10 วิธีแสนง่ายในการ “เคลียร์พื้นที่” จัดเก็บใน iPhone ของคุณ!!
หลายๆ คนใช้มือถือ iPhone ของคุณอย่างเดียว แต่ไม่เคยรู้เลยว่า มือถือคุณมีแต่ขยะที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ และทำให้พื้นที่จัดเก็บของคุณลดน้อยลงๆ แถมทำให้เครื่องช้าอีก ทำให้คุณใช้ 16GB ได้ไม่คุ้มเลยซักนิด วันนี้เราเลยจะเอา 10 วิธีแสนง่าย “เคลียร์พื้นที่” จัดเก็บใน iPhone ของคุณมาฝากกัน ไปดูเลยว่ามีวิธีอะไรบ้าง.
1. เช็ค Usage หรือการใช้พื้นที่ก่อนเป็นอันดับแรก
Huffington Post
ก่อนอื่น ต้องดูว่า พื้นที่ทั้งหมดของคุณ คุณใช้ไปกับอะไร มากน้อยแค่ไหน จะได้จัดการถูก โดยไปที่ General > Usage > Manage Storage แล้วคุณก็จะรู้ว่า ตอนนี้คุณมีพื้นที่เหลือเท่าไหร่ ใช้ไปเท่าไหร่ และใช้ไปกับอะไรบ้าง
2. ในแต่ละ App ก็มีการดาวน์โหลดภายในที่กินพื้นที่เยอะๆ ระวังให้ดี
Huffington Post
พอดู Manage Storage กันแล้ว คุณจะรู้ว่า ที่ไหน แอพไหนของเครื่องคุณที่กินพื้นที่มากๆ แต่จุดนี้ต้องระวัง เพราะว่า App บางแอพ ขนาดไม่ใหญ่มาก อาทิ Spotify ที่กินเนื้อที่เพียงแค่ 56 MB เท่านั้น แต่ภายใน App หากคุณดาวน์โหลดเพลงมากๆ ก็กินเนื้อที่มากขึ้นไปอีก โดย 800 เพลงสามารถกินพื้นที่มากถึง 2 GB เลยทีเดียว โดยวิธีดูคือ พอเข้าไปที่ Manage Storage แล้ว ก็กดที่ App คุณจะรู้ว่าด้านในมีการดาวน์โหลดมากแค่ไหน
3. ลบ Games ที่ไม่ได้เล่น
Huffington Post
แน่นอนว่าส่วนมาก เกมส์จะขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีบางเกมส์ที่กินพื้นที่เกิน 1 GB ก็มี เพราะมีกราฟฟิค 3D อาทิ เกมส์ Oregon Trail ที่กินพื้นที่ถึง 1.2 GB เลยทีเดียว
นานๆ ไปคุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณมีเกมส์อะไรอยู่ในเครื่องบ้าง บางเกมส์ คุณไม่ได้แตะมาเป็นปีแล้ว อย่างเช่น Angry Birds, 2048 หรือ Candy Crush เป็นต้น หากไม่ได้เล่น ก็ลบไปเสียเถอะ ซึ่งคุณสามารถลบได้ง่ายๆ ใน Manage Storage ได้เลย
4. ลบ Podcasts เก่าๆ หรือ วิดีโอเก่าๆ
Huffington Post
Podcasts เก่าๆ ของคุณ ความยาวประมาณ 30 นาทีนั้น รู้หรือไม่ว่ามันกินพื้นที่กว่า 25 MB เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ถ้ามันเก่ามากจนคุณไม่ได้ฟังมันแล้วก็ลบไปเสียดีกว่า รวมถึง Videos เก่าๆ เช่นกัน ยิ่งความละเอียดสูงๆ ยิ่งกินพื้นที่มาก!
