เรื่องเริ่มต้นจากการที่เราติดหนองในจากแฟนที่คบกันมา 4 ปี
นี่เป็นกระทู้แรกของเราค่ะ ขอแบบม้วนเดียวจบเลยเนอะ
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่าเราเป็นผู้หญิง ส่วนแฟนเป็นผู้ชาย
จุดประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้คือ อัดอั้นมานานจนอยากระบาย
อยากเล่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับคู่รักทุกเพศทุกวัย แม้จะออกทะเลไปบ้าง
แต่ก็หวังว่าเนื้อหากระทู้นี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
ยืนยันว่าทุกอย่างที่เล่าเป็นเรื่องจริง แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผยตัวตนใดๆ
เนื่องจากเสี่ยงต่อการสืบทราบถึงที่ทำงาน บ้าน ครอบครัว เพื่อนฝูง
เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมเท่าไหร่ค่ะ
เราคบกับแฟนมาได้ 4 ปีละค่ะ เรื่องของเรื่องคือเมื่อ 2 ปีก่อน
คุณแฟนเกิดเป็นโรคหนองในขึ้นมา ไม่ได้ตรวจละเอียดนะคะว่าแท้หรือเทียม
จำได้ว่าช่วงนั้นกินเวลาประมาณเดือนนึง ที่เราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน
แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากค่ะ เพราะเข้าใจและรอได้
แถมเรายังซื่อบื้อสุดๆ ไม่นึกสงสัยอะไรซักนิดว่าติดมาจากไหนอะไรยังไง
วันหนึ่ง เราไม่สบายเลยขอลางานครึ่งวันกลับมานอนเล่นห้องแฟน ส่วนแฟนทำงานปกติ
ไอ้เราก็นอนว่างงงงง เลยหาอะไรทำ หยิบโน๊ตบุ๊คแฟนมาเล่นค่ะ
คือถ้าวันนั้นแค่เปิดโน๊ตบุ๊คเล่นเกม เล่นเน็ตเฉยๆ มันคงไม่มีเรื่องให้มาเล่า
แต่มือมันซนค่ะ ไปเปิดดูโปรแกรมเล่นเว็บแคมตัวนึง เจออะไรบางอย่างเข้า
มันเป็นคลิปค่ะ มีอยู่ 3ไฟล์ เป็นคลิปที่อัดด้วยโปรแกรมเล่นเว็บแคมนี่แหล่ะ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เปิดดูซะเลย ...
คือตอนแรกของคลิปเห็นเป็นผู้ชายนอนอยู่บนเตียงปกติ ละก็มีคุณแฟนนั่งข้างๆ
ตอนที่ดูยังคิดอยู่เลยว่า อ๋อ..สงสัยเป็นเพื่อนแฟนแวะมาเล่นที่ห้องมั้ง
ซักพักเท่านั้นล่ะค่ะ แฟนจับผู้ชายคนนั้นถอดกางเกง แล้วใช้ปากทำ...ให้
เราร้องเลยค่ะ ร้องไห้ร้องครวญครางราวกับโดนจับโยนลงไปในหม้อต้มน้ำเดือดๆ
แต่สรุปก็ดูจนจบ เนื้อหาไม่มีอะไรมากค่ะ เค้าก็แค่เล่นจ้ำจี้กัน คุณแฟนโดนอัดช่วงล่างทางข้างหลัง
คุณแฟนจูบนัวเนียกับผู้ชาย เสร็จกิจมีคุยกุ๊กกิ๊กกระหนุงกระหนิง บลา บลา~
3 ไฟล์ที่บอก มันเป็นแบบนี้ทุกไฟล์ค่ะ ต่างตรงที่ เปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า
เสียใจที่สุดคือ ดูวันที่ของคลิปล่าสุด มันคือเมื่อวานของวันที่เจอคลิปนี่เองอ้ะ
เอิ่ม... ดูจบทำไรต่อ ร้องฟูมฟายสิคะ ยิ่งตัวเองไม่สบายอยู่แล้วด้วย
อาการยิ่งหนักกว่าเดิม อ้วกแตกอ้วกแตน นอนซมจมกองน้ำตาตัวเอง
(แต่ก็ยังมีสติพอ ที่จะแอบ copy คลิปเหล่านั้นไว้ในแฟลชไดร์ส่วนตัว หึหึ)
เศร้าเสร็จโทรเล่าให้แฟนฟังค่ะ ตอนแรกแฟนงงว่าพูดเรื่องอะไร พอรู้เท่านั้นแหล่ะ
กระวนกระวายผ่านทางโทรศัพท์เลยค่ะ แล้วเราก็นอนรอแฟนกลับมาหา
นั่งเคลียร์กันอยู่นาน เราบอกว่าถ้าคบกับเราแล้วมันเป็นการฝืนใจตัวเอง ก็เลิกก็ได้นะ
แต่สุดท้ายแฟนก็บอกว่าเลือกเรา (หึหึ จับได้ก็งี้แหล่ะ ยอมจำนนด้วยหลักฐาน)
สัญญากับเราว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก (แหม~ ทำมา 3 ครั้งแล้วเพิ่งมาบอกหรา)
ทั้งคู่ก็นั่งร้องไห้ปลอบกันเอง แยกย้ายกลับบ้าน ไอ้เราก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ
เป็นแบบนี้อยู่ 3 วัน 3 คืน ทนไม่ไหวต้องไปหาหมอให้หมอออกยาคลายกังวลให้
หลังจากนั้นถึงแม้ว่าเราจะคุยกันดี เรากับแฟนดูรักกันมากขึ้น แต่..
