักเลย ก็มันก็แค่ผลผลิตห่วยๆ ที่ผิดพลาดของธรรมชาติ จะว่าไปแล้วกูคือสัตว์นรกตัวหนึ่งมากกว่า พวก...ในศาลแห่งนี้คงสะใจแน่ๆ ถ้ารู้ว่ากูต้มเคี่ยวเนื้อหนังของเหยื่อจนเปื่อยยุ่ยหอมหวนขนาดไหน และทุกครั้งที่กูกัดอัณฑะที่แสนนุ่มลิ้นคู่ไปกับหัวนมเหยื่อที่เนียนปากนั้น กูขอบอกตามตรงเลยว่า นั่นมันสวรรค์ของกูชัดๆ ..."
คำสารภาพที่ตรงไปตรงมาผสมกับอารามณ์ที่เกรี้ยวกราดของ แอนดรี ชิคาทิโล (Andrei Chikstilo) ตอนต้นปี ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) กลางศาลที่ดำเนินคดีฆาตกรรมโหดของเขาอยู่นั้น ทำให้ทุกคนในศาลถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงอ้าปากค้างก่อนที่จะเกิดอาการคลื่นเ...ยน จนต้องออกไปอาเจียนกันจ้าละหวั่น
เวลานั้น ทุกคนรับรู้ว่าอดีตครูสอนหนังสือวัย 58 ปี อย่างแอนดรีนอกจากจะเป็นฆาตกรโหดสังหารผู้คนมานับสิบๆ ศพแล้ว เขายังเป็นมนุษย์กินคนอีกด้วย และแม้ว่าเขาจะอ้างว่าการสังหารเหยื่อมากมายถึง 53 ศพนั้นมีสาเหตุมาจากความกดดันเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กชายที่มีโอกาสได้ พบเห็นสภาพการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในถิ่นบ้านเกิดของเขาจนทำให้มีการ "กินเนื้อคน" กันทั่วไปก็ตามที
แต่คำกล่าวอ้างของเขาไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้เขาสามารถหลุดพ้นจากข้อหาฆ่า คนตายเป็นจำนวนมากได้ และสภาพเหยื่อแต่ละรายของเขานั้นล้วนแต่เผชิญชะตากรรมสุดโหดแทบไม่ซ้ำกัน บางรายก็ถูกชำแหละร่าง เถือหนัง และเอามาต้มเคี่ยวกินเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อยทั้งสิ้น ผลกรรมของการสังหารโหดของเขากลายเป็นคดีดังแห่งยุคทศวรรษที่ 90 ไล่ย้อนไปจนถึงปลายยุคเซเว่นตี้ส์ซึ่งถือว่าเป็นช่วงแรกแห่งการลงมีดสังหาร เหยื่อสะสมมาเรื่อยๆ เป็นเวลาเนิ่นนานถึง 12 ปีเต็มๆ และมีผลทำให้ศาลมีคำสั่งประหารชีวิตเขาเป็นรายคดีทุกๆ คดีไป
นั่นหมายความว่าอดีตครูสอนหนังสืออย่างแอนดรีนั้นถูกศาลสั่งประหารมากกว่า 50 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการสั่งประหารคนคนเดียวกันมากที่สุด แต่ความที่คนเรานั้นตายได้หนเดียว ดังนั้นแอนดรีจึงถูกประหารเพียงครั้งเดียวโดยการผูกตรึงกับหลักประหาร และหันหลังให้เพชรฆาตที่รัวปืนใส่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994 แอนดรี ชิคาทิโลตายจากโลกไปในวันแห่งความรัก แต่เรื่องราวของเขายังเป็นคดีโหดคาใจชาวโลกนับจากวันนั้นถึงบัดนี้ โดยที่ยังมีข้อกังขาอยู่บ้างเหมือนกันว่าเขากินคนไปกี่คนกันแน่ เพราะเท่าที่สารภาพออกมานั้นก็คาดว่ายังไม่หมดสิ้น เป็นแค่การเปิดปากจำนนต่อหลักฐานเท่านั้น แอนดรีเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่กินคนเข้าไปมากมาย จนกลายเป็นพวกเสพย์ติดเนื้อมนุษย์ และเขายังอ้างอีกด้วยว่า การแทงคนทำให้เขาเกิดอารมณ์ทางเพศจนถึงขั้นอวัยวะเพศแข็งตัวและสามารถหลั่ง น้ำอสุจิออกมาได้