5. ตั้งลบข้อความเก่าๆ อัตโนมัติ
Huffington Post
หากคุณเป็นคนชอบย้อนไปอ่านข้อความเก่าๆ วิธีนี้อย่าทำ แต่ถ้าคุณคิดว่า บทสนทนา หรือข้อความอายุเกิน 1 ปี คุณคงไม่มีเวลาไปย้อนอ่านมันอยู่แล้ว หากคุณใช้ iOS8 คุณสามารถตั้งให้มันลบข้อความให้คุณอัตโนมัติได้ และสามารถเลือกเวลาได้ นอกจากนี้ คุณสามารถตั้งความยาวของข้อความวิดีโอและข้อความเสียงได้ว่ายาวแค่ไหนที่จะจัดเก็บ อาทิ 2 นาที และหลังจากนั้นจะหมดอายุ เป็นต้น
6. ใช้ Google+ หรือ Dropbox ในการเก็บรูป
Huffington Post
คุณอาจจะไม่อยากเอารูปทั้งหมดของคุณออกจากเครื่อง แต่คุณสามารถแบ่งไปเก็บไว้ในที่จัดเก็บออนไลน์อย่าง Google+ หรือ Dropbox ได้ ซึ่งหากให้แนะนำ Google+ นั้นไม่เสียค่าใช้จ่าย เก็บได้ไม่อั้นกับภาพที่ไม่เกิน 2048 X 2048 pixels และวิดีโอที่ยาวไม่เกิน 15 นาทีนั่นเอง
วิธีทำคือคุณเพียงแค่ดาวน์โหลด Google+ App ตั้ง Google Account ตั้งค่าการ Backup file อย่าลืมเช็คตรงที่เขียนว่า WiFi Only เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
7. เลิกใช้ Photo Stream
Huffington Post
Photo stream หมายถึงว่า มันจะ Sync ภาพในเครื่อง iPhone ของคุณ 1,000 ภาพหลังสุดกับเครื่องมือ Apple อื่นๆ ของคุณ นั่นหมายความว่าคุณกำลังเก็บภาพ 1,000 ภาพที่รวมกันราว 1 GB สองรอบอย่างไม่จำเป็น ซึ่งคุณสามารถปิดได้ ที่ Settings > Photos & Camera และกดปิดนั่นเอง
8. เลือกเก็บเฉพาะ HDR photos
Huffington Post
เมื่อคุณเคลียร์รูปออกไปบ้างแล้วจากทิปก่อนหน้า คราวนี้เวลาที่คุณถ่ายรูป และหากคุณตั้งโหมด HDR อัตโนมัติ เครื่องจะจัดเก็บ 2 ภาพที่ซ้ำกัน ให้คุณเลือกจัดเก็บเฉพาะรูปที่เป็น HDR สิ เพื่อประหยัดพื้นที่ยังไงล่ะ ซึ่งความแตกต่างของทั้งสองภาพคือภาพด้านบนนั่นเอง ส่วนวิธีที่คุณจะไม่ต้องจัดเก็บภาพธรรมดาที่ไม่ใช้ HDR นั้น ให้ไปที่ Settings > Photo & Camera > นำเครื่องหมายที่เลือก Keep Normal Photo ออกเป็นอันเรียบร้อย
Huffington Post
9. สมัคร Streaming music service
Huffington Post
ยุคที่คุณจะมาเก็บทุกเพลงเอาไว้ในเครื่องของคุณมันหมดไปแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้มันมีบริการที่คุณสามารถดาวน์โหลดเพลงและเก็บไว้ใน iCloud ได้โดยไม่ต้องเปลืองพื้นที่ของคุณอีกต่อไป อาทิ iTunes Match ที่คุณจะเสียเงินเพียงแค่ปีละ 25 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 825 บาท คุณก็สามารถดาวน์โหลดได้ทุกเพลง โดยไม่ต้องกลัวเปลืองพื้นที่เลยล่ะ หรือหากคุณไม่ชอบ iThunes จะลอง Spotify ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ไม่เลวเลยล่ะ
10. ไปที่ “Other” บน iTunes และ Restore ซะ
Huffington Post
ส่วนตรงนี้จะบอกคุณว่า พวก Email, music หรือ web browsing data มีไฟล์อะไรแปลกๆ มีปัญหาหรือไม่ ที่มันอาจจะกินพื้นที่ได้ ซึ่งวิธีแก้คือการ Backup ข้อมูลใน iTunes ของคุณและกด Restore iPhone นั่นเอง
H/T: Huffington Post