บอกเลยว่าความไว้ใจมันกลายเป็นศูนย์ เหมือนต้องมาเริ่มต้นใหม่
สำคัญที่สุดคือ ภาพที่เห็นมันหลอกหลอน ทั้งตอนนอน นั่งทำงาน
งานที่ทำตอนนั้นคือ telesales คุยกับลูกค้าต้องทำเสียงปกติที่สุด
ทรมานสุดๆค่ะ คิดดู.. ภาพตอนนั้น ท่าทางตอนแฟนกินไอติมของคนอื่น
ดูแล้วมันอร่อยกว่าตอนที่เรากินไอติมของแฟนอีกอ้ะ กรี๊สสสสสสสสสสส หลอนจิตสุดๆ
เข้าเรื่องต่อ จากนั้นมาเรารักกันดีค่ะ ดีมากกว่าเดิมมากๆๆๆ ทุกอย่างราบรื่น
มีอะไรกันปกติ โดยป้องกันบ้าง ไม่ป้องกันบ้าง คือไม่ได้คิดอะไรมาก
กระทั่งเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา เราเกิดอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซด์
ทำให้กระดูกเท้าหัก ต้องได้รับการผ่าตัดกับโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
วันนั้นพอดีดันกินข้าวเช้ามา เลยต้องนอนรอในห้องพักคนไข้ก่อนซัก 6 ชม.
ตอนนอนรอมีเจ้าหน้าที่ รพ.นำใบให้เราเซ็นอนุญาตให้เจาะเลือดไปตรวจ
เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เซ็นไป และยื่นแขนให้เค้าเอาเลือดไปแต่โดยดี
พอใกล้เวลาผ่าตัด ไปนอนรอหน้าห้องผ่าตัด มีพยาบาลมาแจ้งว่าจะขอเลือดอีกที
แต่ไม่ได้แจ้งว่าเพราะอะไรนะ ได้ยินแว่วๆ จากพยาบาลคนอื่นในห้องคุยกันว่า
ผลเลือด Reactive เราก็ไม่ได้สนใจอะไร คือตื่นเต้นเรื่องผ่าตัดมากกว่า
การผ่าตัด ใช้วิธีบล็อกหลัง กินเวลากี่ชั่วโมงไม่แน่ใจ แต่หลังจากผ่าเสร็จ
อ้วกตลอดทั้งวันทั้งคืนเลยค่ะ พยาบาลว่าเป็นอาการปกติของคนที่โดนบล็อกหลัง
จากนั้นพักดูอาการสองคืนก็กลับบ้าน เจ้าหน้าที่ให้ใบนัดมาด้วย
ช่วงเช้าให้พบหมอที่ผ่าตัดให้เพื่อติดตามอาการ แต่ช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่กำชับ
ว่าหลังจากพบหมอเสร็จ ต้องไปพบคุณพยาบาลอีกคนนึงด้วย!!
วันนัด หลังจากพบหมอแล้ว ช่วงบ่ายไปหาคุณพยาบาลที่ว่า แกรออยู่ในห้องนึง
ตอนนั้นไปกับแม่ แต่พยาบาลไม่ให้แม่เข้า เราไปนั่งคุยกับแกสองต่อสอง
แกชวนคุยก่อน แล้วบอกว่าให้รอประวัติคนไข้ของเรา เราก็นั่งเฉยๆ ไม่คิดอะไร
จนประวัติมา พยาบาลเปิดผลการตรวจเลือดให้ดู..
