หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ผมเป็นลูกที่โง่มาก อยู่ห้องบ๊วย ไม่ตั้งใจเรียน ชอบไล่ทะเลาะกับชาวบ้าน แต่ที่สุดก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 1

โพสท์โดย ทิมมี่ ทิมมี่

ผมโตมาจากสังคมเด็กไม่เอาถ่าน ไล่กระทืบชาวบ้านไปทั่วตั้งแต่อยู่ประถม อาจจะคงเป็นเพราะดูหนังเฉินหลงมากเกินไป ถูกเรียกผู้ปกครองครั้งแล้วครั้งเล่า และนอกจากทำตัวแย่แล้ว ยังไม่สนใจเรื่องเรียนหนังสืออีกต่างหาก ไม่สนใจในที่นี้คือไม่เอาอะไรเลย หนังสือและสมุดทุกเล่มของผมจะมีชื่อเขียนอยู่อย่างสวยงามด้วยลายมือคุณแม่ ผมไม่เคยหยิบมันขึ้นมาดูเลยสักนิด ทุกครั้งที่เข้าห้องสอบ ผมไม่ทำข้อสอบ ไอ้แผ่นกระดาษคำตอบกากบาท ผมก็เอามาวาดเล่นเป็นรูปนั่นรูปนี่บ้าง ส่วนมากจะทำเป็นรูปขั้นบันได แล้วก็มาลุ้นเอาตอนประกาศผลสอบอีกทีว่า งวดนี้เราจะเดาถูกมากขึ้นมั้ย รูปแบบไหนถึงจะได้คะแนนมากที่สุด และแน่นอนครับ มันไม่เคยเกินเกรด 1 เลย ผมเป็นลูกที่โง่มาก แทบจะไร้หนทางรักษา

ถึงแม้ผมจะทำตัวชุ่ยยังไงก็ตาม พ่อแม่ผมก็ยังไม่เคยท้อในตัวผม พ่อแม่พยายามวิ่งเต้นอย่างสุดชีวิต เพื่อให้ไอ้ลูกชายไร้สมองคนนี้ได้เข้าเรียนมัธยมในโรงเรียนดีๆ แน่นอนหละครับ โรงเรียนอัสสัมชัญตรงเซนต์หลุยส์คือเป้าหมาย การวิ่งเต้นผ่านไปได้ด้วยดีมาก ตัวผมนี่แทบจะเข้าไปอยู่ในรั้วอัสสัมฯทั้งตัวแล้ว เหลือแค่เพียงแขนอีกข้างเดียว ขอแค่ให้ผมทำข้อสอบตามเงื่อนไข ผมก็จะได้เข้าไปเรียนที่นั่น แต่นี่แหละหนาคือตัวผม ผมไม่ยอมทำข้อสอบ ไม่หยิบดินสอขึ้นมา ผมนั่งนิ่งๆอยู่อย่างงั้นทั้งวันจนหมดเวลา ผลสุดท้ายคือ ผมอดเข้าเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ

หนทางสุดท้าย พ่อแม่ย้ายทะเบียนบ้านผมมาอยู่เขตสาทรเพื่อที่ผมจะได้มีโอกาสไปจับฉลากเข้าโรงเรียนวัดสุทธิวราราม แต่สำหรับผมแล้วที่ไหนมันก็เหมือนกัน ผมไม่อยากเรียนหนังสือและพยายามทำตัวถ่วงรั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมดั๊นนนนน! จับฉลากได้ซะนี่ สุดท้ายก็เลยต้องเข้าไปเรียนที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม พ่อแม่ผมดีใจมากครับ ที่อย่างน้อยลูกชายเหลวแหลกคนนี้ก็ยังได้ไปต่ออีกนิดนึง แม้จะได้เข้าไปอยู่ในห้องบ๊วยของโรงเรียนก็ตาม