หมู่บ้านกินคน
หมู่บ้านยาบล็อกนอย (Yablochnoye) ซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กและเป็นบ้านเกิดของแอนดรีนั้นอยู่ห่างจากเมืองหลวง มอสโคว์ของรัสเซียราวๆ 500 ไมล์และถือว่าเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ต้องผจญกับความอดอยากแร้นแค้นขนาด หนัก เวลานั้นเด็กชาย แอนดรี ชิคาทิโล รับรู้ว่าดินแดนรัสเซียของเขากำลังสู้รบอย่างหนักกับกองทหารเยอรมันที่ทำ ทุกอย่างเพื่อบุกรัสเซีย พร้อมๆ กับหลายประเทศในยุโรปเพื่อตีให้แตกหัก ความอดอยากเกิดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้า ทำให้ประชาชนรัสเซียขาดอาหารทุกชนิด ที่บ้านเกิดของแอนดรีก็เช่นกัน หนีไม่พ้นปัญหาอดอยากไม่มีจะกินจนทำให้ประชาชนหันมากินคนที่ตายแล้วหรือไม่ ก็ฆ่ากันตายเพื่อนำเนื้อมาปรุงเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พี่ชายของแอนดรีก็เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องถึงวาระสุดท้าย
เพราะการขาดอาหารอย่างรุนแรง ทำให้ศพของเขากลายเป็นอาหารอันโอชะของผู้อดอยากหิวโหยที่รุมกันนำเนื้อออก จากร่างไปประกอบอาหารกินกัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น แม้แอนดรีจะเป็นเด็กวัยไม่ถึง 10 ขวบ แต่เขาก็ได้รับรู้ถึงการกินเนื้อมนุษย์กันอยู๋เสมอมา ในเวลาเดียวกันก็เกลียดชังนาซีเยอรมันเป็นอย่างมากเพราะพวกนั้นระเบิดเมือง และสิ่งก่อสร้างทุกอย่างที่เป็นของรัสเซีย เขาคิดฝันอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่งเขาจะหาโอกาสล่อลวงพวกทหารเยอรมันให้หลงป่าใกล้หมู่บ้านของเขา จากนั้นเขาก็จะหาทางกำจัดทหารเหล่านั้นเสียให้สิ้นซาก
เพียงกอดถึงกับหลั่ง
ในสภาพสงครามนั้น ทุกคนต้องดิ้นรนกันเพื่ออยู่รอดให้ได้และต้องปรับตัวทุกอย่าง ครอบครัวของแอนดรีนั้นสุมหัวกันอยู่ในห้องแคบๆ และต้องทนทำกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่จำกัดเสมอ แอนดรีต้องอาศัยนอนเตียงเดียวกับแม่ของเขา และบ่อยครั้งที่เขาเผลอปัสสาวะรดที่นอน ซึ่งเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เขาถูกแม่ตีกระหน่ำทำโทษทุกครั้ง รวมถึงการบ่นว่าให้เขาได้อับอายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าใครๆ
เมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนนั้น แอนดรีทำคะแนนได้ดีมากๆ แต่เมื่อถึงคราวต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขากลับพลาดอย่างไม่เป็นท่า ทำให้หมดสิทธิ์ได้เป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยมอสโคว์สเตทยูนิเวอซิตี้ ย้อนกลับไปเมื่อคราวที่แอนดรียังเป็นเด็กหนุ่มวัย 15 ปีนั้น เขาชื่นชอบนักเรียนสาวสวยวัยเดียวกัน