HIV Positive
พอเห็นเท่านั้นแหล่ะ หัวนี่หนักอึ้งเลย หน้านี่ชาไปหมด คุยกับพยาบาลอยู่นาน
สุดท้ายพยาบาลถามว่าจะบอกแม่มั้ย เราเลยให้แกช่วยบอกทีค่ะ
เรียกแม่เข้ามา ตอนแรกแม่ยิ้มๆ พอแม่รู้เรื่องปุ๊บ แม่หน้าเสียเลยค่ะ
จากนั้นก็ถามแนวทางว่าต้องทำยังไงต่อไป และต้องบอกแฟนให้ตรวจด้วยมั้ย
ระหว่างเดินทางกลับบ้านโดยรถแท็กซี่ แม่นิ่งเงียบไปเลย ถึงบ้านก็ทำหน้านิ่ง
เราตัดสินใจบอกแฟน แฟนก็รับปากว่าจะไปตรวจดู ส่วนแม่กินไม่ได้นอนไม่หลับ
บางทีต้องแอบคุยกันตอนอยู่สองต่อสอง เพราะที่บ้านปกติคนอยู่หลายคนค่ะ
คุยเรื่องนี้ไม่ค่อยสะดวก แม่ก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกใครเลย รู้กันแค่สามคนนี่แหล่ะ
คือแม่ไม่รู้ว่าแฟนเรามีพฤติกรรมอย่างที่เล่าตอนต้นเรื่องนะคะ แม่ไม่ถาม
ไม่ถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากับแฟน แม่ช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษา
บางทีก็เห็นแม่ซึม แล้วก็ดูเป็นห่วงเรากับแฟนมากขึ้น
ถึงตอนนี้บอกเลยว่ารู้สึกผิดมากๆ ผิดต่อแม่ ผิดที่ไม่ดูแลตัวเองดีๆ ผิดที่คิดน้อยเกินไป
กลับกลายเป็นว่าเรากลายเป็นภาระให้แม่ต้องมาดูแลเราไปอีกด้วยซ้ำ
เราทำให้แม่ต้องเป็นห่วงมากกว่าเดิม แทนที่เราจะได้ดูแลแม่ยามแก่เฒ่า
ส่วนแฟนไปตรวจเลือด ผลก็ออกมาเป็นบวกตามที่คิดไว้ค่ะ
แค่ว่าผลที่เราสองคนตรวจเลือด มันระบุระยะเวลาการได้รับเชื้อไม่ได้
สรุปคือ ตอนนี้เรากับแฟนกลายเป็นผู้ติดเชื้อ HIV เป็นที่เรียบร้อย
ถัดมาอีก 1 เดือน เรากับแฟนตัดสินใจไปตรวจหาปริมาณเซลเม็ดเลือดขาว (CD4)
กับทางคลินิคนิรนาม ผลคือของเราอยู่ที่ 424 ถือว่าไม่น้อยเท่าไหร่สำหรับผู้ติดเชื้อ
ส่วนของแฟนอยู่แค่ 270 ซึ่งถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดีๆ จะเสี่ยงต่อการเป็น AIDS
หมอที่คลินิคให้คำแนะนำเป็นอย่างดีค่ะ แต่แจ้งว่าควรมาติดต่อที่โรงพยาบาลประกันสังคมไว้
เพื่อขอเข้าโครงการและรับยาต้านเชื้อ ยิ่งเริ่มกินไวยิ่งดี ยาจะได้กดเชื้อให้เหลือปริมาณน้อยลง
เราสองคนเข้าไปโรงพยาบาลที่มีประกันสังคมอยู่ เพื่อรักษาตามแนวทางต่อไป
ของแฟนเราคือไม่ต้องตรวจ CD4 แล้ว สามารถรับยาไปทานได้เลย
ส่วนของเราตรวจ CD4 อีกรอบ ปรากฎว่ามันขึ้นเป็น 502 ซึ่งตามเงื่อนไขของโครงการ
คือ หลังจากวันที่ 1 ตุลาคม 57 เป็นต้นมา หมอบอกถ้าสูงกว่า 500 ยังไม่ต้องรับยา
และนัดให้มาตรวจในอีก 6 เดือนข้างหน้า เราก็โอเค คือระหว่างนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก (มั้ง)
เพราะยาต้าน หากได้กินแล้ว ต้องกินตรงเวลาทุกวัน และกินตลอดชีวิต (เสี่ยงโรคไตอีกต่างหาก)
หลังจากเกิดเรื่องเลยลองย้อนไปคิด
เพราะตอนที่แฟนมีอะไรกับคู่ขาเค้าทั้ง 3 คน แฟนบอกป้องกันด้วยถุงยางทุกครั้ง
แต่คงป้องกันไม่หมดค่ะ เพราะตอนที่เค้ากินไอติมของคู่ขา เค้ากินแบบสดๆ โนถุง
บวกกับแฟนเป็นคนเลือดออกตามไรฟัน หรือก็คือมีแผลในปากแทบตลอดเวลา
เลยยิ่งเสี่ยงเข้าไปใหญ่ และที่น่ากลัวกว่านี้คือ..