แต่สำหรับผมนี่คือผมหัวเสียมาก ผมต้องถูกแยกออกจากแก๊งตัวเองมาเข้าโรงเรียนใหม่คนเดียว ชีวิตมันช่างแย่จริงๆ แต่ก็อย่างว่าอะนะครับ โรงเรียนวัดชายล้วนแบบนี้ เด็กห้องบ๊วยมันก็คงจะไม่ธรรมดาอยู่แล้ว คงจะไม่น่าเบื่อมากเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่าผมสนุกมากกับการได้เป็นสมาชิกของห้องบ๊วย พวกเราไม่เคยเรียนหนังสือ พวกเราไม่มีกระเป๋า อาจารย์ทุกท่านไม่อยากเข้ามาสอนห้องเรา เข้ามาก็ประสาทจะกิน เสียงนี่คือดังยิ่งกว่าตลาดสด โต๊ะเก้าอี้ภายในห้องนี่กระจัดกระจายกันไปคนละทาง ทุกพื้นที่ว่างภายในห้องเป็นสนามฟุตบอล ขยะหลังห้องนี่ไม่เคยทิ้ง เน่าแบบไม่มีชิ้นดี แต่ผมสนุกมากครับ ร้องรำทำเพลงไปเรื่อย สนุกสนานกับเพื่อนใหม่เหมือนเพื่อนเก่ายังไงยังงั้น

แต่แล้ววันนั้นก็มาถึง ระหว่างที่ผมกำลังจะเลื่อนชั้นจากม.2ไปเป็นม.3 บังเอิญว่าห้องคิงมีคนลาออกไปส่วนนึง ทางโรงเรียนเลยจำเป็นจะต้องสุ่มเลือกเด็กห้องบ๊วย 6 ห้อง ห้องละ 60 คน นั่นหมายถึงเด็กไม่เอาถ่าน 360 คน จะถูกสุ่มมาเพื่อไปเติมให้ห้องคิงมันเต็ม และนั่นแหละครับ โรงเรียนดันเลือกโดนผม เซ็งมากครับวันแรกที่ไปเรียน เดินเข้าห้องเรียน ม.3/3 วันแรก แต่ดันไม่มีชื่อเรา พอเดินลงไปถามอาจารย์ข้างล่างเค้าบอก “โดนย้ายไปห้องแปดไอหัวแดง” สมัยก่อนผมเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่ย้อมผมสี และสีในตอนนั้นที่ย้อมคือสีแดง

เด็กที่เกิดมาไม่เคยเรียนหนังสือเลยครับ เกรดเฉลี่ยน่าจะอยู่ราวๆ 1.7 เห็นจะได้ พระเจ้า! โดนย้ายไปนั่งอยู่ห้องคิง และยิ่งกว่านั้น เพราะผมรู้ทีหลังคนอื่น ที่นั่งที่เหลือที่สุดท้ายคือด้านหน้าสุดของห้อง ตรงใจกลางกระดานดำพอดี นี่มันอะไรกันเนี่ย “นี่กูโดนแกล้งใช่มั้ย จะเอาอะไรกับชีวิตกูนักหนา” ผมแอบคิดในใจ ส่วนไอ้ตัวที่นั่งข้างๆผมอยู่นี่โอ้โหสุดๆ ตัวกลมๆป้อมๆหัวเกรียนๆ ผมเรียกมันว่าไอ้ตาโปน มันเป็นหัวกะทิประจำห้องคิง ภายหลังนี่ผันตัวมาเป็นเด็กเคมีโอลิมปิค ผมก็ไม่รู้ว่ามันไม่มีเพื่อนคบหรือยังไง ผมเลยต้องมานั่งกับมัน ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนไป ผมหมายถึงโคตรรรรเปลี่ยนไป...

จะทำไงได้ฮะ เพื่อนรอบห้องนั่งนิ่งเงียบกริบกันทุกคน อาจารย์ก็ตั้งใจสอนมาก ดูทุกคนในห้องเมามันส์กับการศึกษากันหมด ผมหันซ้ายหันขวาไม่มีใครมองหน้าผม ไม่มีใครอยากจะคุยกับผม ทุกคนจ้องและจดจ่ออยู่อย่างงั้นทุกๆ วัน ตัวผมเลยไม่มีทางเลือกครับ มันไม่มีอะไรให้ทำเลยจริงๆ สิ่งที่ทำได้ทั้งหมดคือ นั่งทนฟังสิ่งที่อาจารย์สอน เสมือนว่าเรานั่งดูหนังสักเรื่องประมาณนั้น ผมก็ฟังไปเรื่อยๆ ฟังไปฟังมาเหมือนมันจะเริ่มเข้าใจ มันเริ่มปะติดปะต่อภาพได้ ทุกครั้งที่มีคำถามในใจ ก็หันไปถามไอ้ตาโปนที่นั่งอยู่ข้างๆ มันตอบได้หมด เออเฮ้ย... มันชักจะเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ

พอใกล้ๆจะสอบ ผมก็ไปติวกับเพื่อนๆ เสมือนหนึ่งว่าตัวเองเริ่มกลมกลืนกลายเป็นเด็กหัวเกรียน และเมื่อเกรดออกครั้งแรก พระเจ้า! ผมได้เกรด 3.7 เป็นครั้งแรก โอ้โห เพื่อนๆตะลึง ผมนี่น้ำตาไหล งง-มากครับ อะไรวะเนี่ย เราไม่ได้มีความอยากจะตั้งใจเรียนเลย แค่มันไม่มีอย่างอื่นให้ทำต่างหาก เด็กห้องนี้ถ้าไม่เรียนหนังสือก็เล่นเกมส์ มีอยู่สองอย่าง ทันทีที่ครั้งแรกทำได้สำเร็จ ทีนี้มันเหมือนเริ่มได้ใจขึ้นมาครับ บ้าเรียนเลยทีนี้ ผมไต่ระดับการเรียนตัวเองจาก 1.7 ขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งเรียนยิ่งเก่ง ยิ่งเรียนยิ่งคะแนนดี จนมาถึงเทอมที่พีคที่สุดคือ ม.5 เทอม 2 ผมได้ 3.98 ติดแค่วิชาเกษตกรรม อาจารย์ดันให้ผม 3.5 โอ้โหตอนนั้นฟิวส์แทบขาด สุดท้ายก็ไม่ได้เห็น 4.00 ตามที่ตั้งใจไว้

มาถึงตอนนี้กลายเป็นตัวประหลาดแล้วครับ วันๆ นั่งอ่านแต่หนังสือ ขี้ก็อ่านหนังสือ คือมันเป็นความมั่นใจที่เราสร้างให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องมีใครมาบอกมาสั่ง แต่ตัวเองมันรู้ว่า “กูทำได้ แม่มโดนกู” แต่ดูท่าพ่อแม่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับผมเลยครับ พวกท่านก็นิ่งๆ เหมือนตอนรับรู้เกรด 1.7 ของผม แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมไม่ได้สนใจว่าพ่อแม่จะภูมิใจมั้ย ผมเรียนหนังสือเหมือนผมกำลังแข่งเล่นเกมส์อยู่ ผมไม่ได้ทำเพื่อพ่อแม่ ผมทำเพื่อเอาชนะตัวเอง เป้าหมายของผมต่อไปคือจะสอบแพทย์ แต่ดันมาติดตรงที่ผมทนเห็นการผ่าตัดไม่ได้ พอเห็นกระดูกโผล่มานี่ลมจะจับ ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนมาสรุปที่จะสอบเรียนทนาย แต่ก็ดันสอบตรงไม่ติดอีกครับ สุดท้ายจับพัดจับหูกลายเป็นว่า โรงเรียนผมได้โควตาทุนการศึกษานักเรียนเกรดดีให้เข้าเรียนปริญญาตรีฟรีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

ณ โมเมนต์ตอนนั้นผมจำได้แม่นเลยครับ เหมือนผมจะเริ่มกลับมาเละเทะอีกครั้ง หลังจากที่ผิดหวังจากทุกคณะที่ตั้งใจจนบอดสนิทมืดแปดด้านไม่รู้จะเรียนอะไร บวกกับว่าตอนนั้นผมติดเกมส์เคาเตอร์สไตร์คหนักมาก หนักแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมทิ้งการเรียนและไม่สนใจการเอ็นทรานซ์ ก็เลยกลายมาเป็นว่าผมตัดสินใจเอาทุนการศึกษานี้ เพราะมันดูง่ายดี พวกเพื่อนเก่งๆ ของผมก็ไปสอบแพทย์สอบวิศวะกันหมด ไม่มีใครสนใจมาชิงทุนการศึกษาโรงเรียนเอกชนกับผมหรอก ผมเลยมั่นใจว่าผมรอดแล้ว ชีวิตผมสามารถเดินต่อไปได้อีกเปราะหนึ่ง ภายใต้ความผิดหวังเล็กๆ จากพ่อแม่