พอสบโอกาสเขาก็ตรงเข้ากอดเธอและปลุกปล้ำจนเธอล้มคว่ำไปกับพื้น เธอพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการกอดของแอนดรี แต่เขากลับกอดเธอแน่นจนหายใจแทบไม่ออก และระหว่างนั้นเมื่อหญิงสาวนั้นหมดแรงเหมือนใกล้จะตาย แอนดรีก็พอใจถึงขั้นเสียวกระสันและหลั่งน้ำอสุจิออกมาราดรดเธอ เหตุการณ์นี้ถือเป็นก้าวแรกที่ทำให้เขาเรียนรู้และพึงใจการถึงจุดสุดยอดแบบ ผิดปกติและเป็นเรื่องที่นำให้เขากลายเป็นฆาตกรโหด
การแต่งงานและอาชีพที่ไม่แน่นอน
แอนดรีแต่งงานในปี ค.ศ. 1963 ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุราว 27 ปี เจ้าสาวของเขานั้นเป็นเพื่อนน้องสาวของเขาเองที่ตอนนั้นเห็นว่าพี่ชายนั้น เปล่าเปลี่ยวไม่มีเพื่อนหญิงที่ไหนก็เลยแนะนำเพื่อนให้รู้จัก หลังจากนั้นก็คบหากันเรื่อยมาจนกระทั่งได้แต่งงานกัน แอนดรีนั้นมีปัญหาเรื่องสมรรถภาพทางเพศเพราะอวัยวะเพศของเขาไม่สามารถ ปฏิบัติกามกิจได้ตลอดรอดฝั่ง แต่กระนั้นก็ตาม เขายังสามารถทำให้ภรรยาตั้งท้องและให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวอย่างละหนึ่งคน จนได้ เพราะเขาใช้วิธีสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองก่อนที่จะสอดน้ำอสุจิเข้าไปในช่อง คลอดของภรรยา
ปี ค.ศ. 1971 แอนดรีในวัย 35 ปี สามารถคว้าปริญญาตรีในสาขาวรรณกรรมรัสเซียได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากเพียรพยายามเรียนหนังสืออยู่นาน พร้อมๆ กับทำงานไปด้วย โดยที่ปริญญาตรีใบนั้นเป็นปริญญาจาหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง และใบปริญญานี่เองที่ทำให้เขาสามารถหางานทำได้ง่ายมากขึ้น ต่อมาเขาได้งานเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่เมืองโนโวชาคทิงค์ (Novoshakhtinsk) ซึ่งอาชีพครูที่เขาทำอยู่นั้นไม่ได้ทำให้เขาได้รับความเคารพจากนักเรียน เท่าใดนัก แต่แอนดรีก็ไม่คิดจะเปลี่ยนอาชีพ แต่ก็เปลี่ยนโรงเรียนไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนงานไปเป็นเสมียนในโรงงาน ซึ่งเป็นงานที่ทำให้เขาสามารถเดินทางไปยังจุดต่างๆ ได้ทั่วประเทศรัสเซียเพราะต้องไปตรวจสอบคุณภาพสินค้าตามเนื้องานของเขาในขณะ นั้นอยู่บ่อยๆ
เป็นฆาตกรในวัย 42
วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 1978 แอนดรีในวัย 42 ปี เดินทางไปที่เมืองชาคาธี่ และที่นั่นเขาพบเหยื่อเป็นเด็กหญิงวัย 9 ขวบ เขาลวงเธอไปยังที่เก็บของรกร้าง จากนั้นก็พยายามที่จะข่มขืนเด็กเคราะห์ร้ายนั้น เมื่อเด็กขัดขืนเขาจึงแทงเธอตาย เมื่อเด็กน้อยสิ้นลมไปแล้วเขาก็พบว่าเขามีความสุขทางเพศเป็นอย่างมากจนถึง ขั้นน้ำกามเคลื่อนออกมาได้มากมาย มันเป็นความสุขสุดยอดในขณะที่ลงมีดแทงเหยื่อไปด้วย และนับจากนั้นเป็นต้นมา เขาสามารถถึงจุดสุดยอดทางเพศได้ด้วยการกระหน่ำมีดแทงร่างเหยื่อทั้งหญิงและ เด็กๆ ในเวลาต่อมา