ผู้ชายที่เป็นคู่ขาเหล่านั้น ล้วนมีแฟนเป็นผู้หญิงอยู่แล้วเหมือนกับแฟนเราค่ะ
สำหรับเราถือว่าเป็นโชคดีที่ติดเชื้อโดยรู้สาเหตุ แถมได้ตรวจเลือดโดยบังเอิญ
แต่กับคนอื่นที่ไม่รู้ล่ะ กับคนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้ตรวจเลือดล่ะ เค้าจะยิ่งเสี่ยง
ต่อการแพร่เชื้อให้กับคนอื่นๆ ต่อไป เสี่ยงที่จะมารู้เอาตอนที่แก้ไม่ทันเสียแล้ว
สุดท้ายมาถึงเรื่องที่อยากจะฝาก
คือเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและอยากให้เลิกพฤติกรรมมั่วซะด้วย
คนเราเข้าใจค่ะว่าอารมณ์อย่างว่ามันไม่เข้าใครออกใคร แต่จะมีอะไรกับใคร
อย่างน้อยควรป้องกัน ถ้าไม่เพื่อตัวเอง ก็ขอให้เพื่อแฟน เพื่อคู่ เพื่อคนรัก
สำคัญที่สุดคือเพื่อพ่อ แม่ ครอบครัวที่รักเรานี่แหล่ะค่ะ คิดให้ลึก คิดให้ไกล
เพราะเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราจะไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรได้
อย่าทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เพราะความไม่รอบคอบเลย
แค่ป้องกัน แค่ไม่นอกกาย ไม่ประพฤติผิดในกาม
เราว่ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับคนทุกคนหรอกนะคะ
ความเป็นอยู่ทุกวันนี้ต้องปรับพฤติกรรมนิดหน่อยค่ะ สามารถใช้ชีวิตประจำวันกับคนอื่นได้ปกติ
แต่ต้องระวังเรื่องสุขภาพ อาหารการกิน มีอะไรกับแฟนต้องใส่ถุงทุกครั้ง
ถึงจะติดเชื้อทั้งคู่ แต่ยังไงก็ต้องไม่แลกเชื้อกัน เพราะเสี่ยงที่เชื้อจะกลายพันธุ์ ดื้อยา
สำคัญคือ ก่อนทราบเรื่อง เรากับแฟนวางแผนกันไว้ว่าจะมีลูกในอีก 2 ปีข้างหน้า
ตอนนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะแค่ดูแลตัวเองก็แย่ละ ถ้าต้องดูแลลูกอีก
คงเอาตัวกันไม่รอดค่ะ และลูกออกมาก็เสี่ยงติดเชื้อจากเราไปด้วยอีก
โลกมีทั้งสิ่งที่โหดร้ายและสิ่งที่สวยงาม ขึ้นอยู่กับมุมมอง
อย่างเรื่องโรคนี้ ตอนแรกเราคิดว่ามันน่ากลัวมาก เป็นแล้วยังไงก็ต้องตาย
แต่พอเป็นเอง ได้ศึกษา ได้ฟังจากหมอ จากข่าวต่างๆ ทำให้เราเข้าใจมันมากขึ้น
ว่าทุกวันนี้ การติดเชื้อ HIV ไม่ใช่โรคติดต่อร้ายแรง แต่เป็นแค่โรคติดต่อเรื้อรังเท่านั้น
ยังไงก็อยากให้ใครก็ตามที่มีความเสี่ยงต่อโรค ลองตรวจเลือดซักปีละครั้งก็ได้
ยิ่งรู้เร็วจะยิ่งรักษาตัวได้เร็ว หรือทางที่ดีคือป้องกันทุกครั้งที่มีอะไรกัน และไม่มั่วจะดีที่สุด
ด้วยความเป็นห่วงและหวังดีค่ะ
ส่วนใครที่สงสัยว่าทำไมเรารับกับเรื่องแบบนี้ได้ รับแฟนที่มีพฤติกรรมเป็นไบเซ๊กช่วลได้ด้วยหรอ
ไม่มีใครรับได้หรอกมั้งเรื่องแบบนี้ เรายังงงเลยว่าทำไมตัวเองถึงรับได้
เรื่องที่เกิดขึ้น เราเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะให้อภัยดูซักตั้งและเดินด้วยกันต่อไป
ซึ่งหลังจากนั้นมาแฟนทำได้ดีค่ะ และไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องให้น่าเป็นห่วงเลย
ชีวิตความเป็นอยู่เราก็ดีขึ้น เราเข้มแข็งขึ้นมากจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
ขอขอบคุณพื้นที่สำหรับเล่าเรื่องกระทู้แรกของเรานะคะ