แม้ช่วงหลังๆนั้นจะมีประวัติผลการเรียนที่ดี แต่เสือมันก็ไม่ทิ้งลายหรอกครับ พ่อผมยังคงเป็นห่วงผมเหมือนเดิม ยิ่งกำลังจะเข้ามหาวิยาลัยเอกชนแล้วด้วย ยิ่งเป็นห่วงกลัวลูกจะเสียคนเข้าไปใหญ่ ประวัติที่ผ่านมาก็โชกโชนเหลือเกิน อะไรที่ พิเรนจกเปรตนี่คล่องมาก และแล้วก็มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวตอ ลูกเถื่อนๆคนนี้ที่ดูเหมือนกำลังจะกลับลำกลายมาเป็นเด็กดี ก็เอ่ยขอพ่อว่า “อยากจะอยู่หอ” แน่นอนครับ พ่อผมหัวเด็ดตีนขาดเลยยังไงก็ไม่ยอมให้อยู่หอ เพี้ยนๆ อย่างงี้ถ้าอยู่หอนี่ชีวิตพังแน่ โอกาสดีๆ ที่ฟูมฟักมาคงพังทลาย ไอ้ลูกเวรนี่ถ้าไม่ฆ่าคนก็ต้องทำคนท้อง พ่อผมไม่ได้พูดนะ แต่ผมรู้ว่าพ่อผมคิดแบบนั้น

ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า ผสมกับความอยากที่ออกมาใช้ชีวิตอิสระ ผมก็เลยตัดสินใจยื่นคำขาดกับพ่อว่า “ถ้าป๋าไว้ใจให้บิ๊กอยู่หอสักครั้ง บิ๊กสัญญาว่าจะเอาเกียรตินิยมเหรียญทองในสาขาวิชาที่ยากที่สุดมาให้ และเพื่อให้แฟร์กับทั้งสองฝ่าย ถ้าเกรดบิ๊กต่ำกว่า 4.00 เมื่อไหร่ ป๋าเรียกบิ๊กกลับบ้านได้เลย” เป็นการต่อรองที่ดูเหมือนฆ่าตัวตายยังไงก็ไม่รู้ครับ ถ้าจะพูดกันตรงๆ ถามว่าตอนนั้นคิดว่าทำได้มั้ย อันนี้ตอบเลยครับว่าไม่คิดว่าจะทำได้ คิดอย่างเดียวแค่ว่า ขอให้ได้อยู่หอสักครั้งก็พอ

ในปีการศึกษาแรกที่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ก็จะมีประเพณีไหว้ครูประจำปี และนั่นแหละคือตัวจุดพลังให้กับผม ภายในงานมันดูยิ่งใหญ่มากครับ เปรียบเหมือนลานแข่งกีฬาควิดดิชในนิยายเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ยังไงยังงั้น เด็กจำนวนนับหลายพันนั่งกันแน่นหอประชุม ทางมหาลัยฯก็จะเอาเด็กที่ได้เกรดดีๆมารับใบประกาศฯกันในงานพิธีนี้ ไล่ไปตั้งแต่ 3.25 3.50ไปจนถึง 3.99 และสุดท้ายก็จะประกาศชื่อนักศึกษาผู้ที่ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ประจำปี โอ้โห...มันอลังการงานสร้างมากๆ ผมมองรุ่นพี่เหล่านั้นอยู่ไกลลิบ แทบจะอยู่ขอบบนสุดของหอประชุม แต่ผมรับรู้ได้เลยว่ามันต้องเป็นความรู้สึกที่วิเศษมากๆจริงๆ เสียงปรบมือและเสียงชื่นชมมันดังไม่หยุด ไม่ขาดสาย ผมอยากไปยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ก็ตาม ผมอยากไปยืนอยู่ตรงนั้น