พฤติกรรมนี้กลายเป็นสิ่งที่เขาโหยหาอยากกระทำอยู่เป็นประจำ ตำรวจรัสเซียได้แจ้งเบาะแสโจรประหลาดนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็จับผิดตัว โดยหันไปจับตัว อเล็กซานเดอร์ เครฟเชนโก และกล่าวหาว่าเขาเป็นคนสังหารเด็กและผู้หญิงราวกับเป็นฆาตกรต่อเนื่อง อเล็กซานเดอร์นั้นต่อสู้คดีเพราะตัวเองไม่ได้ทำผิด และไม่ได้เป็นฆาตกรตัวจริง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดและทำให้ต้องถูกประหารชีวิตไปทั้งๆ ที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ แอนดรีที่เป็รฆาตกรตัวจริงยังคงลอยนวลอยู่ได้แบบไม่มีตำรวจหน้าไหนสืบสาว เรื่องราวถึงตัวเขาได้ และยิ่งทำให้แอนดรีได้ใจคิดว่าตัวเองเป็นฆาตกรอัจฉริยะคนหนึ่งแห่งวงการ ฆาตกรรม
ฆ่ามากขึ้น
แอนดรีไม่ได้ฆ่าใครมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่พอถึงปี ค.ศ. 1982 เขาได้ลงมือสังหารเหยื่อของเขาถึง 7 ครั้งด้วยกัน วิธีการล่อลวงเหยื่อไปฆ่านั้นก็เป็นวิธีการง่ายๆ นั่นก็คือเขาจะเดินทางไปยังสถานีรถไฟหรือรถโดยสารเพื่อมองหาเหยื่อที่เหมาะๆ เมื่อพบเหยื่อแล้วเขาจะพูดคุยตีสนิทและขวนให้เหยื่อตามเขาไปยังในป่า หรือพุ่มไม้แถวๆ นั้นก่อนที่จะลงมือฆ่าอย่างรวดเร็ว เขาปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งจึงอดรนทนไม่ได้ต้องออกมาเตรียมตัวฆ่า เหยื่ออีกให้ได้
ค.ศ. 1983 แอนดรีในวัย 47 ปีเริ่มลงมือสังหารเหยื่อจากเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนกันยายนโดยได้เหยื่อ มาสังเวยคมมีดของเขาจำนวน 4 คนด้วยกัน โดยที่เหยื่อเหล่านั้นเป็นผู้หญิง 3 คนและเด็กหนึ่งคน ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของแอนดรีส่วนใหญ่จะเป็นสาวๆ โสเภณีหรือไม่ก็พวกจรจัดไม่เป็นหลักแหล่งซึ่งหลอกง่ายดายมากแค่บอกว่าจะให้ เครื่องดื่มหรือเงิน คนเหล่านั้นก็ตามมาแล้ว แอนดรีพยายามนักหนาที่จะมีเพศสัมพันธ์กับสาวๆ เหล่านั้น แต่เขาไม่สามารถปลุกอวัยวะสำคัญให้แข็งตัวเพื่อร่วมเพศได้ จึงทำให้เขาหงุดหงิด และยิ่งโกรธมมากขึ้นเมื่อมีหญิงโสเภณีบางรายหัวเราะเย้ยหยันอาการไร้ สมรรถภาพทางเพศของเขา และนั่นคือวาระสุดท้ายของชีวิตโสเภณีรายนั้น เพราะเขาจะกระหน่ำแทงเธอด้วยมีดจนขาดใจตายคาที่พร้อมกับหลั่งความสุขออกมา โดยแทบไม่รู้ตัว
ตำรวจยังจับผิดตัวการสังหารเหยื่อมากขึ้นทำให้ทางการรัสเซียปวดหัว และจำเป็นต้องหาหัวหน้าหน่วยคนใหม่มาตรวจตราพื้นที่ที่เมืองรอสตอฟอันเป็น บ้านเกิดของแอนดรี มีการสอบสวนและค้นพบศพอีก 6 ศพ การทำงานอย่างไร้หลักการและสาวไปไม่ถึงฆาตกรตัวจริงอย่างแอนดรี ทำให้ตำรวจจากมอสโคว์ลากตัว "แพะรับบาป" หรือผู้ที่ไม่ได้ผิดจริงมาดำเนินคดี และถูกจับเข้าห้องขัง ซึ่งมีอยู่รายหนึ่งถึงกับผูกคอตายในห้องขังหลังจากถูกจับกุมตัวไม่กี่วัน การสอบสวนของตำรวจดำเนินไปอย่างกว้างขวาง เพียงแค่ระยะเวลาไม่นานทางตำรวจก็สามารถเรียกคนในละแวกนั้นมาสอบปากคำได้มาก มายถึง 150,000 คน รวมทั้งยังรวบรวมผู้ต้องสงสัยฆ่าคนไว้ได้จำนวนหนึ่งด้วย