ดั่งหวัง ในการศึกษาสองปีแรกที่มหาวิทยาลัย ผมสามารถทำเกรดเฉลี่ย 4.00 ตามที่สัญญากับพ่อไว้ แม้สองปีหลังจะถดถอย แต่ผมก็พยายามรักษาเกรดไว้ให้ดีที่สุด ผมนั่งคำนวณเกรดทุกเดือน ทำการคาดคะเนไว้อย่างแม่นยำว่าผมจะต้องทำเกรดวิชาไหนเท่าไหร่ ผมถึงจะยังสามารถคงเกรดเฉลี่ยไว้ได้ไม่ต่ำกว่า 3.8 เพื่อที่จะได้มีสิทธิรับเหรียญทอง และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ สำหรับเด็กคนนึงที่เคยมีรูปแบบชีวิตอะไรแบบนี้มา กิจกรรมก็ทำ เกมส์ก็เล่นหนัก ดนตรีก็จะเอา กีฬาก็จะเอา แม้จะเอาดีไม่ได้เลยสักทางนึง แต่มันก็กดดันครับ เพราะเกรดมันลดลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงเทอมสุดท้าย เกรดเฉลี่ยผมอยู่ที่ 3.81 ผมเหลือวิชาเรียนอีก 5 วิชาสุดท้าย ผมพลาดไม่ได้ ไม่งั้นความตั้งใจที่ทำมาทั้งหมด มันจะพังทลายลงไปหมด

แม้จะคำนวณเอาไว้ดิบดี แต่มันก็เกิดการพลาดขึ้นมาได้ พอจบการศึกษาทั้งหมดเกรดเฉลี่ยผมปรากฏขึ้นในเว็บของมหาลัย ผมจบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.79 โอ้โห ตั้งแต่เกิดมาในชีวิต ไม่เคยผิดหวังอะไรกับเรื่องปัญญาอ่อนขนาดนี้มาก่อน ณ ตอนนั้นผมเบลอไปพักนึงเลยครับ ไม่รู้จะทำยังไง กินข้าวก็ไม่อร่อย นอนก็ไม่ค่อยหลับ คิดวนไปวนมาว่ามันเป็นเพราะอะไร เราคำนวณไว้แล้วนี่นาว่าวิชาเหล่านี้เราต้องได้เกรดอะไรออกมาบ้าง ทำไมมันออกมาไม่เหมือนที่เราคิด ผมแทบจะหมดปัญญา ผมเริ่มจะยอมรับความจริงอย่างไม่เต็มใจ

แต่ก็งี้แหละ ผมมันเป็นพวกคิดไม่ตกจริงๆ นั่งอยู่บ้านได้ไม่กี่วันก็หยุดตัวเองไว้ไม่ได้ ผมอยากไปดูด้วยตาตัวเองว่าไอ้วิชาสุดท้ายที่ผมได้ C มาเนี่ย มันเกิดอะไรขึ้นกับข้อสอบไฟนอลกันแน่ ผมเดินทางไปมหาวิทยาลัยคนเดียว เดินไล่ถามทุกแผนกว่าผมจะสามารถขอดูผลสอบได้ยังไงบ้าง แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือเท่าที่ควร แผนกนู้นก็ส่งไปแผนกนี้ ส่งไปส่งมา เหมือนผมเดินหลงอยู่ในมหาลัยตัวเอง แต่ไม่มีใครรับเรื่องให้ผมได้เลย ผมกลับมาบ้านนั่งพิมพ์สเตตัสเฟซบุคยาวเหยียด บ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่ให้ความร่วมมือของมหาลัย จนมันดังขึ้นมาเป็นเรื่องใหญ่ ทางอาจารย์และมหาลัยเห็นสเตตัสของผมและไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทางคณะผู้บริหารก็เลยเรียกตัวผมเข้าไปพบ โชคดีที่อาจารย์ท่านนั้นใจดีมากๆครับ ท่านรับฟังปัญหาและให้คำแนะนำผมด้วยความเอ็นดู ความต่ำช้าในตัวผมเริ่มลดลง

ทางมหาลัยยินยอมให้ผมดูข้อสอบตัวเองครับ และก็พบว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดพลาดเลย ผมตอบคำถามผิดเอง ไม่มีความผิดพลาดของเครื่องตรวจข้อสอบ คะแนนผมออกมาแย่มาก เอ๊ะหรือว่านี่มันจะเป็นทางตัน? ผมเริ่มทำใจยอมรับอีกครั้ง แต่ลึกๆแล้วข้างในมันไม่รู้สึกตามที่ผมคิด เพราะผมเชื่อมั่นในการคาดคะเนของผม ผมรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปในข้อสอบและผมมั่นใจกับสิ่งๆนั้น พอกลับมาบ้านก็มาปรึกษากับเพื่อนๆว่า หรือมันอาจจะเป็นที่ข้อสอบมันไม่สมเหตุสมผล อ้าวเอาแล้วทีนี้ เริ่มพาลกันไปใหญ่ ไปหาว่าอาจารย์ออกข้อสอบผิดซะงั้น ผมทำจดหมายยื่นไปทางมหาลัยอีกครั้ง เพื่อจะขอเข้าประชุมในหัวข้อที่ว่า ผมคิดว่าข้อสอบชุดนี้ไม่มีความเป็นธรรมเพราะมันผิดหลักตรรกะและเหตุผล โอยบ้าไปแล้ว....จำได้ว่าคืนก่อนหน้าที่จะไปวันนั้นนี่ลุกลี้ลุกลนมาก กระวนกระวาย เครียด ประหม่า ผมกำลังจะเข้าไปดีเบตกับอาจารย์ที่ออกข้อสอบนี้มากว่า 10 ปี แล้วบอกเขาว่าเขาออกข้อสอบไม่ดี มันดูไร้ทางออกยังไงก็ไม่รู้ แต่ยังไงก็ต้องลุยต่อ มันมาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว

ผลสรุปสุดท้ายกลายเป็นว่าเหตุผลของผมมีน้ำหนัก ด้วยการช่วยเหลือและสนับสนุนจากเพื่อนๆและอาจารย์หลายท่าน ที่ส่งให้ผมได้เข้าไปอยู่ในห้องประชุมนั้น ผลสุดท้ายก็ได้มีการปรับเกรด เกรดผมถูกปรับจาก 3.79 ให้กลายมาเป็น 3.80 แบบเฉียดฉิวเส้นยาแดงผ่าแปด ใช่แล้วครับ ผมได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ผมได้เหรียญทองคืนมาในที่สุด เพียงแต่ว่า...

พระเจ้านี่มันอะไรกันครับ ผมคิดในใจเหมือนกันตอนโดนย้ายไปห้องคิงใหม่ๆ “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย นี่กูโดนแกล้งอีกแล้วใช่มั้ย” ในปีรับปริญญาบัตรของผม มหาวิทยาลัยตัดสินใจยกเลิกมอบเหรียญเกียรตินิยมทุกรุ่นทั้งทอง เงิน และทองแดง เหลือไว้เพียงอักษรที่สลักลงในใบประกาศฯเท่านั้น ซวยเลยทีนี้ งวดนี้ไม่ใช่ความผิดใครแล้วครับ ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ มันเป็นนโยบายของมหาลัย ในวันที่ผมรับใบประกาศฯอย่างเป็นทางการ ไม่มีเหรียญทองบนปกสมุดของผม ผมได้แต่ทำใจ