ถูกจับตัวเป็นครั้งแรก
แอนดรี ชิคาทิโล ถูกตำรวจจับกุมตัวเป็นครั้งแรกที่ชุมทางรถโดยสารทางไกลที่เมืองรอสตอฟด้วย ข้อหาที่ไม่ร้ายแรงนัก และถือว่าเป็นคดีที่ไม่ใช่คดีใหญ่ และทำให้เขาต้องถูกนำตัวส่งศาล โดยให้รับโทษ 1 ปี แต่หลังจากที่ติดคุกมาได้แค่ 3 เดือนเขาก็ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1984 ถือเป็นคราวโชคดีของแอนดรีเป็นอย่างมาก เพราะในขณะที่ตำรวจสอบสวนและจับกุมตัวเขาอยู่นั้น เขาไม่มีประวัติด้านลบให้ตำรวจตรวจสอบได้เลย แต่เนื่องจากพฤติกรรมบางอย่างไปสอดคล้องกับความผิดสถานเบาบางอย่าง ทำให้เขาต้องรับโทษดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ตอนนั้นคาดว่า แอนดรีคงหายใจไม่ทั่วท้องเพราะไม่รู้ว่าตำรวจจะสืบลึกลงไปถึงผลงานการฆ่าของ เขาในอดีตหรือไม่ แต่แล้วก็ใจชื้นเมื่อตำรวจมองข้ามเรื่องใหญ่ แต่หันไปสนใจเรื่องเล็กๆ แทนที่ และทำให้ตำรวจพลาดโอกาสทองในการจับกุมฆาตกรรายใหญ่อย่างเขาไปอย่างน่า เสียดาย
ในยุคหลังๆ มีการเปิดเผยย้อนหลังถึงการจับกุมแอนดรีในคราวนั้นว่า แม้ตำรวจจะสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นฆาตกร แต่ผลการทดสอบเลือดของเขากับคราบอสุจิตามที่เกิดเหตุนั้นปรากฏว่าไม่มีความ สัมพันธ์กัน ทางแล็บตรวจครั้งแรกก็แจ้งว่าเป็นผลเลือดคนละกรุ๊ป แต่ภายหลังทางแล็บบอกว่าจริงๆ แล้วน้ำอสุจิในที่เกิดเหตุหมดสภาพไม่สามารถระบุกรุ๊ปเลือดได้ เขาจึงรอดไปได้อย่างปาฏิหารย์
ไอ้โหดเพลามือลง
แอนดรีได้งานทำใหม่ที่เมืองโนโวเชอร์คาสค์ และพยายามทำตัวเงียบๆ เข้าไว้ด้วยการอดใจไม่ฆ่าใครเลยจนกระทั่งถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1985 ซึ่งเขาได้ลงมือสังหารสตรีสองคนที่ต่างสถานการณ์กัน จากนั้นเขาก็กบดานเงียบ และรอจนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1987 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องเดินทางไปยังเมืองเรฟดา ในยูเครน เขาจึงได้ลงมือสังหารเด็กชายคนหนึ่ง ต่อมาได้ไปลงมือฆ่าอีกครั้งที่เมืองซาร์โปโรซิธในเดือนกรกฎาคม แล้วก็มุ่งไปสังหารเหยื่ออีกรายที่เมืองเลนินกราดในเดือนกันยายนปีเดียวกัน
ฆ่ามากขึ้นในต่างเมือง
ปี ค.ศ. 1988 แอนดรีลงมือสังหารเหยื่อของเขานอกเมืองรอสตอฟ โดยที่เขาสังหารสตรีคนหนึ่งที่เมืองคราสนี-ซูลิน ในเดือนเมษายน จากนั้นเขาได้ฆ่าอีก 8 คนด้วยกันตลอดปีนั้นรวมทั้งยังฆ่าอีกสองศพที่เมืองชาคาธี่ เขาทิ้งช่วงไปอีกระยะหนึ่ง จนเมื่อทรความเย้ายวนของการฆ่าไม่ได้จึงหวนกลับมาสังหารเหยื่ออีก โดยที่เหยื่อเหล่านั้นเป็นเด็กชาย 7 คน ผู้หญิง 2 คน ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1990
โดนตำรวจเรียกแล้วก็ปล่อยตัว