ระยะเวลาผ่านไปปีกว่าตั้งแต่วันที่ผมจบมา ผมแทบจะลืมเรื่องเหรียญเกียรตินิยมของผมไปแล้ว ดั๊นนนนนนนมาบังเอิญเปิดเจอภาพรับปริญญาของรุ่นน้องจบใหม่ เฮ้ย......ทำไมรุ่นน้องมีเหรียญเกียรตินิยมแปะอยู่ที่สมุด ผมนี่งงเป็นไก่ตาแตกเลย ทันทีที่ผมเห็นเหรียญเกียรตินิยมนั่น ไฟร้อนมันก็ระอุขึ้นมาอีกครั้ง สุดท้ายก็มาเล่นมุขเดิมครับ เขียนสเตตัสถึงเพื่อนๆยาวเหยียด ผมบอกกับเพื่อนๆว่าพวกเราควรจะร่วมกันทำจดหมายยื่นไปทางมหาลัยอีกครั้ง เพื่อขอให้เค้าทำเหรียญเกียรตินิยมย้อนหลังมาให้พวกเรา แต่ก็ถึงว่าอะครับ ทุกคนมันก็อยากได้เหรียญกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่อยากมาเดินเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้ จบมาก็จะสองปีแล้ว ก็ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์อะไรจากมันเท่าไหร่ หยิบยังไม่เคยจะหยิบขึ้นมาดูเลยครับ สรุปกลายเป็นว่าทุกคนอยากได้เหรียญนะ แต่ถ้าให้เดินเรื่องนี่ไม่เอา

ไอผมมันก็ลังเล จะทำหรือไม่ทำดี ได้มาก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรเหมือนกัน แต่มันอยากได้อะ ว่ากระนั้นแล้วก็ช่างคนอื่นแล้วครับ กูทำของกูคนเดียวก็ได้ ก็เลยเลยตัดสินใจเดินหน้าต่อคนเดียว โชคดีที่ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นบางคนที่เห็นใจ ก็ยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือ ช่วยร่างจดหมาย ช่วยเป็นธุระนั่นนี่ให้ ผมจำพวกเค้าได้ทุกคนครับ พวกเค้าเป็นแค่คนรู้จักกันในมหาลัย ไม่ใช่เพื่อนสนิทชิดเชื้ออะไรเลย แต่ผมจำพวกเค้าได้ทุกคน ว่าแล้วผมก็เริ่มเรี่ยไรขอให้ทุกคนร่วมลงรายชื่อ ผมได้รายชื่อมาทั้งหมด 83 รายชื่อ ก็จัดแจงทำจดหมายส่งไปที่มหาลัย เดินเรื่องตามเรื่องกันอยู่นานแสนนาน สุดท้ายมหาลัยก็ยอมทำเหรียญให้ บอกให้ผมรอ 3 เดือนแล้วมารับเหรียญ ครับผม...ผมรอครับ 3 เดือน

ไอเราก็กลัวว่าจะลืม ก็เลยตั้ง Reminder ในมือถือมันซะเลย อีก 3 เดือนเตือนกูนะ ว่าจะต้องไปเอาเหรียญเกียรตินิยม ก็รอไปครับ พอเวลานั้นมาถึงผมติดต่อไปทางมหาลัย ทางมหาลัยก็แจ้งขออภัยมาว่า เรายังไม่สามารถทำเหรียญให้คุณได้ คุณต้องรอไปอีก 6 เดือน ตอนพูดนี่เหมือนแปปเดียวนะ ตอนรอนี่รากจะเน่าอยู่ละ ไอ่เราก็ดีใจล่วงหน้าไปตั้งนานแล้ว รีบแจ้งเพื่อนๆ ที่ร่วมลงชื่อกว่า 80 คนว่าสามารถไปรับเหรียญได้ แต่ก็ต้องมาปฏิเสธพวกเค้าทีหลัง ผมคิดว่าเค้าก็คงล้มเลิกความตั้งใจนี้กันไปตั้งนานแล้ว

และแล้ววันนี้ก็มาถึงครับ ครบ 6 เดือนพอดิบพอดี ถ้านับตั้งแต่วันแรกก็เป็นเวลา 9 เดือนเต็มๆ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญได้จัดทำเหรียญเกียรตินิยมย้อนหลังให้ศิษย์เก่ารุ่น 501xxx 511xxx และ 521xxx บางส่วน ศิษย์เก่าทุกท่านที่มีเกรดเฉลี่ยเข้าเกณฑ์ที่จะรับเหรียญเกียรตินิยมสามารถมารับเหรียญติดสมุดได้ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตหัวหมาก วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น. ถ้ามาเองไม่ได้ สามารถฝากคนอื่นแทนมาได้ด้วยการเซ็นใบมอบอำนาจพร้อมถ่ายสำเนาบัตรประชาชนเซ็นกำกับรับรอง

เหรียญทองบนสมุดปริญญาบัตรมันไม่ได้ยืนยันการันตีการประสบความสำเร็จในชีวิตอะไรเลย แต่มันเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับผม ทุกครั้งที่ผมพลาดหรือทำอะไรไม่สำเร็จ ทุกครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน พอผมมองย้อนกลับไปมองเหรียญนี้แล้วมันจะบอกเราว่า “เฮ้ยเราทำได้นะเว่ย เราไม่ใช่ขี้ๆนะ กว่าจะได้เหรียญนี้มา”

สำหรับผมแล้วความแข็งแกร่งมันไม่ใช่กล้ามเนื้อเต็มรอบวงแขน แต่มันคือกำลังใจที่เราสร้างให้กับตัวเอง การที่เรามองเห็นคุณค่าตัวเอง ยิ่งแก่ตัวไปมันไม่ได้มีเพื่อนฝูงเยอะมากมายที่จะมานั่งให้กำลังใจเราในทุกๆเรื่อง ตัวเราเองนี่แหละที่จะต้องเรียนรู้ที่จะให้กำลังใจตัวเอง ผมว่ามันดีนะครับที่เราจะสร้างอะไรแบบนี้ขึ้นมา “เครื่องเตือนใจ” มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นเหรียญทอง มันจะเป็นอะไรก็ได้ อะไรก็ได้ที่มันจะเตือนคุณให้มีสติอีกครั้งเวลาที่คุณอ่อนแอ แต่กว่าจะมาเป็นเครื่องเตือนใจมันคงไม่ง่าย สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องสร้างมัน 



3 ปีเต็มแล้วครับ ตั้งแต่ผมเรียนจบจนมาถึงวันนี้ และนี่คือเหรียญทองของผม

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ทิมมี่ ทิมมี่'s profile


โพสท์โดย: ทิมมี่ ทิมมี่
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
76 VOTES (4/5 จาก 19 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ศพถูกพบอย่างต่อเนื่อง เมื่อหนุ่มชาวอินโดนีเซียถูกงูเหลือมยักษ์กลืนกินทั้งเป็นในสวนปาล์ม ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำการผ่าท้องเพื่อดูสภาพศพ ทำให้เกิดความตกใจอย่างมากลูกค้ากินบุฟเฟ่ต์ 210 บาทไม่ยั้ง ชาวเน็ตห่วงร้านขาดทุน เจ้าของเผยคำตอบพลิกความคาดหมาย5 เหตุผล ที่ทำไมการนอนเร็ว จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาลเพจดัง แฉ สาวซิ่งบีเอ็มชนยับเสยท้ายรถจักรยานยนต์ที่มีแม่กับลูกอีก 2 คนจนเสียชีวิต.
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อาหารพื้นเมืองเหนือ : ต๋ำเตา หรือ ลาบเทามิราเคิล เบอร์รี : ผลไม้อัศจรรย์ที่เปลี่ยนโลกของรสชาติได้อย่างไม่น่าเชื่อหวยเจ้าพายุนราธิวาสวิกฤติ ประกาศให้เป็นเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน
กระทู้อื่นๆในบอร์ด เกย์
อาร์ม arm หนุ่มน้อย สุดน่ารัก lซ็กซี่ ขวัญใจ ชาวโซเชียลMaybe หนุ่มหล่อ งานดี หุ่นแซ่บ กล้ามแน่น ขวัญใจสาวๆ บนโลกออนไลน์เอริค Werewolf หนุ่มกล้ามโต ลีลาเด็ด เป้าตุง เซ็กซี่ ยั่วยวน ไม่ธรรมดาออสก้า ธนัช Oscarland นายแบบ เน็ตไอดอล หนุ่มหล่อ หุ่นแน่น ผิวเนียน
ตั้งกระทู้ใหม่