ทางการพบศพใกล้กับสถานีรถเลสคอส และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทางการต้องเพิ่มตำรวจลาดตระเวนมากยิ่งขึ้นด้วย วันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 แอนดรีลงมือสังหารและตัดชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ เป็นชิ้นๆ โดยที่เขาลงมือบรรเลงผลงานสยองอยูในป่า พอเขาเดินออกมาเขาก็ถูกตำรวจเรียกตรวจสอบ แต่ตำรวจกลับปล่อยเขาไปโดยไม่สงสัย ภายหลังเมื่อตำรวจได้ตรวจสอบรายชื่อของแอนดรีอีกครั้งก็พบว่าเคยถูกจับกุมมา ก่อนในคดีนี้ จึงเรียกเขามาให้ปากคำอีกรอบ
เมื่อเขาเปิดปาก ตำรวจถึงกับตะลึง
ในตอนแรกแอนดรียืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำความผิด จนตำรวจต้องพาจิตแพทย์มาสอบปากคำเขาด้วยวิธีไม่กดดันและปล่อยให้เขาเล่า เรื่องในสิ่งที่เขาทำ และในระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน จนถึง วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1990 แอนดรี ชิคาทิโล สารภาพว่าเขาคือคนที่สังหารเหยื่อไปทั้งหมดจำนวน 56 ศพด้วยกัน โดยที่สามศพในจำนวนนั้นถูกฝังไปแล้วทำให้ไมอาจนำมาตรวจสอบได้อีก ดังนั้นแอนดรีจึงไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดเฉพาะกับการสังหาร 3 ศพที่ถูกนำไปฝังนั้น
อย่างไรก็ตามจำนวนศพที่เขาเปิดปากบอกกับตำรวจที่มีการแจ้งรูปพรรณสัณฐาน ต่างๆ มี 36 รายด้วยกันที่อยู่ในบัญชีคนตายของตำรวจ ทั้งยังมีเหยื่ออีกจำนวนหนึ่งที่เชื่อมโยงไปถึงกรณีฆาตกรรมที่อยู่ห่างไกล จากถิ่นที่อยู่ของเขา ทำให้สามารถปิดคดีนั้นได้ แต่ก็ยังมีศพอีกจำนวนหนึ่งดช่นกันที่ไม่อาจโยงหรือตรวจสอบได้ เพราะถูกนำไปฝังจนหาไม่พบ แต่เมื่อแอนดรีนำตำรวจไปตรวจที่เกิดเหตุ เขาพาตำรวจไปขุดหลุมศพตื้นๆ ที่เขาฝังเอาไว้ทำให้พบศพมากขึ้นไปอีก เขาถูกนำตัวขึ้นศาลเมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1992 โดยที่ถูกนำตัวใส่กรงพิเศษตลอดเวลา การดำเนินคดีกับเขานั้นคืบหน้าไปจนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันถึงได้จบสิ้น
การไต่สวนและให้การทุกขั้นตอน
วันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1992 จึงมีการสรุปว่าเขาเป็นฆาตกรโหดที่สังหารเหยื่อไป 52 คน และถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิตในแต่ละคำตัดสิน แม้ว่าเขาจะต่อสู้ให้การว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้น เป็นผลกระทบจากสภาวะขาดอาหาร และอดอยากกหิวโหยในช่วงที่เขายังเป็นเด็กอยู่ในยูเครนในช่วงทศวรรษที่ 30 ก็ตาม แต่ก็ถือว่าฟังไม่ขึ้น ท้ายที่สุดเขาก็ถูกสั่งให้ประหารชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994
ถือว่าเป็นอันจบชีวิตนักฆ่า นักกินศพรายใหญ่ของรัสเซีย โดยที่เรื่องราวของเขายังคงอยู่ในความทรงจำด้านร้ายๆ ตราบจนทุกวันนี้